
BMW Mission Impossible 4อาจจะคุยโอ่ แต่ทำได้..เจ๋ง
BMW Mission Impossible 4อาจจะคุยโอ่ แต่ทำได้..เจ๋ง:หนังจอกว้าง โดย... !นันทขว้าง สิรสุนทร
มันกว่า Twilight 4 ! ดีกว่า Transformers 3 ! นี่คือ นิยามสั้นๆ ของหนังอย่าง MI-4 ซึ่ง "ขี้คุย" แต่ ดันทำได้ หรือพูดง่ายๆ คือ พองตัวแต่มีความสามารถที่ทำให้คนยอมรับได้ และน่าจะกลายเป็นหนังที่ดูสนุกสุดของเดือนสุดท้ายในปีกระต่ายไม่จมน้ำ (เพราะกระต่ายของหนัง ไม่เผลอหลับ แพ้เต่า) ปีนี้ สิ่งที่หนังแฟรนไชส์สร้างปรากฏการณ์ได้ก็คือ การทำหน้าที่ของมันเองด้วยการส่งไม้ต่อ รับช่วงไปจนถึงเรื่องสุดท้าย ถ้าเป็นวลีแบบ arab spring อย่างที่ Time เรียกวัฒนธรรมการประท้วงของผู้ชุมนุมหนุ่มสาว ที่ยกให้เป็น person of the year ก็ต้องบอกว่า MI-4 น่าจะเบ่งบานมากที่สุดเรื่องหนึ่งในแง่ภาพรวม
รายได้สู้ Transformers 4 กับ Harry Potter 7.2 ไม่ได้แน่นอน แต่ผมรู้สึกสนุกกับการดูหนังเรื่องนี้ ทั้งที่ก็รู้ว่า มันจะไม่ใช่หนังที่ติดอันดับในดวงใจอะไร แต่ก็ยอมรับว่า นี่เป็นหนังเรื่องหนึ่งในปลายปีที่เวลาแนะนำใครไปดูแล้ว คำตอบที่ได้กลับมาก็คือ "เออ สนุกดี"
ทอม ครูซ ในวัยหนุ่มใหญ่ พา MI-4 กลับมาทำให้วงการหนัง ไม่ยอมรับว่า หนังแอ็กชั่นเพียวๆ ได้ตายไปแล้ว เพราะเรื่องนี้ เขาเลี่ยงการใช้ spectacle ในแบบหนังใหญ่ๆ ทั้งหลาย และภารกิจของเขาในหนัง ก็ยังคงต้องคิดอะไรที่มัน ไม่น่าจะเป็นไปได้
วันนี้ ขอไม่เล่าเรื่องรายละเอียดของหนัง เพราะว่าวันก่อนไปสอนป.โท ผมแนะนักศึกษาไปว่า ลองไปดูหนังเรื่องนี้ แล้วดูสิว่า เวลาเขา product placement ดีๆ เขาทำอย่างไร มีหนังหลายเรื่องนะครับ ที่ปรากฏสินค้าที่เป็นผู้สนับสนุนได้ค่อนข้างแย่ คือเยอะไป และฮาร์ดเซลล์ โดยที่ลืมไปว่า ถ้าตัวเองออกมาโผล่หน้ามากฉากเกินไป แทนที่คนดูจะชอบหรือมีแบรนด์นั้นในใจกลับรู้สึกแอนตี้ (การประสบความสำเร็จของโฆษณา ปันหยี FC น่าจะบอกอะไรกับเราอยู่มาก)
ฉะนั้น ถ้าจะดูหนังเรื่องนี้ให้สนุก ผมรู้สึกว่า การได้นั่งมอง timing ของ BMW ด้วย เป็นแง่มุมอย่างหนึ่ง รถบิ๊กเนมอย่าง BMW ไม่ได้ปรากฏตัวในเรื่องนี้เรื่องแรก แต่งานที่แจ้งเกิดกับตัวหนังจริงๆ คือ หนังชุดเจมส์ บอนด์ 007 ซึ่งสามารถทำให้บอนด์ 007 ทิ้งกุญรถแอสตัน มาร์ติน ไปได้ช่วงหนึ่ง เห็นได้ว่า คนทำหนังมีความรอบคอบมาก ในการที่จะเลือกฉากสำคัญ เพื่อให้ BMW เป็นตัวละครหนึ่งในหนัง แต่ไม่ทำให้คนดูรู้สึกแย้ง แถมในบางฉาก เหนือชั้นด้วยการใช้สถานการณ์ เพื่อส่งแบรนด์ของ BMW เช่น ตอนที่ ทอม ครูซ จะต้องวิ่งรถไปจัดการไม่ให้ "อาวุธหนัก" ไปถล่มล้างเมืองนั้น มีอยู่ฉากหนึ่ง คนเดินข้ามถนน และเขาต้องหยุดรถกะทันหัน ทอม ครูซ อาจจะเอามือตบพวงมาลัยหงุดหงิดคนเดินข้าม แต่ BMW ชอบใจแน่นอน เพราะว่ามันแสดงให้เห็นเลยว่า รถมีความโดดเด่นที่ไม่ใช่แค่การขับ แต่ยังรวมถึงการหยุดด้วย
คนขี่ BM(X) ตอนเด็กๆ อย่าง ยังทึ่งต่อไปอีกว่า หนังได้ใช้การเล่าเรื่อง ให้อยู่ในการเลี้ยงของ product placement ในส่วนของไฮไลท์ที่เซตเรื่องขึ้นในสถานที่เก็บรถ การปูทางอย่างใจเย็นไปสู่จุดนั้น เปิดโอกาสเต็มที่ให้ตัวของ BMW เองได้ทำในสิ่งที่คนดูไม่เห็นแต่รู้สึก ก็คือ ถ้าดูครึ่งเรื่อง ทอม ครูซ เก่งกว่า รถ แต่ดูเต็มเรื่อง BMW เก่งกว่าอดีตผัวของ นิโคล คิดแมน ไม่บ่อยนะครับ ที่หนังแฟรนไชส์จะทำให้สินค้าสนับสนุน ไม่เป็นที่ขัดแย้งในใจคนดู เพราะว่าหลายครั้งหนังแฟรนไชส์ มักใส่ภาพลักษณ์ของสินค้าเข้ามา จนไร้รสนิยม และที่ชม BMW ในวันนี้ ไม่ได้มีแฟนเป็นพริตตี้ของรถจากเยอรมัน แต่จะบอกว่า BMW เป็นค่ายที่ให้ความสำคัญกับการทุ่มงบ เพื่อการโฆษณาผ่านหนัง
เพราะหลายคนคงไม่ลืมว่า ในอดีต มีหนัง short film และ anthology หลายเรื่อง ที่มี BMW เป็นตัวละครสำคัญ ผมตามเก็บหนังเหล่านั้น และใช้มันไปในการบรรยายคอร์สต่างๆ เกี่ยวกับนักศึกษาที่เรียนสายมาร์เก็ตติ้ง บางมหาวิทยาลัย เด็กดูครั้งแรก ไม่รู้สึกเลยว่า รถลอยเด่นขึ้นมา (ทั้งที่ถ้ามีสายตา จะพบอยู่เป็นระยะๆ) และรถบิ๊กเนมค่ายนี้ ใจป้ำมาก เพราะแทนที่จะใช้งบไปกับผู้กำกับคนเดียวเหมือนค่ายอื่นๆ เขาใช้วิธีคัด director และ filmaker มือระดับจอมยุทธ์ของบู๊ลิ้ม ให้งบและเวลา ต่างคนต่างไปทำหนัง โดยมีรถเป็นตัวละครหนึ่ง ก่อนจะนำมาร้อยเรียง กลายเป็นดีวีดีหนังที่ขายดีในตอนนั้น
และนั่นหมายความว่า ถ้า AUDI วิ่งโลดกับหนังฮอลลีวู้ด BMW ก็บี้อยู่ข้างๆ กับหนังใหญ่ทุกปี และคู่นี้ ยาวโลดเป็นมหากาพย์แน่นอน ท่านผู้โชมมมม...
...................
(หมายเหตุ BMW Mission Impossible 4อาจจะคุยโอ่ แต่ทำได้..เจ๋ง:หนังจอกว้าง โดย... !นันทขว้าง สิรสุนทร)