Romanceเมื่อการดื่มไวน์คือวิธีเกี้ยวพาราสี
Romanceเมื่อการดื่มไวน์คือวิธีเกี้ยวพาราสี : คอลัมน์ หนังโรงเล็ก โดย... นันทขว้าง สิรสุนทร
ครั้งหนึ่ง, เพื่อนๆ ในกลุ่มเคยสงสัยว่า ทำไมหนุ่มสาวชายหญิงทั้งหลายถึงชอบไปเที่ยวผับทั้งที่บางวันก็เหนื่อยเพลียจากการทำงาน และบรรยากาศในผับหรือร้านเหล้าบางแห่งก็ไม่น่าอภิรมย์เสียเลย
ผมบอกเขาว่ามันคล้ายๆ กับที่หนุ่มๆ บางคนชอบไปงานมอเตอร์โชว์ทุกปี ทั้งที่ไม่เคยสนใจรถ ไม่คิดจะมีรถ และไม่แม้แต่จะรู้อะไรเกี่ยวกับรถ
อย่างที่เรารู้กันดี, พวกเขาบางคนชวนตัวเองไปดู sex ผ่านเรือนร่างของสาวๆ ทั้งหลายที่ทำท่าลูบไล้บอดี้ของพาหนะราวกับมันคือเนื้อตัวของผู้ชาย จึงไม่แปลกที่การตลาดในยุค 'อะไรๆ ก็ต้องเทรนด์' นำเอาเซ็กส์มาเล่นกับสินค้ามากขึ้นและมากมาย ผมคิดว่าอีกหน่อย 'ถั่วงอก' กับ 'กระหล่ำปลี' ก็จะมีเซ็กส์มาเกี่ยวด้วย (อาจจะเป็นท่าพริตตี้ เกิร์ล ดูดถั่วงอกหรือเล้าโลมผักกระหล่ำปลี)
เป็นอย่างนี้แล้ว, เซ็กส์และกามารมณ์ของแต่ละคนหรือคนแต่ละชาติ จึงแตกต่างกันไปตามทัศนคติและความรู้สึกนึกคิด โรเจอร์ อีเบิร์ต นักวิจารณ์หนังคนหนึ่งเคยบอกว่า สำหรับคนฝรั่งเศสแล้ว การดื่มไวน์คือการเกี้ยวพาราสี การกินคือการยั่วยวน การสูบบุหรี่คือการเล้าโลม และการพูดคุยคือเซ็กส์
คนทำหนังหัวรุนแรงอย่าง แคทเธอรีน เบรลยาท์ อาจจะคิดแบบนี้เพียงครึ่งเดียว เพราะหนัง Romance ของเขา ทิ้งคำถามไว้มากมายเกี่ยวกับเซ็กส์ของผู้หญิงผ่านตัวละครที่ชื่อ 'มารี'
มารี เป็นสาวสวยที่สับสนในความต้องการทางเพศของตัวเอง แต่สิ่งที่เธอสับสนไม่ใช่เธอต้องการผู้ชายหรือผู้หญิง แต่เป็นการค้นหาความหมายของเพศสัมพันธ์ว่า ถึงที่สุดแล้วเรื่องราวเหล่านี้ มีความสำคัญเพียงแค่การขึ้นสวรรค์ชั้นฟ้าแค่นั้นหรือหรือเป็นเพียงแค่สุนทรียสวาท แค่ความตื่นเต้นทางกามารมณ์ และอื่นๆ
พอมีความคิดแบบนี้ แน่นอนว่าเธอเองคงไม่พอใจที่จะหาคำตอบแค่คนรักของเธอ (ซึ่งก็ดูเหมือนจะไม่ใช่นักรักเสียด้วย) ฉากหนึ่งที่สะท้อนคำพูดนี้ได้ดีก็คือ ขณะที่แฟนของเธอเอาแต่ดูทีวีบนเตียง มารี เลือกที่จะทำออรัลเซ็กส์ให้ แต่เธอกลับโดนดุใส่และปฏิเสธ
เมื่อหนักเข้าเรื่อยๆ มารี ก็เลยหันเหไปหาชายอื่น ซึ่งจะเป็นใครก็ได้ แต่การมีชู้ของ มารี ไม่ใช่เพราะคนรักนิ่งเฉย ผมคิดว่าต่อให้แฟนเธอตอบสนองทุกครั้ง มารี ก็นอกใจอยู่ดี
เพราะเธอเป็นพวกที่มีบุคลิกแบบวิญญาณที่หลงทาง (one lost soul) และจะว่าไป สิ่งที่เธอถามหาจากผู้ชาย ต่อให้พานพบ เธอก็อาจจะตอบไม่ได้ว่ามันใช่หรือเปล่า
เป็นเช่นนี้แล้ว, เซ็กส์และการนอกใจคนรักของ มารี จึงไม่ใช่เรื่องเจตนามั่วผู้ชาย ไม่ใช่มีเป็นเอเคอร์ หรือสะสมเป็นคอลเลกชั่น
แต่การนอกใจของเธอเป็นความหมายของการตามหาตัวตนที่หายไป เป็นการเติมเต็มให้จิตวิญญาณที่พลัดหลง ซึ่งบางทีไม่ได้หายไปไหน แต่เธอคิดว่ามันไม่อยู่กับร่างกาย
พอมีความคิดแบบนี้ มารี จึงเปิดโอกาสให้หนุ่มๆ ทั้งหลายขึ้นเตียงกับเธอ
คนแล้วคนเล่า และ เขี่ยทิ้ง
การเดินทางแบบผจญภัยทางกามารมณ์ของเธอ จึงเต็มไปด้วยรูปแบบของเซ็กส์หลายอย่าง ซึ่งก็มีตั้งแต่น่าผิดหวังและวิตถารแบบหนังโป๊ รวมไปถึงการเซตรูปแบบให้เหมือนเธอถูกข่มขืน (คุณรู้ใช่ไหมว่าผู้หญิงเกือบ 70 % ลึกๆ แล้วอยากรู้สึกถูกข่มขืน เพราะเป็นแฟนตาซีอย่างหนึ่ง แต่อย่าคิดว่าการ rape ที่ว่านี้ เป็นแบบที่เราเห็นในหน้าหนังสือพิมพ์ เพราะการข่มขืนที่ว่านี้ เป็นในความหมายของ fantacy ไม่ใช่ murder หรือ crime)
คงไม่ต้องบอก หลายๆ คนก็รู้ว่าตอนจบและชะตากรรมของ มารี นั้นจะเป็นอย่างไร เพราะถึงที่สุดแล้ว ความเจ็บปวดสับสนก็ตกอยู่กับเธอต่อไป เพราะสิ่งที่ มารี ต้องหาให้เจอก็คือ ทัศนคติเรื่องเพศ ไม่ใช่ความสุขสมทางเพศ
จุดสุดยอดทางเพศนั้นเหมือนวันสุดท้ายของสัปดาห์ แต่ทัศนคติเรื่องเซ็กส์เป็นวันแรกๆ ที่จะต้องมีความเข้าใจ มันเหมือนวันจันทร์ เช้าวันแรกของการทำงาน
ผมไม่คิดว่าจะมีใครชอบฉากเซ็กส์ที่ดาษดื่นใน romance เพราะนอกจากจะไม่ romance แล้ว ยังไม่ romantic หรือน่าอภิรมย์สักเท่าไหร่
ผมกลับชอบฉากตอนต้นๆ เรื่อง ที่ มารี มองคนรักเต้นรำกับสาวอื่นบนฟลอร์ก่อนที่เธอจะมีชู้
เพราะถ้าการดื่มไวน์คือเกี้ยวพาราสี
สูบบุหรี่คือการเล้าโลม
การเต้นรำก็คือ วิธียั่วยวนและเชิญชวน
.......................................
(หมายเหตุ Romanceเมื่อการดื่มไวน์คือวิธีเกี้ยวพาราสี : คอลัมน์ หนังโรงเล็ก โดย... นันทขว้าง สิรสุนทร)