
'ศัตรูที่รัก(1)'
'ศัตรูที่รัก(1)' : คอลัมน์ ร้อยพบพันเจอกับมิสเตอร์บางอ้อ โดย... คงกะพัน แสงสุริยะ
หลายคนไม่ทราบว่าอีกสิ่งหนึ่งที่ผมสนใจและเป็นงานอดิเรกที่ผมชื่นชอบ คือ การเล่นดนตรีครับ ผมอยู่วงโยธวาทิตตั้งแต่มัธยมต้น วิชาดนตรีคือวิชาที่ผมรักและมักได้คะแนนเต็ม จึงมีความสามารถในการเล่นดนตรีระดับหนึ่ง เริ่มจากเครื่องเป่า ตอนหลังจึงมาหัดเครื่องสาย คือ กีตาร์ พอโตขึ้นมาก็มีวงดนตรีกับเขาด้วย นักร้องนำชื่อ ศักดิ์สิทธิ์ แท่งทอง ส่วนวงมีชื่อว่า พลพรรครักเอย นี่เป็นชื่อวงจริงๆ นะครับ ไม่ใช่ชื่อคณะลิเกเร่ที่ไหน คุณศักดิ์สิทธิ์แกอยากได้ชื่อนี้เพื่อนๆ ในวงฟังทีแรกก็อึ้งๆ แต่ก็เห็นว่าแปลกดีก็เลยตกลงตามนั้น....
วงเราเล่นสนุกครับ เน้นความบันเทิง สนุกสนาน ในวงทุกคนมีฉายาประจำตัว และฉายาทุกคนก็เท่มาก แน่นอนว่ามิสเตอร์บางอ้อก็มีครับ แต่ฉายาของผมคือ "หนุ่มกีตาร์หาย".....!!! เราคงเคยได้ยินฉายามือกีตาร์ต่างๆ นานามากมาย ไม่ว่าจะเป็น กิตติ กีตาร์ปืน แหลม กีตาร์คิง ชัคกี้ กีตาร์เทพ เป็นต้น แต่ทำไมฉายาของผมมันดูเจี๋ยมเจี้ยมพิกลยังไงไม่รู้....ฉายานั้นก็มักได้มาจากผลงานที่โดดเด่นของบุคคลนั้นๆ และมีเอกลักษณ์ไม่เหมือนใครเป็นที่น่าจดจำนั่นเอง......
ส่วนผลงานที่โดดเด่นของผมก็เช่นเดียวกัน นั่นคือ กีตาร์หายครับ....กีตาร์ผมหายถึง 3ครั้ง รวม 6 ตัว บางตัวผมสามารถทำหายได้ถึง 2 ครั้ง จึงเป็นสิ่งที่ไม่มีใครน่าจะทำได้ และยากที่จะมีผู้เลียนแบบและเอาเป็นเยี่ยงอย่าง...แต่มันก็ทำให้ผมภูมิใจลึกๆ ว่า เล่นกีตาร์มาไม่กี่ปีอุตส่าห์มีฉายาเทียบเคียงกับรุ่นพี่ที่มีดีกรีระดับเทพ...คำถามคือ มันหายไปได้อย่างไร....????
คำตอบมีอยู่ว่า ครั้งแรกโดนขโมยหลังจากจบคอนเสิร์ตแถวรัชดา ส่วนครั้งที่ 2 และ 3 โดนขโมยงัดที่เก็บเครื่องดนตรีของวงเข้าไป แล้วเอาไปเฉพาะกีตาร์ผม ส่วนของอื่นอยู่ครบครับ...แล้วที่บอกว่ากีตาร์ตัวเดียวหายไปถึงสองครั้งนั้น ก็เพราะว่าตัวแรกที่โดนขโมยไปที่รัชดานั้น ผมสืบหาตามจนเจอและได้คืนแล้ว แต่ก็ถูกขโมยไปอีกในการหายครั้งที่ 2 พร้อมตัวอื่นๆ....และนั่นเป็นผลงานของผมที่ไม่เหมือนใคร เป็นเอกลักษณ์ที่ยากจะลอกเลียนแบบได้ จึงเป็นที่มาของฉายา "หนุ่มกีตาร์หาย" ครับ
แต่การหายของกีตาร์ผมครั้งแรกสุด กลับสอนผมหลายเรื่องในหลายแง่มุม โดยเฉพาะเรื่องทานที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก นั่นคือ "อภัยทาน" ที่เป็นเช่นนั้นเพราะกีตาร์ตัวแรกของผมเป็นเฟนเดอร์ รุ่นลิมิเต็ดเอดิชั่น ที่หายากและราคาก็ไม่ถูกครับ วันที่หายไปหัวใจผมแทบสลาย หัวขโมยใช้เวลาเพียงเสี้ยววินาทีขณะที่ทีมงานของผมเก็บของหลังเวทีแล้วหยิบกีตาร์หายไปในความมืด...พอรู้ว่าของรักโดนขโมยก็เกิดโมหะ ทำใจไม่ได้ คิดในใจว่าเราจะต้องเอาของของเรากลับคืนมาให้ได้...ผมเริ่มขั้นตอนการสืบสวนด้วยตัวเอง สอบถามจนพอรู้รูปพรรณสัณฐานคนร้ายคร่าวๆ แล้วคิดว่าของลักษณะนี้มีไม่กี่สถานที่ที่สามารถปล่อยของได้...เริ่มจากส่งคนไปเดินดูแถวคลองหลอด แล้วเริ่มโทรหาร้านกีตาร์มือสองทั่วประเทศ บอกรูปพรรณกีตาร์เรา รวมทั้งซีเรียลนัมเบอร์ (เหมือนหมายเลขตัวถังของรถยนต์) โทรจนทั่วครับ ใช้เวลาประมาณเกือบสองเดือนโดยไม่ละความพยายาม
จนวันหนึ่งผมก็ได้เบาะแสเด็ดจากการโทรไปที่ร้านกีตาร์แห่งหนึ่งที่ห้างพันธุ์ทิพย์ เขาบอกว่ามีกีตาร์สีสันรูปพรรณคล้ายกับกีตาร์ของผมที่หายไป มีคนมาจำนำไว้ด้วยเงิน 13,000 บาท ผมรีบรุดไปที่ร้าน ก็พบเจ้ากีตาร์สุดรักของผมจริงๆ จึงร่วมมือกับเจ้าของร้านและเจ้าหน้าที่ตำรวจเพื่อล่อซื้อกับเจ้าหัวขโมย โดยให้เจ้าของร้านโทรไปบอกว่ามีคนอยากได้ให้ราคาดี ตอนแรกก็ทำท่าจะไม่ขายบอกว่ารักกีตาร์ตัวนี้มาก แต่สุดท้ายก็ยอมขายจากการหลอกล่อของเรา ปรากฏว่าแผนสำเร็จหัวขโมยติดกับมารับเงินส่วนที่เหลือ ผมและเจ้าหน้าที่เข้าชาร์จจับกุมแล้วพาไปส่งที่โรงพัก
ระหว่างดำเนินการอยู่ที่โรงพักจึงมีโอกาสได้สัมภาษณ์หัวขโมยวัยรุ่นคนนี้ เขาหมกมุ่นกับการถามผมเรื่องการเล่นดนตรี การแต่งเพลงและการเป็นนักร้อง เส้นทางสู่วงการบันเทิง ผมได้แต่คิดในใจว่า นอกจากแกจะไม่รู้สึกผิดแล้วยังมาถามนู่นถามนี่ฉันอีก...!! ไอ้หัวขโมยนี่เป็นคนยังไง...? พูดคุยอยู่นานก็ได้ความว่า เป็นคนเชียงราย อยากมาเป็นศิลปินในกรุงเทพฯ จึงแอบขายมอเตอร์ไซค์ที่แม่ซื้อให้ได้เงิน 5,000 บาท แล้วมาเสี่ยงสู้ชีวิต...ที่ขโมยของพี่หนุ่มเพราะเห็นว่าพี่หนุ่มคงมีหลายตัวแล้ว....!! ระหว่างคุยก็ร้องเพลงที่ตัวเองแต่งให้ผมฟังลั่นโรงพัก โดยไม่ถามสักคำว่าผมอยากจะฟังหรือไม่....ตำรวจทุกคนหันมามอง เขาไม่อายเลยครับ....แต่ผมอายมาก...ร้องจบก็ถามผมว่า เพราะมั้ยครับ...เพลงนี้ผมได้แรงบันดาลใจจากพี่เสก โลโซ ไอดอลผม...??? ผมคิดในใจว่า เอ็งอย่าเอาไปร้องให้ใครที่ไหนฟังอีกเด็ดขาด ขอให้ที่นี่เป็นที่สุดท้าย และควรแต่งเอง ร้องเอง ฟังเองที่บ้านคนเดียว ให้แม่ฟังด้วยยังดูว่าจะบาปเล็กน้อยเลย..เพราะเพลงแย่มาก เนื้อร้อง ทำนอง ไม่ได้มีความสัมพันธ์กันเลย...แต่ก็เกรงใจพูดไปเบาๆ ว่า เอ่ออ...พี่ว่าต้องปรับปรุงนิดหน่อยว่ะ...!!!
การสนทนาเป็นไปเหมือนผมกำลังอยู่ในรายการตีสิบ ที่คุณวีทีกำลังสัมภาษณ์แขกรับเชิญยังไงยังงั้น ผมถูกซักถามนู่นนี่มากมายจนตอบไม่ถูก ผ่านไปราว 2 ชั่วโมง ผมจึงคิดได้ว่า เอ..นี่เราต้องเป็นฝ่ายถามมันถึงจะถูกนี่นา...แล้วไอ้คนนี้เป็นคนที่ขโมยกีตาร์เรานี่หว่า ไม่ใช่พิธีกรที่ไหน มานั่งคุยกับมันมากมายอย่างนี้ทำไมวะ..? คิดจบตำรวจก็มาพอดี เพื่อนำตัวหัวขโมยไปฝากขัง ก่อนเข้าห้องขังยังหันมาถามผมเรื่องเสก โลโซ อีก ผมจึงตอบไปกวนๆ ว่า พี่ไม่ได้รู้เรื่องเขาทุกเรื่องหรอก ไม่ใช่เมียเขา...หัวขโมยเดินเข้าห้องขังแบบไม่สะทกสะท้าน พร้อมเสียงคำถามมากมายยังลอยมาจนลับตาไปในกรงขัง
วันนั้นจึงจบลงแบบงงๆ ครับ...ผมจับโจรได้ ได้ของรักคืน จ่ายเงินค่ามัดจำที่ตัวแสบเอาไปจากร้านกีตาร์ 13,000 บาท เพราะมันใช้เงินไปหมดแล้ว....เหน็ดเหนื่อยกับการไล่ล่ามาสองเดือนกว่าๆ สรุปพอจับได้ยังมาเสียเงินอีก...ผมยิ้มให้ตัวเองแล้วกลับบ้านไปพักผ่อนพร้อมกีตาร์ตัวโปรด
ยังไม่จบนะครับ มีต่อสัปดาห์หน้าครับ มาติดตามกันนะครับ
.......................................
(หมายเหตุ 'ศัตรูที่รัก(1)' : คอลัมน์ ร้อยพบพันเจอกับมิสเตอร์บางอ้อ โดย... คงกะพัน แสงสุริยะ)