
'บางระจัน 9'
20 ม.ค. 2558
'บางระจัน 9'
ตอน9
ค่ายเชลยไทยที่วิเศษไชยชาญของสุรินทจอข่อง มีทหารอังวะประจำหน้าที่อยู่เต็ม แถวเชลยไทยชาย หญิงหลายคนถูกคุมตัวเข้าประตูค่ายมา พร้อมทั้งลากเข็นเกวียนใส่ข้าวของที่ปล้นได้มาด้วย ฉับกุงโบ เดินดูบริเวณค่ายด้วยความพอใจ มีสุรินทจอข่องและอากาปันญีเดิน ตามหลัง และมีนายกองอังวะเดินตามอารักขา 4 นาย
"ท่านแม่ทัพหน้ามาเยี่ยมค่ายของข้าวันนี้ คงได้เห็นแล้วว่าทหารของเราทำการได้สมคำบัญชาของท่านเนเมียวสีหบดีทุกอย่าง" สุรินทจอข่องรายงาน
"ดีมาก สุรินทจอข่อง อากาปันญี ถ้าท่านทั้งสองล้างทุ่งวิเศษไชยชาญได้สะอาดเหมือนกับที่ข้าล้างเมืองพิชัย สวรรคโลก และสุโขทัยแล้วละก็ ข้าจะรายงานท่านแม่ทัพเนเมียวให้ท่านได้ความชอบแน่ๆ"
"พวกมันอ้วนพีมีสุขกันมานาน จับดาบไม่เป็นแล้ว ขืนสู้ก็มีแต่ตายสถานเดียว" อากาปันญีรายงาน
"ใครฮึดสู้ เราฆ่า ส่วนใครหนี เราก็ตามจิกหัวกลับมาฆ่าให้พวกมันดู พวกมันถึงไม่กล้ากำแหง" สุรินทจอข่อง ยืนยัน
ฉับกุงโบยิ้มพอใจ "งั้นข้าก็เบาใจ เพราะงานใหญ่ของเรากำลังลุล่วงไปด้วยดี กองทัพฝ่ายใต้ของท่านมังมหานรธา เสนาบดีสงคราม ก็ได้มาตั้งค่ายใหญ่อยู่ที่สีกุกบางไทรแล้ว และจะขยายกำลังโอบล้อมกรุงมาถึงทุ่งภูเขาทอง เมื่อไหร่ที่เรามีชัยเหนือกรุงศรีอยุธยาแล้ว ทุกคนใต้ท้องฟ้านี้ก็จะยกย่องเราว่า..."
ทองแก้วตะโกนต่อคำพูด "ไอ้สันดานโจร"
ฉับกุงโบสะดุ้ง ทุกคนหันไปมองทางคอกขังเชลยชายไทยที่อยู่ใกล้ๆ ทองแก้วและดอกไม้ยืนเกาะรั้วคอกตะโกนมาจากกลุ่มเชลยชาย
"นี่หรือวะ กองทัพนักรบอันยิ่งใหญ่ ถุย กูว่า โจรชั้นสวะมากกว่า" ทองแก้วด่าทอ
"บ้านมึงไม่มีอะไรจะกินแล้วหรือวะ ถึงได้ยกโขยงมาปล้นบ้านกู" ดอกไม้ถามหยัน
สุรินทจอข่องตะโกนลั่น "ไอ้เชลยปากสามหาว เฮ้ย ทหาร"
ทหารอังวะวิ่งกรูกันเข้าไปที่คอก เชลยชายอื่นแตกถอยหนี เหลือแต่ทองแก้วและดอกไม้ยังตะโกน
"มึงจะรบก็รบกันไปซี่โว้ย รบกับทหารกรุงโน่น ทำไมต้องมาเหยียบย่ำบ้านกูด้วย กัดไม่เลือกอย่างนี้ มันหมาบ้านี่หว่า"
"ช้าอยู่ทำไมวะ ลากลิ้นมันมาสับเลยเซ่"
อากาปันญีตะโกนสั่ง ทหารอังวะขยับเข้าไป แต่ฉับกุงโบตะโกนห้าม ทหารชะงัก
"หยุด อย่าฆ่ามัน แค่สั่งสอนมันก็พอ"
ทหารอังวะกลุ่มนั้นส่งดาบให้เพื่อน แล้วเข้าคอกเชลย เดินตรงเข้าหาทองแก้วและดอกไม้ด้วยมือเปล่า แล้วเข้ารุมซ้อมทันที ทั้งทองแก้วและดอกไม้พยายามปิดป้อง แต่ก็โดนหลายหมัดจนล้มลุกคลุกคลาน
"เฮ้ย ช่วยกูด้วยซี่โว้ย ช่วยกูที"
เชลยอื่นได้แต่มองหน้ากัน ไม่กล้าช่วย เพราะเกรงกลัวทหารอังวะ ปล่อยให้ทองแก้วและดอกไม้ถูกรุมซ้อมจนทรุดอยู่กับพื้น หน้าตาเปรอะไปด้วยเลือด จนฉับกุงโบตะโกนห้าม
"พอแล้ว พอ เอาตัวมันมาที่นี่ ข้าจะพูดกับมัน"
ทองแก้วและดอกไม้ถูกนายกองอังวะเหวี่ยงลงมานอนกลิ้งอยู่ที่ลานหน้ากองบัญชาการเบื้องหน้าฉับกุงโบ และนายทัพ
"เอ็งสองคนชื่ออะไรวะ"
ทั้งสองไม่ตอบ ยันตัวขึ้นนั่งอยู่คู่กัน อากาปันญีตวาด
"ตอบท่านแม่ทัพสิวะ ไอ้เชลย ตอบ"
"กูชื่อ ทองแก้ว บ้านโพธิ์ทะเล"
"กูมาจากบ้านตลับ ชื่อดอกไม้"
"มันเป็นคนวิเศษไชยชาญด้วยกันทั้งคู่ ท่านแม่ทัพ" สุรินทจอข่องรายงาน
"เอ็งปากกล้าดีนี่หว่า ไม่กลัวตายรึไง" ฉับกุงโบถาม
"ตายช้า ตายเร็ว มึงก็ต้องฆ่ากูอยู่ดี แล้วกูจะไปกลัวทำไม" ทองแก้วโต้
"หนอย อวดดี กระทืบแม่ง" อากาปันญีขยับเข้าใกล้
"อย่า อย่าทำมัน ข้าจะฟังมันพูด เอ้า พูดไป" ฉับกุงโบสั่ง
"ชาวบ้านเราไปทำอะไรให้มึง มึงถึงมาฆ่าเอาเสียหลายโคตร ยกทัพมาอย่างเจ้าล่ะกูไม่ว่าหรอก แต่นี่มาอย่างโจร ใครเขาจะยกย่องมึง" ทองแก้วพูดอย่างอัดอั้น
"คนจะทำสงครามเขาต้องรู้ว่าถ้ายกทัพใหญ่ใช้คนมาก มันต้องเตรียมเสบียงมาให้พอ ไม่ใช่มากวาดเก็บเอาตามรายทาง ฆ่าฟันชาวบ้านเขาตายอย่างนี้" ดอกแก้วประณาม
ฉับกุงโบหัวเราะ "ก็นี่มันสงคราม ถ้าพวกเอ็งยอมยกข้าว ยา ปลา เกลือ เนื้อหมู เนื้อวัว ให้กองทัพของข้าซะดีๆ มันก็ไม่ตายหรอก"
"แล้วลูกเมียเขาอยู่กันดีๆ มึงจับมาทำไม" ทองแก้วถามแค้นๆ
"จับซี่ ถ้าข้าไม่มีตัวประกันพวกเอ็งจะยอมทำงานให้กองทัพข้าหรือ แต่ทหารข้า มันเหน็ดเหนื่อยมานาน ก็ต้องขอเอาไว้บำรุงใจพวกมันหน่อย ฮ่ะๆๆ"
ฝ่ายอังวะพากันหัวเราะ ทองแก้วโมโหจะลุกเข้าใส่ แต่ดอกไม้กันตัวไว้
"แล้วถ้าพวกเอ็งหาสาวๆ คนไทยมาแทนได้ ข้าก็จะปล่อยพวกเอ็งไป" สุรินทจอข่องพูดย่ามใจ
ทองแก้วนิ่งคิดก่อนพูด "ที่พูดนี่แน่นะ"
"คนอย่างข้าพูดคำไหนคำนั้น"
"งั้นข้าจะพาพวกเอ็งไปหาสาวๆ ข้าพอรู้ว่าบ้านไหนมีสาวๆ เยอะ" ทองแก้วรับคำ
"อะไรนะ เอ็งจะช่วยอะไรข้าหรือ" ฉับกุงโบถาม
"เอ็งคิดจะเอาตัวรอดอย่างนี้หรือไอ้ทองแก้ว ไอ้คนเห็นแก่ตัว" ดอกไม้แค้น
คำพูดของทองแก้วทำให้ฉับกุงโบนิ่ง ขณะที่สุรินทจอข่องและอากาปันญีหันมองหน้ากัน ทองแก้วแฝงแววเจ้าเล่ห์
"ถ้าข้าพาพวกเอ็งไปเจอพวกสาวๆ พวกเอ็งต้องทำอย่างที่พูดนะ"
"กูไม่คิดเลยว่ามึงจะเป็นคนอย่างนี้"
ดอกไม้ผิดหวังในตัวทองแก้วมาก ฉับกุงโบหันมายิ้มกับสุรินทจอข่องอย่างพอใจ
"ก็ไม่หนักหนานะสุรินทจอข่อง หากท่านจะจัดทหารพามันไปหาผู้หญิงมาสักห้าหกคน เราคงไม่รบกันวันนี้พรุ่งนี้ดอก" ฉับกุงโบบอกอย่างพอใจ
ที่กองบัญชาการค่ายเสบียงอังวะ วิเศษไชยชาญ สุรินทจอข่องนั่งเป็นประธานในงานเลี้ยงที่มีหญิงพม่าคอยดูแลอย่างดีบนศาลาบัญชาการ ส่วนลานด้านล่าง มีกลุ่มทหารชั้นผู้น้อยนั่งล้อมวงกินอีกมากมาย มีกลุ่มกลองยาวสร้างความครึกครื้น
นายกองคนหนึ่งคุมเชลยหญิงไทยยกอาหารมาดูแลเหล่านายทัพต่างๆ ที่นั่งอยู่บนศาลาบัญชาการ สุรินทจอข่องพูดขึ้น
"ท่านฉับกุงโบ สั่งให้เรากวาดต้อนเชลยและเสบียงส่งไปให้ทัพหลวงเนเมียวสีหบดีให้มากพอที่จะล้อมกรุงโยเดียเลยหน้าน้ำหลาก ฉะนั้นจงขอให้ท่านทั้งหลายทำงานให้เต็มความสามารถ อยากได้อะไรกวาดต้อนมาให้หมด แม้แต่ผู้หญิงไทย ท่านฉับกุงโบก็มิห้าม ฮะๆๆๆ"
อากาปันญีดึงเชลยสาวเข้ามากอดจูบ เชลยคนนั้นพยายามปัดป้องแต่ก็ไม่อาจฝืนแรงของอากาปันญีได้
"ถ้าเอ็งยอมเป็นเมียข้า เอ็งไม่ต้องไปนอนในกรงเหม็นๆ ดอกนะ ฮะๆๆ"
"ปล่อยข้า ปล่อยข้าเถิด ปล่อยข้า"
หญิงเชลยร้องขอความเห็นใจ ทุกคนหันไปมองที่ลานหน้าศาลากองบัญชาการ ทหารอังวะคนหนึ่งอุ้มเชลยหญิงไทยหายออกไปจากกลุ่มที่นั่งกินเลี้ยงกันอยู่ ทุกคนหัวเราะชอบใจอย่างมีความสุข เชลยชายไทยที่ถูกขังอยู่ในกรงต่างตะโกนด่าด้วยความเจ็บแค้น
"ไอ้ทหารโจร เก่งจริงอย่าเอาแต่รังแกผู้หญิง มานี่ มาสู้กับกูนี่ ปล่อยกูซิวะ"
"ตามใจชอบเถิดพวกเรา อีกมินานแผ่นดินนี้ก็จะกลายเป็นของเราแล้ว ดื่มๆๆ"
อากาปันญีดื่มอย่างมีความสุข ทุกคนชูแก้วขึ้นดื่มอย่างสนุกสนาน
ที่ท่าเรือค่ายเสบียงอังวะ วิเศษไชยชาญ ดอกไม้ยังถูกมัดอยู่ที่เดิม ค่อยๆ ฟื้นขึ้นมา ทองแก้วนั่งอยู่ในกรง คอยเวลาบางอย่าง เสียงเพลงกลองยาวจากในค่ายดังมาแว่ว ทหารอังวะเดินยามเพียงไม่กี่คน ทองแก้วลุกขึ้นมาเกาะลูกกรงตะโกน
"พวกเอ็งคงอยากเข้าไปสนุกกับพวกข้างในมั่งซินะ"
ทหารอังวะหันมามองทองแก้ว
"ข้าว่าพวกเอ็งก็น่าจะได้สนุกแบบพวกข้างในบ้างนะ"
ทหารอังวะไม่พอใจเดินเอาหอกมาทิ่มจ่อทองแก้วไว้
"อย่าทำข้านะ ข้าเห็นใจพวกเอ็ง เดินทัพมาไกลเอ็งก็คงอยากเจอผู้หญิงบ้าง ข้าจะบอกที่ที่พวกผู้หญิงหนีไปซ่อนให้พวกเอ็งรู้"
ทหารยามอังวะหันมามองหน้ากัน ก่อนจะลดหอกลงมาคุยกับทองแก้ว
"ถ้าพวกเอ็งบอกที่ซ่อนสาวๆ ได้ ข้าจะไม่ให้เอ็งทำงานหนัก"
"ที่พูดนี่แน่นะ"
"คนอังวะอย่างข้าพูดคำไหนคำนั้น"
"งั้นเข้ามาใกล้ๆ ข้าซิ ข้าจะบอกให้"
ทหารยามสองคนเริ่มเอะใจ ไม่กล้าเข้า ดอกไม้ฟังอยู่ก็ไม่พอใจ
"เอ็งคิดจะเอาตัวรอดอย่างนี้หรือไอ้ทองแก้ว ไอ้คนเห็นแก่ตัว"
ทองแก้วเจ้าเล่ห์ "ถ้าพวกเอ็งไปเจอพวกสาวๆ ตามที่ข้าบอก พวกเอ็งต้องทำอย่างที่พูดนะ"
ดอกไม้โมโหมาก "กูไม่คิดเลยว่ามึงจะเป็นคนอย่างนี้"
"เอ็งจะยอมให้มันทรมานเอ็งอย่างนี้จนตายก็แล้วแต่เอ็ง ข้าไม่ทนแล้ว"
"แต่กูยอมตาย ให้กูตายดีกว่าทรยศพวกเดียวกัน"
ทองแก้วรีบกวักมือเรียกทหารยามให้เข้ามาหา
"เร็วๆ ผู้หญิงพวกนั้นเป็นคนบ้านเดียวกับไอ้ดอกไม้มัน"
"ไอ้ทองแก้ว ถ้ากูหลุดไปได้ กูจะฆ่ามึงก่อนเป็นคนแรก คอยดู"
ทหารอังวะที่มีพวงกุญแจ เดินเข้าไปหาทองแก้ว ทองแก้วทำท่าจะกระซิบ แต่แล้วเปลี่ยนเป็นรัดคอติดกรงขัง
"เร็ว ช่วยกัน" ทองแก้วร้องบอก
ทหารอังวะอีกคนตกใจ ถือหอกวิ่งตรงเข้าจะแทงทองแก้ว แต่ช้ากว่าเชลยอีกคนที่วิ่งมาคว้าหอกจากทหารคนแรก แทงสวนออกไปถูกทหารที่วิ่งมาล้มลงทันที
"ล้วงปะแจมันออกมา"
ทองแก้วรีบบอก เชลยต่างช่วยกัน จนได้กุญแจมาไข ทหารยามบนหอประตูเห็น ส่งเสียงดัง
"เชลยหนี เชลยหนี จับมัน"
"เร็ว พวกมันแห่กันมาแล้ว" ดอกไม้ร้องบอก
ทองแก้วออกมาได้ รีบหาดาบมาเฉือนเชือกมัดให้ดอกไม้ คนอื่นๆ ต่างไปช่วยกรงอื่นๆ
"กูปล่อยมึง มึงจะฆ่ากูหรือเปล่า"
"กูรู้ว่าคนอย่างมึงไม่ทรยศกันเองดอก ไป"
ทองแก้วกับดอกไม้วิ่งออกไปที่สะพาน ทหารอังวะ 4 คนวิ่งนำทหารอังวะคนอื่นๆ ออกมา ทองแก้ว ดอกไม้ และเชลยคนอื่นๆ ต่างคว้าอาวุธของใกล้ตัวออกมาสู้ ทองแก้ว ดอกไม้ ฆ่าทหารตายไปหลายคน เชลยไทยบางคนไม่มีฝีมือ ถูกทหารอังวะฆ่าไปหลายคนเหมือนกัน
"เร็ว พวกเรา มาทางนี้"
ทองแก้ววิ่งนำ ดอกไม้กับเชลยไทยที่เหลือลุยน้ำไปอีกทาง ทหารอังวะกลุ่มใหม่ตามออกมา โกรธจัด
"ไปจับตัวมันมาให้ได้"
ทหารอังวะวิ่งลุยน้ำตามพวกทองแก้วออกไปทันที
อากาปันยีโกรธ ยืนอยู่ในศาลาบัญชาการ มีนายทหารอังวะที่สะบักสะบอมหมอบอยู่ใกล้ๆ
"พวกเอ็งมันโง่ ปล่อยเฉลยหนีไปได้อย่างไร ข้าอยากจะตัดหัวพวกเอ็งทิ้งเหลือเกิน"
มยิหวุ่นนั่งฟังอยู่ ไม่พอใจ
"ข้าขออาสานำทหารออกตามจับมันเอง มันคงยังหนีไปได้ไม่ไกล"
"เอ็งจะทำผิดซ้ำอีกหรือ ขืนมัวตามจับไอ้พวกเชลยเหลือเดนแค่ไม่กี่คน เสบียงที่ข้าต้องนำส่งให้ทัพหลวงในวันพรุ่งนี้อีกพันเกวียน มีหวังไม่ทันคราวนี้ ไม่ใช่พวกเอ็งเท่านั้นที่จะตาย ข้าก็จะถูกจับใส่ตระกร้อถ่วงน้ำด้วย ปล่อยมันไป พวกเอ็งไปกวาดต้อนเอาเสบียงเพิ่มมาแก้ตัวให้ข้า ไม่เช่นนั้นข้าตัดหัวเอ็งแน่"
นายทหารอังวรีบไหว้ออกไป มะยิหวุ่นยังนั่งมองอากาปันยีนิ่ง
"มยิหวุ่น แล้วอย่าให้เรื่องนี้รู้ถึงหูท่านเนเมียวเด็ดขาด" อากาปันญีสั่งเด็ดขาด
ตะวันตรงหัว แสงแดดแรงสาดส่องไปทั่วบริเวณ ทัพถูกมัดมือไพล่หลังติดกับต้นไม้ เหงื่อแตก ลูกน้องหน้าเหี้ยมของเสือปิ่นเฝ้าอยู่ 2 คน ทัพถูเชือกเส้นใหญ่ที่รัดแน่นกับต้นไม้ เชือกบาดข้อมือ เลือดซิบ แต่สีหน้าไม่แสดงความเจ็บ กลับจ้องลูกน้องเสือปิ่นที่กินเหล้า หน้าแดงก่ำเมามาย ไม่ค่อยมีสติ ห่างออกไปอ้ายเลาถูกผูกไว้
กลุ่มเสือปิ่นเพิ่งปล้นเข้ามา ชิด หัวหน้ารองจากเสือปิ่น คุมลูกน้องหลายคนแบกหีบสมบัติที่ปล้นจากคนไทยด้วยกัน เสือปิ่นเดินเข้ามาหาทัพ
"เห็นมั้ย ทรัพย์สมบัติมากมาย เอ็งยังเปลี่ยนใจได้ ถ้าคิดจะมาเป็นโจรกับข้า ฝีมือดาบเอ็งดี เราจะช่วยกันทำมาหากิน"
"ถุย เอ็งกล้าพูดว่าทำมาหากิน"
เสือปิ่นกับลูกน้องหน้าตากะเหี้ยนกะหืออยากจะฟันทัพ แต่ทัพจ้องมอง แววตาไม่กลัว จนทุกคนเกรงๆ
"ทำมาหากินอย่างเอ็งช่างเลวบัดซบ ปล้นฆ่า ฉกฉวยสมบัติ ไม่ต่างกับข้าศึกปล้นแผ่นดิน แต่เอ็งชั่วช้ากว่าข้าศึกหลายเท่าเพราะเอ็งปล้นคนไทยด้วยกัน"
ทัพพูดขึ้นด้วยเสียงที่ทุกคนฟังแล้วสะท้าน เสือปิ่นโกรธจัด ชักดาบเงื้อขึ้น
"ปู่ย่าตายาย บรรพบุรุษจะสาปแช่งลูกหลาน ที่มันทรยศแผ่นดิน"
เสือปิ่นตาวาวด้วยความโกรธสุดขีด ฟันดาบลงมาทันที ทัพมองนิ่ง ไม่สะทกสะท้านกับเงาดาบของเสือปิ่น
ทองแก้ว ดอกไม้ และเชลยวิ่งลัดป่าไผ่มาเจอแฟงซึ่งกำลังขุดหน่อไม้อยู่ ต่างตกใจมองหน้ากัน
"ไม่ใช่พวกอังวะนี่"
"ก็ไม่ใช่นะซิ" ทองแก้วบอก
"หนีเร็ว พวกอังวะกำลังตามข้ามา" ดอกไม้เร่ง
แฟงกระชับเสียมขุดหน่อไม้มั่น ไม่กลัว
"พวกพ่อนั่นแหละ หนีไป เร็ว"
ทองแก้วกับดอกไม้มองหน้ากัน งง "ไปซิ ข้ามีแผน"
ทองแก้ว ดอกไม้ มองหน้ากัน ก่อนจะพาเชลยวิ่งออกไป แฟงลงก้มหน้าก้มตาขุดหาหน่อไม้ต่ออย่างใจเย็น เท้าทหารอังวะเดินย่ำใบไผ่เสียงกรอบแกร็บ แฟงยังคงขุดหน่อไม้ ไม่สนใจใยดี ทหารอังวะเดินมามองแฟงตาเป็นมัน
"เฮ้ย" แฟงหันมาเห็น ตกใจ ทิ้งของวิ่งหนี
"ไม่ได้ผู้ชาย ก็เอาผู้หญิงไป"
ทหารอังวะต่างวิ่งไล่จับแฟง แฟงวิ่งหนี ทองแก้วซุ่มอยู่ออกมาเตะทหารอังวะกระเด็น ดอกไม้ช่วยทองแก้วสู้
ทัพมองปลายดาบเสือปิ่นที่กำลังจะถึงคอ เสียงอ้ายเลาร้องดังขึ้น เสือปิ่นชะงัก ทัพหันไปมอง อ้ายเลาร้องดัง กระชากเชือก พยายามจะวิ่งเข้ามาหาทัพ เสือปิ่นหันไปมอง ลูกน้องเข้าไปดึงแต่ถูกอ้ายเลาเตะใส่ ลูกน้องกรูเข้าไป อ้ายเลาทั้งร้อง ทั้งเตะ หลายคนกลิ้งลงกับพื้น ชิดชักดาบ
"ไอ้ม้าเวร ดูสิจะทานดาบกูได้มั้ย"
ทัพร้องห้าม "อ้ายเลา หยุดเถอะ อ้ายเลาเพื่อนยาก"
อ้ายเลาได้ยินเสียงทัพก็หยุดทันที
"เอ็งอย่าดิ้นรนช่วยข้าเลย อ้ายเลาเพื่อนยาก ชะตาข้าต้องตายด้วยมือโจร ก็ปล่อยให้ข้าตายเถิด เอ็งจงรักษาชีวิตไว้ไม่ต้องตายตามข้าไปด้วย"
อ้ายเลามองทัพด้วยความจงรักภักดี เสือปิ่นกับพวกมองอย่างไม่เชื่อสายตา อ้ายเลาน้ำตาไหล ทัพมองม้าคู่ใจด้วยสายตาอาลัย
แฟงวิ่งหนีมา ทหารอังวะ 6 คนไล่ตามมา จนมาถึงแนวพุ่มไม้ป่าละเมาะขวางหน้า นายแท่น นายอิน นายเมือง นายโชติ วิ่งออกมาเผชิญหน้าทหารอังวะ บุกเข้าฟันโดยไม่รอช้า ทหารอังวะไม่ทันตั้งหลักถูกฟันตายในเวลารวดเร็ว
ในป่า ทัพมองจ้อง เสือปิ่นตัดสินใจลดดาบลง
"ใจมึงมันเด็ดเดี่ยวเกินชาวบ้าน"
"ข้าก็ชาวบ้านธรรมดานี่แหละ ได้ชื่อว่าโจรเหมือนพวกเอ็งด้วยซ้ำ"
เสือปิ่นกับพวกมองเลิ่กลั่ก นึกไม่ถึง
"ข้าเป็นโจรหนีทัพ ทหารกรุงต้องการตัวข้าไม่ต่างจากพวกเอ็ง มันจับข้าไม่ได้ เลยต้อนครัวข้าไปรับโทษที่กรุงศรี"
"ทำแบบนั้นเท่ากับเอ็งวิ่งไปหาคมดาบทหารกรุงศรีหรือไม่ก็พวกอังวะที่มันเพ่นพ่านอยู่ทุกหัวระแหง เอ็งอยากตายนักรึ"
"ทุกคนเกิดมาก็ต้องตายทั้งนั้น แต่ข้าขอเลือกตายเพื่อคนที่ข้ารัก" ทัพพูดให้เสือปิ่นได้คิด
ทองแก้วกับดอกไม้ สู้กับพวกอังวะอยู่ นายแท่น นายอิน นายเมือง นายโชติ เข้าไปช่วยฆ่าพวกอังวะตายทั้งหมด แฟงวิ่งถือเสียมกลับมาเห็นทหารอังวะตายหมดก็เสียดาย
"โธ่ ไม่เหลือให้ข้าสักคนเลยหรือ"
"ไม่ต้องเสียดายดอกแม่แฟง ยังมีไอ้พวกอังวะให้เราฟันคออีกมากนัก" นายเมืองบอก
"แล้วพี่สองคนนี่เป็นใคร" นายโชติถาม
"ข้าชื่อดอกไม้ บ้านกรับ แล้วนี่พ่อทองแก้ว บ้านโพธิ์ทะเล เราสองคนถูกพวกมันจับไปเป็นเชลยอยู่ที่ค่ายวิเศษไชยชาญ พวกมันปล้นเรือนข้าจนไม่มีอะไรเหลือ"
"พวกข้าตัดสินใจแหกค่ายเชลยมันออกมา ตั้งใจแล้วว่าจะยอมตายดีกว่าไปเป็นเชลยมัน"
"งั้นดีเลย ข้าชื่อโชติ พวกเรากำลังรวบรวมครัวไทยที่แตกพลัดเข้าเป็นกลุ่มเป็นกองจะได้สู้กับไอ้พวกโจรอังวะได้ถนัดมือ นี่พ่ออิน พ่อเมือง พ่อแท่น แล้วนั่นแม่แฟง สาวบ้านคำหยาด"
"แม่แฟงนี่กล้านัก กล้าเกินหญิง ยอมเป็นตัวล่อตาข้าศึกให้เราฆ่ามาหลายศพแล้ว" นายอินชื่นชม
ทองแก้วดีใจ "พ่อโชติเป็นผู้นำชาวเมืองสิงห์ เข้าสู้กับพวกมันยังงั้นหรือ"
"ไม่ใช่ข้าหรอก พ่อแท่น พ่อบ้านศรีบัวทองนี่ต่างหากเป็นผู้นำ ตอนนี้เรามีครัวไทยอยู่ที่ศรีบัวทองมากโขอยู่ พ่อสองคนจะเอาด้วยมั้ย"
"ดีนะดอกไม้ เรามารวมกับชาวศรีบัวทองสู้กับพวกอังวะดีกว่า ในเมื่อกรุงศรีก็ไม่ดูแลเรา ทิ้งเราแล้ว"
"งั้นขอข้าสองคนกลับไปตามครัวที่บ้านกรับกับโพธิ์ทะเลมารวมด้วยดีกว่า ขืนทิ้งไว้เห็นจะตายกันหมดเสียเปล่า"
ทั้งหมดต่างฮึกเหิมพร้อมสู้
000000000000000000
ในป่า ทัพถูกมัดมือ ชิดตะโกนขึ้น
"ฆ่ามันเลยพี่ สิ้นเรื่องสิ้นราวไป"
"ไม่ต้อง มันกล้า ข้าชอบ"
ชิดกับลูกน้องพากันฮึดฮัดแต่ก็ต้องฟัง เสือปิ่นมองทัพ
"ข้าจะเก็บเอ็งไว้ ถ้าทหารกรุงศรีมาเจอ ข้าจะส่งเอ็งให้ไปรับโทษแทนพวกข้า"
เสือปิ่นกับพวกถอยออกไป ทัพได้แต่มองด้วยความเจ็บใจ
ที่ลานบ้านศรีบัวทอง แฟงและดอกไม้ ทองแก้ว ชาวบ้านกรับ 10 คน บ้านโพธิ์ทะเล 10 คน ชาวบ้านศรีบังทองนั่งล้อมวงฟัง พวกนายแท่น นายโชติ นายอิน นายเมืองพูดอยู่ที่ลานบ้านอย่างภูมิใจ นายแท่นเป็นหัวหน้า เอ่ยขึ้น
"ตอนนี้พวกอังวะมันรุกขึ้นมาทั่วแขวงวิเศษไชยชาญ เมืองสิงห์ เมืองสรรค์ บ้านไหนไม่ยอมส่งเสบียงสวามิภักดิ์ พวกมันก็จะพรากลูกพรากเมีย ฆ่าเสียให้ป่นปี้เผาเรือนจนวอดวาย"
ทุกคนฟังแล้วสลดใจกับสภาพความพินาศที่ศัตรูเข้ามาย่ำยี
"จะมีไทยคนไหนดูดายอยู่ได้ ข้าจะไปบอกให้พี่น้องไทยลุกฮือต้านมัน เจอที่ไหนกุดหัวพวกมันให้สิ้น" นายเมืองแค้น
"คิดเสียก่อน ไอ้เมือง ทหารอังวะมากันมากมายเกินจะนับ เรามีแค่มีดแค่พร้า ปืนสักกระบอกยังหายาก เด็กเล็ก ผู้หญิง คนเฒ่าคนแก่จะพากันตายหมด" นายแท่นท้วง
"ทำอย่างพี่แท่นว่า แผนนี่แหละดี ให้ผู้หญิงหลอกล่อพวกทหารเลวออกมา แล้วเราก็ลอบฆ่า ตัดกำลังมันเสีย" นายโชติพูดแผนการ
"แต่ไม่นานหรอก โชติ พวกมันจะจับทางได้ ไม่หลงกลเราอีก" นายแท่นเตือน
"กว่าจะถึงตอนนั้นพวกมันก็ต้องตายเพราะฝีมือดาบของพี่แท่น พี่โชติ พี่อิน พี่เมือง จนนับไม่ถ้วน พวกพี่ก็เห็นความกล้าของฉันแล้ว ขอให้ฉันเป็นตัวหลอกล่อพวกมันทุกครั้งไปเถิดนะจ๊ะ"
"เอ็งนี่มันห้าวจริงๆ แฟง" นายโชติทึ่ง
"เป็นน้องเป็นนุ่ง ข้าคงปวดหัว" นายอินบ่น
"ใครๆ ก็พูดกับฉันแบบนี้ล่ะจ้ะ"
แฟงยิ้มห้าวหาญ ทุกคนยิ้มขำกับความห้าวของแฟง
"ไม่กลัวตายเลยหรือ แฟง" ดอกไม้ถาม
"ไม่เลยจ้ะ ฉันกลัวเพียงอย่างเดียว" ทุกคนมองแฟงอย่างสงสัย
"กลัวชาตินี้จะไม่ได้เจอหน้าแม่ หน้าพี่ชาย พี่สาวอีก" สายตาแฟงหม่นลง
"ฉันอยากจะให้พี่สาวที่ฉันรักที่สุดในชีวิตอภัยให้ฉันก่อนตาย ฉันทำผิดต่อพี่เฟื่อง ถ้าชาตินี้พอมีบุญ นังแฟงคนนี้ก็อยากกลับไปกราบพี่เฟื่อง ขอให้พี่เฟื่องยกโทษให้สักครั้ง กับความผิดที่นังแฟงทำให้พี่เฟื่องต้องถูกจับไปตกระกำลำบาก หากฉันทำอะไรที่จะชดใช้ความผิดครั้งนี้ได้ ขอให้บอก ถึงตายฉันก็ยินดีจะทำ"
นายแท่นและเหล่านักรบ ต่างมองแฟงด้วยความภูมิใจ
เฟื่องกำลังช่วยชาวบ้านเลี้ยงเด็กอยู่ที่ค่ายพักแรม ขาบเดินกลับจากตรวจตรา เฟื่องรีบตักน้ำมาส่งให้ขาบ
"ฉันเห็นพี่เดินลาดตระเวนตั้งแต่เช้า"
ขาบรับขันน้ำมาดื่ม แล้วทอดสายตามองไปที่เฟื่อง "ชื่นใจนัก เฟื่อง"
"เราต้องอยู่ที่นี่อีกนานหรือ พี่ขาบ"
"ยังไม่มีคำสั่งให้เราไปต่อ"
"ที่นี่มีแต่กองเกวียนชาวบ้าน ทหารก็แค่หยิบมือ ถ้าทหารอังวะบุกเข้ามาพี่จะสู้ไหวหรือ"
"ก็เอาเลือดแลกเลือด ฆ่ากันตายไปข้างหนึ่ง"
"คนประมาท จะนำมาแต่ความพินาศ"
ขาบหันมองเฟื่องทันที เฟื่องเอ่ยน้ำเสียงหยามหยันสังข์
"นายกองสังข์ได้ดิบได้ดี มียศเพราะพูดจาเข้าหู รู้ทางเข้าหาเจ้าหานาย ไม่ใช่ฝีมือ"
"สังข์มันก็เก่งดาบนะเฟื่อง ไม่มีแต่ไอ้ทัพคนเดียว"
เฟื่องหน้าเศร้าลง ขาบน้อยใจที่เฟื่องคิดถึงแต่ทัพ
"พี่ขาบ พี่ไม่คิดจะไปจากที่นี่ก่อนอังวะมันจะมาเจอหรือ"
"คิด แต่ทหารผู้น้อยต้องทำตามคำสั่ง ยังไม่มีใบบอกให้เคลื่อน เราก็ต้องอยู่ที่นี่ไปก่อน ไม่ต้องกลัวหรอกเฟื่อง คนอย่างพี่ถึงจะเก่งไม่เท่าไอ้ทัพคนรักเอ็ง แต่ดาบพี่ก็ลับคมไว้เสมอ คงพอจะปกป้องเอ็งจากศัตรูได้อยู่หรอก"
ขาบมองเฟื่องด้วยแววตาน้อยใจ แล้วเดินออกไป เฟื่องพูดไม่ออก
ในป่าลึก ทัพถูกมัด เสือปิ่นกับลูกน้องดื่มกินกันจนเมามาย ทัพมองสำรวจไปรอบๆ ว่าลูกน้องเสือปิ่นอยู่ที่จุดใดบ้าง ชิดหันมาเห็นทัพมองอยู่ก็ถือน่องไก่ที่กำลังกินเดินอาดๆ เข้ามาหา เยาะเย้ย ทัพจ้อง ชิดมองโมโห
"มึงไม่รอดแน่ กูนี่แหละจะฆ่ามึง กูไม่เก็บ กูไม่กลัวทหารกรุงศรี กูไม่ใช่คนขี้ขลาดตาขาว ถ้ากูเป็นใหญ่กูจะปล้นไม่เลือกหน้า กูต้องสบายกว่านี้"
ชิดตาวาว เมามายจนไม่มีสติ พูดในสิ่งที่ใจคิด ทัพไม่ได้ต่อความอะไร ชิดเดินกลับไปรวมกลุ่มลูกน้องกินเหล้าต่อ ทัพมองตาม แล้วหันไปมองเสือปิ่นซึ่งหลับไปแล้ว ทัพมีแต่ความอดสูใจ พยายามถูเชือกกับต้นไม้ต่อไปโดยไม่ให้ใครสังเกตเห็น
ขบวนของสไบกับชาวบ้านกระทุ่มด่านเดินทางตัดทุ่งและแม่น้ำเชี่ยว ฟักกับกลุ่มเคลิ้ม เอิบ ช่วง เป็นคนคอยดูแลขบวนอพยพ สไบคอยช่วยคนแก่กับเด็กให้ข้ามแม่น้ำไป ดอกรักมาช่วยจับสไบ แต่สไบสะบัดมือ เดินหนี ดอกรักมองไม่พอใจ ฟักคอยดูแลปิดท้ายขบวนด้วยความกังวล สไบเห็นม้าฟักมาใกล้ก็เอ่ยถามขึ้น
"ป่านนี้ไม่รู้ว่าพี่เฟื่องกับแฟงจะเป็นยังไงบ้างนะจ๊ะ"
"พี่ทัพคงจะไปช่วยเฟื่องไว้ แต่แฟง"
"คนดีผีคุ้ม" สไบมองฟักอย่างเชื่อมั่น
"แฟงจะต้องไม่เป็นอะไร ฉันเชื่อว่าวันหนึ่ง ไม่ว่าที่ไหน เราจะต้องได้เจอแฟง"
ฟักฟังแล้ว รู้สึกดีขึ้นบ้าง ยิ้มให้สไบ
ที่กองคาราวาน ทหารยามเดินไปมา ชาวบ้านนอนหลับกันไปบ้างแล้ว เฟื่องนั่งมองพระจันทร์ ขาบเดินเข้ามาในกระท่อม เฟื่องสะดุ้ง ถอยไปนั่งห่างด้วยสัญชาติญาณผู้หญิง ขาบเดินมาใกล้
"กลัวข้ามากหรือ เฟื่อง"
เฟื่องกลัว แต่ยังยิ้ม ใจดีสู้เสือ "ฉันรู้ว่าพี่ขาบเป็นคนดี"
"บางทีข้าก็ไม่อยากเป็นคนดี"
ขาบวางดาบลงแรง เฟื่องไม่สบายใจ ขยับถอย
"เรือนเล็กแค่นี้ เอ็งจะหนีแค่ไหน ก็ไม่พ้นมือข้าหรอก"
เฟื่องสะดุ้ง ลุกพรวด ระวังตัว ขาบเข้ามาใกล้ เฟื่องเตรียมกระโจนวิ่งไปที่ประตู ขาบขวางไว้ เฟื่องชนเข้าในอกขาบอย่างแรง ขาบจับไหล่ เฟื่องดิ้นทันที
"อย่านะพี่ขาบ พี่สัญญาแล้วว่าจะไม่ข่มเหงฉัน"
ขาบมองเฟื่อง เต็มไปด้วยความรัก ความเสน่หา
"พี่สัญญาแล้วว่าจะให้ฉันกลับไปหาพี่ทัพ"
"ลมหายใจเอ็ง หัวใจเอ็งไม่เคยมีให้ใครอื่น นอกจากไอ้ทัพบ้างเลยหรือ เฟื่อง สายตาเอ็งไม่เคยมองเห็นหัวใจของคนที่รักเอ็งบ้างเลยหรือ"
เฟื่องอึ้งมองขาบด้วยความกลัว
สังข์กำลังเดินเข้าหาจวง ด้วยความเมา จวงน้ำตาร่วง ไม่รู้จะหนีได้อย่างไร สังข์เดินมาจับไหล่จวงยกขึ้น ยื่นหน้าจนชิด
"จะร้องไห้ไปทำไมล่ะ จวง"
"อย่าทำอะไรฉันเลย นายกอง"
"หือ เรียกนายกองทำไม เรียกผัวสิ ผัวจ๋า"
สังข์ยื่นมาซุกไซ้ จวงหลบหน้าหนี สะอื้นออกมา สังข์ชะงัก "เอ็งจะร้องทำไม จวง"
จวงเอาแต่สะอื้น สังข์โมโห เหวี่ยงจวงลงไปที่แคร่ จวงถอยหนี สังข์โผพุ่งเข้าไปชิด
"ร้องไปก็ไม่มีใครมาช่วยเอ็งได้หรอกจวง เมียรัก"จวงเบือนหน้าหนีสังข์
ในเรือนขาบ เฟื่องมองขาบที่อยู่ตรงหน้า
"บอกสิว่าเอ็งไม่เคยเห็นใครดีกว่าไอ้ทัพ"
"พี่ขาบ อย่าทำอะไรฉันเลย"
"ทำไมข้าต้องรักษาเอ็งไว้ให้คนอื่นมาเชยชม"
"พี่สัญญากับฉันแล้วนะ"
เฟื่องเสียงแข็ง ถึงกลัวแค่ไหนก็พยายามให้เหตุผลเตือนสติขาบ
"เอ็งรู้จักผู้ชายน้อยไปเฟื่อง ต่อให้เป็นไอ้ทัพ คนดีของเอ็งมาอยู่แบบข้า มันก็คงไม่คิดจะรักษาสัญญา"
เฟื่องเริ่มไม่แน่ใจ แววตาขาบมีแต่ความปรารถนาจนเฟื่องหวั่นใจ
"หรือพี่อยากจะเป็นคนไม่รักษาสัตย์ หรือพี่อยากจะให้ฉันเกลียดพี่ไปจนวันตาย"
"ไม่เป็นไรหรอก เฟื่อง ถ้าเอ็งจะเกลียด ก็ในเมื่อทำยังไงเอ็งก็ไม่วันรักข้าอยู่แล้ว"
ขาบจ้องเฟื่อง เฟื่องหวาดกลัวเมื่อเห็นความปรารถนาของขาบที่กำลังจะทำลายสัญญา
ในเรือนสังข์ สังข์กดไหล่จวงลงไปกับแคร่ ก้มลงซุกไซ้ จวงสะอื้น สังข์จูบแก้ม สัมผัสน้ำตาจวง ชะงักมอง จวงน้ำตานองหน้า
"หยุดร้อง" ยิ่งห้ามเหมือนยิ่งยุ จวงสะอื้นแรง สังข์โมโหมาก
"เอ็งจะร้องทำไมจวง ข้าผัวเอ็ง ไม่ใช่โจรห้าร้อยที่ไหน"
จวงยิ่งสะอื้น สังข์ไม่สนใจ ก้มลงจะจูบต่อ เสียงทุบประตูดัง สังข์ตะโกนออกไป "ใคร"
เสียงทุบประตูดังไม่หยุด สังข์หงุดหงิด ผละจากจวง จวงรีบลุกขึ้นทันที สังข์กระชากประตูเปิดออก
"อะไรวะ"
ทหารกรุงยืนทุบประตูอยู่ สังข์มองผ่านคนมาทุบประตูไปถึงกับชะงัก คุณพระนายยืนเด่นอยู่ที่ชานเรือน มีทหารคุ้มกันอยู่ 2 นาย
"คุณพระนาย" จวงเห็นสังข์ทรุดลงคุกเข่าพนมมือต่อหน้าคุณพระนายหมื่นศรี
เวลาต่อมา เฟื่องกับจวงมองไปที่เรือนหลังหนึ่ง สังข์กับขาบกำลังประชุมอยู่กับคุณพระนาย
"เราเห็นจะไม่จำเป็นต้องพาครัวพวกนี้เข้าไปในกำแพงกรุงศรีแล้ว"
"ทำไมล่ะคุณพระนาย" สังข์แปลกใจ
"ตอนนี้ในกำแพงกรุงศรีแน่นไปด้วยคน จนจะเหยียบกันตาย ปล่อยพวกนี้ไปเสีย ขนแต่เสบียงเข้าไปก็พอ"
ขาบตกใจ รีบแย้ง "แต่คนพวกนี้มันคนบ้านเดียวกับกระผมนะขอรับ กระผมจะทิ้งพวกเขาได้ยังไง"
"ไอ้ขาบ มึงอย่าเพิ่งสอด" สังข์ดุ ขาบจึงต้องเงียบ สังข์รีบขอร้องคุณพระนาย
"ขอกระผมพาเข้าไปเถอะ กระผมจะดูแลเขาเอง ข้าวปลาพวกนี้กระผมจะขอแบ่งไว้พอกินแค่ช่วงน้ำหลากเท่านั้น พอพวกอังวะถอยทัพ กระผมก็จะรีบพาเขากลับคำหยาด"
"ฉันเตือนพวกแกแล้วนะ ถ้าเข้าไปแล้วอดตาย อย่ามาแย่งข้าวคนอื่นกินให้ข้าเห็นแล้วกัน"
เฟื่องกับจวงนั่งมองอยู่ไกลๆ ไม่ได้ยินเสียง
"คุณพระนายมาถึงกลางดึกอย่างนี้ ต้องเป็นเรื่องสำคัญมาก"
"เราคงต้องอพยพต่อแล้วใช่มั้ย พี่เฟื่อง"
เฟื่องกับจวงมองหน้ากันด้วยสายตาสลด
"เข้าไปอยู่กรุงศรี แล้วเมื่อไหร่ถึงจะกลับมาเจอแม่ เจอพี่ทัพได้อีก"
"ไม่ต้องห่วงไปหรอก จวง พี่ทัพ เขามีคนดูแลอยู่แล้ว"
"พี่ทัพไม่มีใคร นอกจากพี่เฟื่อง"
"มีสิ"
"ใคร" เฟื่องเงียบไป คิดถึงภาพที่ทัพกอดแฟง จวงมองแล้วถามขึ้น
"พี่ทัพเขาไม่สัตย์ซื่อเหมือนเก่า เขาเห็นนังม้าดีดกะโหลกดีกว่า"
"แฟงน่ะหรือ"
"ใช่"
"เป็นไปไม่ได้หรอก พี่เฟื่อง พี่ทัพไม่ใช่คนใจโลเล พี่ทัพรักแต่พี่เฟื่อง"
"จวงไม่ได้เห็นอย่างที่พี่เห็น ถ้าใจพี่ทัพยังมั่นคง ป่านนี้พี่ทัพจะต้องตามมาช่วยเราเหมือนครั้งก่อนแล้ว"
"พี่ทัพกำลังมา" จวงยืนยัน แต่เฟื่องไม่มั่นใจ
ในป่าลึก ทัพเงยหน้าพิงต้นไม้ มองพระจันทร์อย่างเหม่อลอย
"เฟื่อง ไม่ว่าเอ็งอยู่ที่ไหน ขอให้รู้ว่าพี่คิดถึงเอ็ง ห่วงเอ็งทุกลมหายใจ รักษาใจ รักษากายไว้นะ เฟื่อง อดทนไว้ พี่จะต้องไปรับเอ็งและทุกคนกลับมาให้ได้"
ทัพมองพระจันทร์ด้วยความหวังเต็มเปี่ยม
เวลาเดียวกัน เฟื่องหน้าเศร้า มองพระจันทร์ที่ลอยเด่นบนฟ้า
"เมื่อไหร่กัน เมื่อไหร่ที่พี่ทัพจะมาถึง ถ้าหัวใจพี่ทัพอยู่ที่นี่ กายพี่ทัพจะต้องมาถึงแล้ว"
เฟื่องน้ำตาคลอด้วยความน้อยใจ
"นอกเสียจาก พี่ทัพหมดรัก หมดอาลัย ปล่อยให้หัวใจดวงนี้มีแต่ความหวังหวังลมๆ แล้งๆ ว่าจะได้พ้นไปจากอ้อมแขนของชายอื่น&qu