บันเทิง

'บางระจัน ตอนที่16'

'บางระจัน ตอนที่16'

25 ม.ค. 2558

'บางระจัน ตอนที่ 16'

บางระจัน ตอนที่ 16
 
งาจุนหวุ่นพุ่งม้ามาอย่างเร็ว เพื่อหนีการตามล่า แต่ม้าเหนื่อยอ่อน ล้มลง งาจุนหวุ่นกลิ้งตกจากหลังม้า ก่อนจะหยุดที่ปลายเท้าม้า งาจุนหวุ่นเงยมอง เห็นเยกินหวุ่นบนหลังม้ากับทหารร้อยคน ที่ตามมาสมทบ
"เยกินหวุ่น ช่วยข้าด้วย พวกมันฆ่าคนของเราไม่เหลือเลย"
เยกินหวุ่นแววตาลุกวาวด้วยความแค้น เขาไปที่ลานโล่งใกล้ค่ายบางระจัน พร้อมทหาร 
"เราจะบุกไปแก้แค้นให้ทหารของเรา ตีมันให้ถึงค่าย"
เยกินหวุ่นมั่นใจ แต่ไม่ทันระวัง นักรบบางระจันนำโดยนายโชติ นายทองแก้ว โผล่ออกมาจากหลุมดินที่พรางไว้ เยกินหวุ่นกับทหารหันไป ไม่ทันตั้งตัว 
"ชาวบางระจันรบ รบเพื่อแผ่นดินของเรา รบ" 
นายโชติ นายทองแก้วชูดาบพร้อมนักรบบ้านระจันวิ่งเข้าหา เยกินหวุ่นบนหลังม้า ตกใจ นึกไม่ถึงว่าจะเจอพวกนับรบบ้านระจันที่ดักซุ่มอยู่ นายโชติ นายทองแก้วฟันทหารอังวะหลายคน เลือดพุ่งกระฉูด ม้าเยกินหวุ่น ตื่น วิ่งวนอยู่ท่ามกลางนักรบบ้านระจัน 
ศพทหารอังวะล้มตายลงนับไม่ถ้วน เยกินหวุ่นเห็นสู้ไม่ได้ ตัดสินใจชักม้าหนีเข้าป่าไป นายโชติ นายทองแก้ว และนักรบบ้านระจันยืนอยู่ท่ามกลางซากศพทหารอังวะ เนื้อตัวเลือดไหลโทรม 
"พวกมันคิดว่าพวกเราตาขาวกลับเข้าค่ายกันหมด ไม่มีการลาดตระเวนรอบค่าย" นายทองแก้วบอก
"นั่นแหละคือความโง่เง่า พวกมันไม่คิดว่าเราจะเตรียมฟันคอมันซ้ำสอง" นายโชติกร้าว
เหล่านักรบยิ้มให้กันอย่างพอใจที่ทำลายทัพเยกินหวุ่นได้ 
ทัพดูอ้ายเลาเล็มหญ้า อ้ายเลาหันมามอง ทัพเข้าไปกอดคออ้ายเลา 
"อ้ายเลา เพื่อนยาก เอ็งกับข้าจะต้องร่วมทุกข์ร่วมสุขกันไปอย่างนี้ จนกว่าศึกจะสงบ" 
แฟงเดินมาด้านหลัง มองทัพลูบขนอ้ายเลา
"จนกว่าจะได้กลับบ้าน อย่าทิ้งข้าไปอีกคนนะ" 
ทัพเศร้าใจ เมื่อนึกถึงเรื่องเฟื่องกับขาบ อ้ายเลาเห็นแฟง ก็ดันทัพให้หันมาทางแฟง
"อ้าว แฟง"
"พี่ว่าใครทิ้งพี่"
"พี่ก็พูดไปเรื่อย" 
"พี่เฟื่องไม่เคยอยากทิ้งพี่เลย แต่เพราะฉัน ฉันทำให้พี่กับพี่เฟื่องผิดใจกัน จนไอ้ขาบฉวยโอกาสจับพี่เฟื่องไป" 
"อย่าโทษตัวเองเลย แฟง เรื่องมันผ่านมาแล้ว เฟื่องเองก็คงไม่เคยคิดโทษน้องสาว"
"ฉันไม่มีวันลืมได้หรอกพี่ทัพ ฉันเป็นคนทำให้พี่เฟื่องไปตกระกำลำบาก พี่เฟื่องต้องเป็นเมียไอ้ขาบเพราะฉัน"
แฟงเสียงเครือ น้ำตาคลอ
"ทั้งๆ ที่พี่รักกับพี่เฟื่อง ถ้าไม่มีฉัน พี่กับพี่เฟื่องจะได้อยู่ด้วยกัน" 
แฟงน้ำตาหยด ทัพมองแล้วสงสาร เดินเข้าไปใกล้ จับไหล่แฟง
"หยุดเถอะ แฟง หยุดโทษตัวเอง ทุกอย่างมันแล้วแต่เวรแต่กรรมที่พี่กับเฟื่องทำมา ไอ้ขาบเองมันก็รักเฟื่อง" 
"แต่พี่เฟื่องไม่อยากมีลูกกับไอ้ขาบ" 
"มีลูก" 
"ใช่ พี่เฟื่องท้อง พี่เฟื่องอยากเป็นเมียพี่ มีลูกกับพี่"
ทัพเขย่าร่างแฟง จ้องด้วยแววตาสั่งสอนแบบผู้ใหญ่
"หยุด แฟง หยุดพูด หยุดคิดแบบนี้ เรื่องพี่กับเฟื่องมันไม่มีวันเป็นไปได้"
"พี่ทัพยังรักพี่เฟื่องมั้ย"
"รักซิ" แฟงหน้าสลดลง ทัพจ้องอธิบายกับแฟง
"แต่เป็นรักแบบน้อง รักที่เป็นห่วงอย่างน้องสาวคนหนึ่ง เหมือนที่พี่ห่วงจวง"
"ฉันรู้ว่าพี่สองคนยังรักกัน"
"เอ็งจะมารู้ใจพี่ดีได้ยังไง เอ็งไม่ได้มานั่งกลางใจพี่"
ทัพมองแฟงแววตาสั่งสอน
"จำไว้นะแฟง อย่าคิดโทษตัวเอง อย่าคิดว่าพี่กับเฟื่องยังอาลัยอาวรณ์กัน พี่ไม่เลวพอที่จะรักเมียเพื่อน ไอ้ขาบคือเพื่อน เฟื่องคือน้อง แล้วเฟื่องเองก็รู้ว่าตัวเองต้องรัก ต้องซื่อสัตย์กับขาบ รักแล้วต้องรู้ผิดรู้ชอบ ไม่อย่างนั้น รักมันจะทำลายตัวเราเอง"
ทัพมองแฟงที่มองด้วยสายตาตื่นๆ ถามด้วยเสียงอ่อนลง
"เข้าใจแล้วใช่มั้ย แฟง"
"จ้ะ พี่ทัพ"
ทัพมองแฟงเหมือนเด็กน้อยน่าสงสาร ก็ดึงมือไปที่อ้ายเลา จับมือแฟงลูบลงแผงคออ้ายเลาเบาๆ
"อ้ายเลามันชอบให้ลูบเบาๆ"
แฟงมองตื่นเต้น ลูบอ้ายเลาเบาๆ ทัพหยิบหญ้าส่งให้แฟง แฟงยื่นหญ้าให้ อ้ายเลาเคี้ยวหมดเร็ว แล้วเอาหัวมาไซ้ใกล้ๆ แฟง แฟงจั๊กจี๋หัวเราะ ทัพยิ้มมองแฟงที่กอดอ้ายเลา
"เอ็งมันยังเด็กมาก แฟง เมื่อกี้ยังน้ำตาหยด ตอนนี้หัวเราะเสียแล้ว"
แฟงมองค้อนทัพ แล้วเข้าใกล้หูอ้ายเลา
"อ้ายเลา ช่วยเตะปากผู้ใหญ่ขี้บ่นให้สักป้าบสองป้าบ" 
อ้ายเลายกขา ร้องดัง ทัพถอย 
"เฮ้ย เฮ้ย อย่า นะ อ้ายเลา"
แฟงกอดอ้ายเลาหัวเราะชอบใจ ลืมความขุ่นเคืองไปหมด
ที่ลานซ้อมอาวุธ ชาวบ้านร้องรำทำเพลงฉลอง กิน ดื่มเมื่อได้ชัยชนะ นายดอกไม้ นายทองแก้วเป็นต้นเสียงฝ่ายชาย มีแม่เพลงชาวบ้านหญิงเป็นต้นเสียงฝ่ายหญิง เอิบ ช่วง ฟัก สังข์กินเหล้า จวงกับรุ่งเอาไก่ปิ้งมาวางเพิ่ม สังข์เห็นจวงก็แซว
"มารับพี่กลับไปนอนกอดหรือจ๊ะ น้องจวง"
จวงจ้องให้สังข์หยุด แต่สังข์ไม่หยุด แถเข้าไปรวบตัวจวงมานั่งตักแล้วกอดไว้ รุ่งแทบกรี๊ด พวกผู้ชายหัวเราะ
"พี่สังข์หนาวมาหลายคืนแล้ว"
"หนาวมากเหรอจ๊ะ พี่สังข์"
"มากสิจ๊ะ น้องจวง"
จวงฉีกยิ้มแล้วบิดหมับเข้าที่หูสังข์ 
"เดี๋ยวฉันจะทำให้หายหนาว" 
"น้องจวงจ๋า หูพี่" 
จวงไม่ฟัง บิดหูสังข์ลากออกไป
"หูขาดแน่มึง ไอ้สังข์" เอิบแซว
สไบเดินเข้ามามอง ขำจวงที่ดึงหูสังข์ลากออกไปจากวง ฟักหันไปเห็นสไบก็ถาม
"ไอ้ใจอยู่ไหนน่ะ สไบ ไม่เรียกมากินด้วยกัน" 
"หายหัวอีกล่ะสิ ไอ้นี่ชอบหายแว่บ" ช่วงพูด
สไบฟังแล้วสีหน้าไม่ดี แต่ใจก้าวมาจากด้านหลัง
"ฉันอยู่นี่"
ใจเดินมาข้างสไบแล้วยิ้มให้
"หายไปไหนมา พี่ใจ"
"ไปหาพี่ทองเหม็นมา" 
"พี่เจิดล่ะ"
"เห็นบอกเจ็บแผล" 
"ฉันเอายาไปให้มั้ย"
"ไม่ต้องหรอก หลับไปแล้วล่ะ" 
"มามา ไอ้ใจ มานี่ ข้าจะเล่าให้ฟังตอนฟันกับพวกอังวะวันนี้ เสียดายที่เอ็งยังฝีมือไม่พอที่จะออกศึก" 
ฟักเรียก ใจรีบเข้ามานั่งใกล้ฟัก สนใจ สไบมองโล่งใจที่ใจไมได้หายไป กระเถิบเข้ามานั่งฟังฟักเล่าใกล้ๆ
"พวกมันน่ะมาเป็นร้อย แต่เจอพวกเราวางแผนล้อมกรอบ ตลบหน้าหลังมันเท่านั้นมันก็ตกใจ แตกขบวนไม่เป็นท่า พวกข้ากับชาวบ้านระจันก็ไล่ฟันกันสนุกมือ พวกอังวะน่ะ มันนึกว่ามีคนเยอะ แล้วจะชนะ ยิ่งมันยกมาอีกเป็นกองสอง ก็ถูกพ่อโชติกับพ่อดอกไม้ พรางตัวออกไล่ฆ่ากลับไปอีก คราวนี้มันคงหดหัวไม่กล้าย่ำทัพมาใกล้บ้านระจันอีกนาน" 
ใจยิ้ม มองฟักเล่า ไม่แสดงพิรุธทั้งๆ ที่ใจไม่ยินดีด้วยเลย
งาจุนหวุ่น และเยกินหวุ่น สองนายกองที่เพิ่งรบแพ้บ้านระจัน ก้มหน้า หมอบตรงหน้าเนเมียวสีหบดี เจิดนั่งก้มหน้าอยู่กับจาด สุรินทรจอข่องเองก็สีหน้าไม่ดี เมื่อเห็นสภาพงาจุนหวุ่นที่แพ้กลับมา
"พวกมันเป็นชาวบ้าน ที่ฝีมือรบของมัน"
งาจุนหวุ่นกลืนน้ำลาย พยายามจะสรรหาคำที่พูดแล้วไม่ทำให้ตัวเองต้องคอขาด เยกินหวุ่นรีบต่อให้
"พวกมัน สู้ สู้แบบยอมตาย" 
"แล้วทำไมเจ้าสองคนถึงกลับมา"
งาจุนหวุ่น เยกินหวุ่นแทบหยุดหายใจ เมื่อได้ยินคำถามจากเสียงทรงอำนาจของเนเมียวสีหบดี
"ทำไมถึงไม่ตายเพราะคมดาบชาวบ้าน เอาความพ่ายแพ้กลับมาหาข้าทำไม"
"ข้าพยายามแล้ว แต่พวกมัน พวกมัน" งาจุนหวุ่นพูดไม่ออก
"แค่ชาวบ้านไม่กี่ร้อยแม่ทัพของข้าสองคนยังเอาชนะไม่ได้ ข่าวนี้คงทำให้มังมหานรธา แม่ทัพแห่งค่ายสีกุก ได้เย้ยข้าไปทูลถึงพระเจ้ามังระแน่"
ทหารเข้ามาคุมตัวงาจุนหวุ่น กับ เยกินหวุ่นที่หน้าซีดเผือด คอตก รู้ชะตากรรมของตัวเองออกไปทันที เนเมียวสีหบดีหันไปทางจาดกับเจิด
"ชาวบ้านพวกนั้น ปล่อยไว้จะเป็นเสี้ยนแก่ทัพเรา จะเป็นเยี่ยงอย่างให้คนไทยมันแข็งข้อ ตั้งตัวต่อสู้ ไม่เกรงกลัวกองทัพของเรา" 
ติงจาโบหยิ่งทะนง ขยับออกมาอาสาก่อน
"ท่านแม่ทัพเนเมียวอย่าเพิ่งวิตกกับไอ้แค่ชาวบ้านระจัน กำลังมันทั้งค่ายคงมีคนรบเป็นไม่เท่าไหร่ ข้า ติงจาโบ ขออาสาไปกำราบพวกมัน กู้ศักดิ์ศรีเราคืนเอง"
ติงจาโบยิ้มมั่นใจ สุรินทรจอข่องหันไปมองอย่างไม่พอใจ 
"กองสอดแนมของจอกยีโบบอกว่าถึงพวกมันจะมีแค่ ดาบ มีด ไม้ แต่ที่สำคัญคือพวกมันใจกล้าบ้าบิ่น ไม่กลัวตาย" 
เนเมียวสีหบดีและทุกคนมองติงจาโบ ติงจาโบไม่พอใจเหมือนสุรินทรจอข่องสบประมาท จึงรีบอาสา 
"แต่ความกล้าของพวกมันก็กล้าอย่างชาวบ้าน ไม่รู้การศึก นี่มันคงกำลังดีใจกับชัยชนะ ข้าขอกำลังไพร่พลอังวะเพียงแค่ห้าร้อยไปสั่งสอนให้มันรู้ว่ากองทัพเรานั้น มีความเชี่ยวชาญการรบเหนือกว่าพวกมันหลายเท่านัก"
"ข้าจะให้ไพร่พลไปหนึ่งพัน ถ้าเจ้ามั่นใจว่าจะล้างอายให้ข้าได้ จงทำให้พวกมันหลาบจำกับที่ทำกับเรา ชาวบ้านเพียงไม่กี่คน มันจะต้านกำลังทหารที่ฝึกมาอย่างดีได้อย่างไร จงตีค่ายมันให้แหลก อย่างไว้ชีวิตมันแม้แต่คนเดียว"
จาดหันมามองเจิดอย่างหนักใจ 
 
0000000000000000
 
ที่ค่ายบางระจัน สังข์นั่งคอพับด้วยความเมาอยู่ในกระท่อม จวงเท้าเอวมองไม่พอใจ
"อย่าเรียกฉันว่า เมียรัก ต่อหน้าคนอื่นอีก ฉันไม่ชอบ" 
จวงจะเดินออกไป สังข์รวบตัวจวงมานั่งในตัก
"น้องจวงจ๋า"
จวงดิ้น สังข์รวบตัวจวงไว้ เสียงออดอ้อน
"แต่งงานตั้งนานแล้ว ยังไม่ได้เข้าหอสักที"
"ปล่อยน่ะ ฉันรำคาญ"
"ไม่ปล่อย จวงต้องอยู่ที่นี่"
"แกอยากหัวแตกใช่มั้ย ไอ้สังข์"
"แตกก็ยอมวะ วันนี้เป็นไงเป็นกัน จะต้องกอดเมียให้สมรัก เผื่อไปศึกคราวหน้าโดนฟันตาย ก็จะได้ไม่เสียดายชีวิต"
จวงชะงัก หันมองสังข์ที่หน้าตาจริงจัง
"แกตายไม่ได้นะ ไอ้สังข์"
"ใครจะห้ามได้ล่ะ จวง"
สังข์เองก็ตอบจริงจัง "พวกข้าศึกมีทั้งมีด ทั้งปืน ขอ ง้าว ช้าง ม้า ไม่รู้เท่าไหร่ คนอีกเป็นพันเป็นหมื่น ถึงคราวรบแล้วต้องตาย พี่ก็ไม่เสียดายเลือดเนื้อ ห่วงก็แต่จวง จะมีใครดูแล"
"ถ้าห่วง แกก็ต้องไม่ตาย แกต้องสู้ ต้องกลับมาให้ได้" 
สังข์มองเห็นแววตาจริงใจห่วงใยของจวง ก็ซบลงที่ไหล่ กอดจวงไว้แน่น
"พี่อยากกลับมากอดจวงอย่างนี้ แต่ถ้าถึงคราวพี่ตายจากศึก จวงอยากมีคนดีๆ ดีกว่าพี่ คอยดูแล พี่ก็ไม่ว่า"
"เกิดมาฉันตั้งใจไว้แล้ว จนตายจะขอมีผัวเดียว"
"ชื่นใจนักจวง พี่เคยเลว เคยชั่วมาสารพัด แค่จวงให้อภัยพี่ พี่ก็มีกำลังใจเป็นคนดี"
"แกต้องดีให้ตลอดนะไอ้สังข์ ยามศึกมาประชิดบ้านอย่างนี้ ถ้าแตกสามัคคี ชิงดีชิงเด่น แย่งกันเป็นใหญ่ สุดท้ายเลือดไทยจะไม่เหลือ ข้าศึกมันจะเอาแผ่นดินเราไปไม่เหลือสักข้อนิ้วเดียว" 
สังข์กอดจวงซบลงในอก
"คนเคยเลวอย่างไอ้สังข์ ภูมิใจที่เกิดมาเป็นไทย ถ้าตายก็ขอตายอย่างไทย ไม่เกรงกลัวศัตรูหน้าไหน จะรบให้เลือดหยดสุดท้าย รักษาดินทุกก้อนให้เป็นสมบัติของชั่วลูกชั่วหลานไทย"
จวงมองแล้วชื่นใจ ประคองแก้มสังข์แล้วก้มลงจูบ สังข์ตาระยิบ
"ชื่นใจของจวง"
ทั้งสองมองสบตากันด้วยความเข้าใจ สังข์จูบแก้มจวงเบาๆ จวงสะเทิ้นอาย สังข์เอนร่างจวงลงบนแคร่ไม้ ทั้งคู่โอบกอดกัน ถ่ายทอดความรักกันแนบแน่นท่ามกลางดาวระยิบระยับบนฟ้า
ทัพนั่งมองดาวอยู่ อ้ายเลายืนหลับ แฟงนั่งข้างทัพ มองดาวแล้วหาวหวอด ทัพหันไปมอง แฟงซบลงท่อนแขนตัวเอง หลับไป ทัพมองแล้วค่อยๆ ดึงแฟงซบลงมาที่ไหล่ แฟงหลับไปที่ไหล่ทัพ ทัพลูบผมแฟงเบาๆ 
อ้ายเลาส่งเสียงครืดคราด ไล่แมลง ทัพหันไปทำมือให้อ้ายเลาเงียบเสียง อย่ารบกวนแฟง อ้ายเลามองแล้ว เมินหน้า หันไปทางอื่น ทัพหันกลับมา เหลือบมองแฟงด้วยรอยยิ้ม แล้วหันกลับไปมองดาวอย่างมีความสุข
ที่เรือนขาบ ขาบนอนซมเพราะพิษไข้ หลังเอากระสุนออก เฟื่องเช็ดตัวให้ ขาบลืมตาฟื้นมามอง
"อย่าเพิ่งขยับนะพี่ขาบ เอากระสุนปืนออกแล้ว หมอให้พี่นอนนิ่งๆ ก่อน"
"พี่ไม่น่าโดนกระสุนเลย ไม่อย่างงั้นพวกมันต้องตายอีกมาก"
เฟื่องมองขาบที่ไม่ห่วงตัวเองเลย 
"พี่นอนพักเถอะ จะได้หายเร็วๆ ศึกหน้าพี่จะได้ฟันพวกมัน เอาคืนจนสมใจ"
ขาบมองเฟื่องยิ้มหวาน "คืนนี้ฉันจะอยู่ที่นี่ ดูแลพี่เอง" 
ขาบมีความสุข ดึงเฟื่องลงมากอดไว้ เฟื่องขืนตัว เขาเอ่ยอย่างเว้าวอน
"ขอพี่กอดให้ชื่นใจนิดเดียวนะ เฟื่อง แค่กอด"
เฟื่องได้ยินเสียงและแววตาขอร้องของขาบแล้วสงสาร ยอมนอนลงในอกชายหนุ่ม 
"มีเฟื่องอยู่ตรงนี้ พี่ก็ไม่เป็นอะไรแล้ว หลับซะ คนดีของพี่"
ขาบกอดเฟื่องไว้ เฟื่องมองขาบ แล้วแตะมือลงที่ท้อง รู้สึกอบอุ่นขึ้นมาอย่างมาก
ตอนเช้า ดอกรักค่อยๆ เอาข้าวเข้าปาก แล้วเคี้ยวอย่างอร่อย สไบมองแล้วยิ้ม กระเถิบไปใกล้ เอาข้าวป้อนถึงปากดอกรัก
"กินเถิดนะจ๊ะพี่ กินให้หมดจาน กินให้มีเรี่ยวแรงรบ รบเพื่อรักษาดิน รักษาน้ำ รักษาข้าวให้เป็นเลือดเป็นเนื้อต่อไปแก่ลูกหลานไท" 
สไบยิ้มมองดอกรักที่กินข้าวไปด้วยความอิ่มเอมใจ
ทัพยืนอยู่กับพ่อค่ายทั้งสี่ ชาวบ้านชาย 5-6 คน ทยอยพากันจูงม้ามาผูก เอิบ ฟัก ช่วง เคลิ้มพากันช่วยกั้นคอกให้ม้า นายแท่นมองแล้วหันมาสั่งทัพ
"ข้าอยากให้พวกบ้านคำหยาดดูแลกองม้าของพวกเรา" 
"ได้เลยจ้ะ พ่อแท่น"
"พวกเอ็งถนัดรบบนหลังม้า ต่อไปจะให้เป็นกำลังสำคัญของพวกเรา" นายอินบอก 
"พวกฉันดีใจเหลือเกิน พวกฉันคนบ้านคำหยาด พากันหนีร้อนมาพึ่งเย็นที่บ้านระจัน มีสิ่งใดจะทำได้ ขอให้พ่อค่ายสั่งมาได้เลย" 
"ดูจากเมื่อวาน ทัพอังวะคิดจะหักค่ายเราให้ได้" นายโชติเอ่ยขึ้น
"พวกเราคงต้องสู้กับมันอีกหลายครา" นายเมืองคาดการณ์
"ขอให้มันมาเถิด พวกฉันจะห้อม้าฟันมันให้ขาดสองท่อน" 
ทัพยิ้มมั่นใจ ใจลอบแอบฟังอยู่ ค่อยๆ ถอยตัวออกห่างไปอย่างเงียบกริบ
ใจเดินเร็วมาผ่านลานตีไก่ สังข์ก้าวมายืนขวางทางไว้
"พี่ชายเอ็งหายไปไหน เมื่อคืนข้าไม่เห็นหน้า" 
"พี่เจิดนอนซมอยู่ในกระท่อม" 
"เป็นอะไร ทำไมไม่พาออกมาหาพ่อหมอ หลบๆ ซุกๆ อยู่ในกระท่อม มันจะหายได้ยังไง ข้าจะไปพามันออกมาเอง"
"ไม่เป็นไร ฉันดูพี่ฉันได้"
"ข้าไม่เห็นเอ็งจะคอยดูพี่ชาย เห็นเขาว่าเอ็งชอบหายหัว"
"ถ้าสงสัยกันนัก ก็เอาโซ่มาล่ามฉันไว้"
สังข์เดินเข้าใกล้ใจ มองจ้อง
"ข้าทำแน่ อย่าคิดว่ามีคนรัก แล้วข้าจะเห็นดีกับเอ็งทุกอย่าง เมื่อไหร่ที่ข้าเห็นเอ็งกับพี่ท่าทางขวางหูขวางตา ข้าจะไม่รอให้ใครสั่งว่าต้องทำยังไง" 
"ข้ารู้ว่าเอ็งสงสัยข้า มันเป็นนิสัยของพวกวัวสันหลังหวะ เคยทำแต่เรื่องให้คนอื่นเดือดร้อน ถึงคอยระแวงว่าจะถูกเอาคืนเข้าบ้าง"
"ไอ้ใจ"
สังข์ฮึดฮัดทันที เมื่อใจจี้จุด แต่ไม่ทันเถียงกันต่อ เสียงกลองศึกดังขึ้น สังข์หันไปทางลานประชุม
"กลองเรียกระดมคน"
สังข์วิ่งเร็วออกไปทันที ใจมอง ผุดยิ้มออกมานิดเดียวก่อนจะรีบตามไป
แฟง สไบวิ่งลงจากเรือน จันทร์ เฟี้ยมตามออกมาดู
"เร็วๆ พี่สไบ กลองตีระดมคนไปศึกแล้ว" 
"พวกข้าศึกนี่ก็ช่างกระไร มันไม่กลัวตาย ไม่พักบ้างเลยหรือ" 
"ระวังนะนังแฟง อย่าห้าวออกไปจับดาบกับเขา" 
"ฉันจะตามพี่เฟื่องไปที่ลานชุมนุมจ้ะ" 
แฟงตอบแล้ววิ่งเร็วออกไปกับสไบ 
ที่ลานซ้อมอาวุธ ทุกคนถืออาวุธวิ่งมารวมตัว ทัพและเพื่อนๆ พ่อค่ายยืนรวมกันอยู่ตรงกลาง สีหน้าเคร่งเครียด นายแท่นพูดขึ้น
"กองตระเวนบอกว่าพวกมันมากันมากกว่าคราวก่อน มากันเป็นพัน"
"คนเป็นพัน แต่เรามีไม่กี่ร้อย ข้าศึกมันได้เปรียบเราทุกทาง" นายทองแสงใหญ่กังวล 
"เอ็งคิดอ่านยังไง ก็จงเร่งคิด" นายทองเหม็นเร่ง 
"ตามตำราพิชัยสงคราม การใช้คนน้อยสู้กับคนมาก เราต้องแบ่งคนสู้"
ทุกคนมองนายแท่นที่พูดถึงกลศึก ใจที่ก้าวเข้ามา หยุดมองทัพ
ที่คอกม้าหน้าค่ายระจัน ทัพ สังข์ และทหารม้าคำหยาดเตรียมม้าอยู่ ชาวบ้านยังวิ่งมาไม่ขาดสาย จวงวิ่งออกมาจากหลังค่าย เห็นสังข์ก็ดีใจ วิ่งเข้ามาหา สังข์เห็นจวงก็ดีใจ
"ไอ้ พี่สังข์"
"จวง ข้าดีใจนักที่ได้เห็นหน้าเอ็งก่อนออกรบ"
ทัพจูงม้าออกมามองสังข์กับจวงที่อาวรณ์กันอยู่ ก็ชะเง้อหาแฟง
"รบให้ชนะนะ ฉันจะคอยพี่กลับมา" จวงยิ้มบอก
"ไม่ต้องห่วง เอ็งคือกำลังใจรบของพี่"
ทัพฟังแล้วทนไม่ไหว เอ่ยถาม
"จวง พวกแฟงไม่ออกมาส่งหรือ"
"แฟงกับพี่สไบไปตามพี่เฟื่องจ๊ะ"
ทัพชะเง้อมองไปหลังค่าย เกรงแฟงจะออกมาส่งไม่ทัน
เสียงกลองระดมยังดังก้อง ขาบยังเจ็บ จับดาบพุ่งออกมาจากด้านใน อยากจะออกไปรบ เฟื่องรีบตามออกมา 
"พี่ขาบ แผลพี่ยังไม่สมาน" 
"ไม่เป็นไรเฟื่อง กำลังพลคงยังไม่พอ พ่อค่ายถึงให้กลองระดมตีไม่หยุด พี่ต้องออกไปช่วยพวกระจันฟันกับมัน" 
แฟง สไบวิ่งมาถึงหน้ากระท่อม เห็นขาบกับเฟื่อง
"อย่าเพิ่งไป พี่ขาบ ฉันทายาให้พี่ก่อน"
เฟื่องคว้าจะดึงขาบไว้ แต่ขาบใจร้อน กระโดดจากเรือนลงมาด้านล่าง เฟื่องเสียหลัก หน้าคว่ำ ตกลงจากชานเรือน
"โอ๊ย" ขาบหันขวับ
"เฟื่อง"
"พี่เฟื่อง" ขาบรีบเข้าไปประคองร่างเฟื่องที่สลบแน่นิ่ง แฟงกับสไบวิ่งมา
"พี่เฟื่อง พี่เฟื่องกำลังท้องอยู่ด้วย" 
ขาบตกใจ มองแฟง "เฟื่องท้อง"
ขาบมองเฟื่องอย่างนึกไม่ถึง
ลานซ้อมอาวุธค่ายระจัน พันเรืองวางแผนการรบอยู่กับพ่อค่ายอื่นๆ และทุกคน ใจอยู่ด้านหลัง อาศัยร่างชายฉกรรจ์คนอื่นๆ บัง แต่ก็ฟังจับใจความทุกอย่าง
"เราจะแบ่งกำลังไพร่พลออกเป็น 3 กอง กองหน้าเป็นกองรุกและปีกซ้ายกับปีกขวา" นายแท่นอธิบายแผน 
"ข้ากับพ่อทองแสงใหญ่จะเป็นกองรุก ไล่ตะลุยฟันพวกมันเอง"
นายทองเหม็นกับนายทองแสงใหญ่ยิ้มฮึกเหิม
"ใครจะเป็นปีกคอยตีโอบพวกมัน" ขุนสรรค์ถาม
"ปีกขวา ข้ากับไอ้อิน ไอ้เมืองเอง ข้าเจอมันมาคราวที่แล้ว รู้ฝีมือพวกมันอยู่" นายจันหนวดเขี้ยวรับอาสา
"ปีกซ้ายที่เหลือ ฉัน ไอ้สังข์กับกองม้าบ้านคำหยาด ขออาสาเอง พ่อค่ายคนไหนจะเป็นหัวหน้าให้ข้า" ทัพอาสาพลางถาม
"ข้าจะไปกับพวกไอ้ทัพเอง" นายทองแก้วบอก 
"เราแบ่งกัน 3 กองตามนี้" นายแท่นย้ำ 
พันเรืองพยักหน้ารับรู้ เดินออกมาหน้าโรงประชุมที่นักรบระจันยืนคอยคำสั่งอยู่
"นักรบระจันทั้งหลาย อังวะยกมาครั้งนี้มันเพิ่มกำลังพลมากขึ้น เพราะแค้นที่ศึกที่แล้วเราเอาชนะมันได้ แต่เราไม่เคยกลัว"
"เฮ"
"ครั้งนี้เราจะแบ่งกองรบเป็นสามกอง เข้าโอบตีมัน เด็ดหัวแม่ทัพมันให้ได้"
"เฮ" ใจฟังแผนทั้งหมดแล้วรีบหลบออกไปทันที
ขาบอุ้มเฟื่องมาที่เรือนแม่หมอ ร้อนใจ
"ช่วยด้วย หมอ ช่วยเมียฉันด้วย"
แฟงกับสไบ วิ่งตามเข้ามา แม่หมอมองอาการเฟื่องที่สลบอยู่
"ช่วยเฟื่องด้วย เมียฉันท้อง หมอ เมียฉันท้อง"
ขาบแทบจะทรุดร่างด้วยความปวดร้าวอยู่ตรงนั้น แม่หมอรีบเข้าไปจับชีพจรเฟื่อง เสียงกลองดังขึ้นเป็นจังหวะช้าๆ สไบเห็นแฟงหันรีหันขวาง
"พวกนักรบระจันกำลังจะออกจากค่ายแล้ว"
"ไปเถอะ แฟง ทางนี้พี่จะอยู่เป็นเพื่อนเฟื่องเอง"
"เดี๋ยวฉันมานะ" แฟงวิ่งเร็วออกไป
นายทองเหม็น นั่งบนหลังควายกับพวก 4-5 คนเดินนำ ส่วนนายทองแสงใหญ่ นำกองหน้าเดินตามออกไปก่อน นายจันหนวดเขี้ยว นายอิน นายเมือง เป็นปีกขวา นำนักรบออกไป นายทองแก้ว อยู่บนหลังม้ากับพวกทัพ ฟัก สังข์ เคลิ้ม เอิบ ช่วง และกองนักรบม้า สังข์กังวลมองหาขาบ แล้วหันมาบอกทัพ
"ไอ้ขาบมันคงยังไม่ฟื้นไข้"
"ไม่เป็นไร ให้มันพักเสียก่อน" 
"ลำพังเราแค่นี้ พวกมันก็ไม่รอดแล้ว ไป" ฟักเรียก
ทุกคนยิ้มให้กันอย่างมั่นใจ ดึงม้าเหยาะย่างไป ทัพกับพวกกำลังพ้นประตูค่าย แฟงวิ่งเร็วมา 
"พี่ทัพ พี่ทัพ"
ทัพหันมามอง แต่หยุดม้าไม่ได้แล้ว ต้องเดินม้าออกประตูค่ายไป แฟงวิ่งมาไม่ทัน ประตูค่ายปิดลง แฟงหยุดอยู่หน้าประตูพนมมือไหว้ฟ้าดิน
"พี่ต้องชนะกลับมา ขอให้พวกเราชนะ ข้าศึกที่ยกมาย่ำยีแผ่นดินไทย มันต้องย่อยยับทุกคน"
แฟงได้แต่ถอยมายืนส่งใจให้กับทัพและเหล่านักรบ
 
00000000000000000000
 
นายทองเหม็นควบควายบุกนำหน้าเข้าปะทะกับทหารติงจาโบอย่างรวดเร็ว ควงขวานเข้าฟันทหารอังวะ เลือดสาดกระจาย นายทองแสงใหญ่ใช้ดาบตะลุยฟัน แทงจนทหารอังวะล้มตายเกลื่อน นักรบบางระจันสู้ประชิดตัว จนทหารอังวะพากันถอยวิ่งหนี
ทหารอังวะวิ่งหนีมาจากด้านนายทองเหม็น นายอิน นายเมือง นายจันหนวดเขี้ยว กับพวกนักรบที่ซุ่มรออยู่แล้ว ก็ออกจากที่ซ่อน เข้ารุมทันที ทหารอังวะถูกฆ่าล้มตายลงอีกมาก นายทองเหม็น ควบควายตามมา นายทองแสงใหญ่นำชาวบ้านตามมาตีซ้ำ
นายทองแก้ว ทัพกับกองม้า รออยู่บนหลังม้า เตรียมพร้อม ทหารอังวะอีกขบวนบนหลังม้าเคลื่อนโผล่พ้นแนวป่า นายทองแก้วยกดาบ ตะโกน
"นักรบบ้านระจัน"
"บุกไปฆ่ามัน" ทัพตะโกนสำทับ
อ้ายเลาวิ่งห้อนำทัพม้าของบ้านคำหยาด ทุกคนบนหลังม้าแววตาดุดัน ทหารอังวะควบม้าเข้าสู้ ทัพควบอ้ายเลาทะยานเข้าฟันกองหน้าม้าอังวะ สังข์ควงดาบเข้าตะลุย ฟัก เอิบ ช่วง เคลิ้มตามตะลุยเข้ามา ทหารอังวะล้มตายลงไปอีกมาก 
ติงจาโบกับทหารอีกกลุ่มอยู่บนหลังม้า ทหารคนหนึ่งควบม้าเร็วเข้ามารายงาน
"เป็นอย่างที่สายของจอกยีโบส่งข่าวมา" ติงจาโบยิ้มเหี้ยม
"พวกมันติดกับเราแล้วทั้ง 3 กอง ไป ขยี้มันให้แหลก"
ติงจาโบนำทัพทหารอังวะบนหลังม้าและเดินเท้าเคลื่อนทัพเพื่อไปตลบหลังนักรบบ้านระจันทันที
นายทองเหม็น นายทองแสงใหญ่กับนักรบส่วนหนึ่งกำลังเก็บรวบรวมอาวุธออกจากศพทหารที่ตาย นายอิน นายจันหนวดเขี้ยว นายเมือง เดินมาหา
"พวกข้าลุยฟัน จนมันเตลิดมาทางเอ็งตามแผน" นายทองเหม็นเอ่ยขึ้น 
"พวกข้าก็ออกสกัดฟัน จนไม่มีเหลือสมใจ" นายจันบอก
นายทองแสงใหญ่ดึงอาวุธออกจากมือศพทหารอังวะ
"อาวุธพวกมัน เอามาให้เราเก็บไว้ฆ่าพวกมันแท้ๆ"
ทุกคนพากันยิ้ม คิดว่ากำลังจะกลับไป
ทัพกับพวกที่ฟันทหารอังวะล้มตายลงหมด ทัพมองไปรอบๆ ที่เงียบสนิท แล้วดึงอ้ายเลาหันมาทางทุกคน
"พวกมันถอยทัพไปหมดแล้ว" นายทองแก้วบอก
"แต่กองตระเวนแจ้งว่าพวกมันมากันเป็นพัน แต่นี่ไม่กี่ร้อย" ทัพติง
"มันอาจจะรบอยู่ทางพ่อทองเหม็น กับ พ่อเมือง" สังข์บอก
"หรือไม่ มันก็หนีหัวหดกลับไปหมด" เอิบเยาะ
ช่วงหัวเราะเห็นด้วย แต่ทัพยังไม่แน่ใจ
"ข้าว่าไม่ใช่ พวกอังวะมันยังไม่หนี เร็ว ไปช่วยพวกกองหน้าเร็ว"
ทัพควบม้านำทุกคนออกไป
กลุ่มของพ่อค่ายทั้งห้าดูนักรบเก็บรวมรวมอาวุธทั้งหมดอยู่ พ่อค่ายทั้งห้าเดินนำนักรบจะกลับค่าย นายทองเหม็นเดินนำ ชะงัก พูดขึ้น
"ข้าได้กลิ่น"
"กลิ่นอะไร พี่ทองเหม็น" นายเมืองถาม
"กลิ่นสาบ กลิ่นมันมาจากในป่ารอบๆ ไปหมด"
ทัพของติงจาโบเคลื่อนมาโอบล้อมนักรบบ้านระจันไว้หมดทุกด้านแล้ว นักรบบ้านระจันเป็นเพียงจุดเล็กๆ ในวงล้อมของทัพอังวะ เสียงใบไม้ขยับ ทุกคนกำดาบแน่น หันหลังชนกันเป็นวงล้อมเตรียมพร้อม ทหารอังวะเคลื่อนออกจากแนวป่า ล้อมนักรบบางระจันไว้ทุกด้าน ทุกคนตกตะลึงนึกไม่ถึง ติงจาโบบนหลังม้าเคลื่อนออกมามองด้วยรอยยิ้มเหยียดหยัน
"พวกเอ็งมันเหิมเกริม มีคนแค่หยิบมือยังคิดจะสู้กับกองทัพอังวะ"
"ถุย แค่หยิบมือนี่แหละที่จะฟันคอพวกมึงหลุดจากบ่า เข้ามาสิวะ" นายทองเหม็นท้า
"ฆ่ามัน"
ติงจาโบร้องสั่ง ทหารกรูกันเข้าไป นักรบบางระจันโดนกองทัพอังวะล้อมกรอบเข้ามา แต่ทุกคนกำดาบฟันทหารอังวะ สู้ไม่ถอย
ที่เรือนแม่หมอ แฟงมองเฟื่องซึ่งลืมตาตื่นขึ้นมา ขาบเข้าไปกอดเมียรักไว้ เฟื่องถามขึ้นคำแรก
"ลูกฉัน ลูกฉันล่ะ" เฟื่องถามแม่หมอทันที
ที่ลานป่า กลุ่มนักรบบ้านระจันสู้สุดใจ แต่ทหารอังวะกลับถาโถมเข้ามาไม่ขาดสาย ติงจาโบบนหลังม้า มีทหารคุ้มกันรอบ หัวเราะออกมาอย่างสะใจ
ทัพควบอ้ายเลามา แต่พอพ้นแนวป่า ทุกคนเผชิญหน้ากับกองม้าของอังวะที่ตั้งรออยู่ ทัพและทุกคนกำดาบเตรียมพร้อม สองฝ่ายควบม้าพุ่งเข้าหากัน ทัพฟันทหารอังวะล้มตายบนหลังม้า
อีกด้าน สังข์ ฟัก เอิบ ช่วง เคลิ้มต่างสู้จนเหงื่อโทรมร่าง ทหารอังวะ 4 คนล้อมฟันจนทองแก้วตกลงจากหลังม้า ทหารอังวะจะเข้ามาแทง ทัพควบอ้ายเลาพุ่งเข้าไปฟันทหารอังวะคว่ำลงก่อนถึงตัวนายทองแก้ว
ที่ลานในบ้านพ่อค่ายระจัน กำนันพันเรืองกับพ่อค่ายที่เหลือ มองไปที่ตะวันบ่ายคล้อย
"ตะวันเลยหัวแล้ว แต่พวกที่ไปรบ ยังไม่กลับ" 
"ถ้ามันมากันร่วมพัน ศึกนี้ยืดเยื้อแน่" ขุนสรรค์ประเมิน
"เรียกคนมาเพิ่มเถอะ ข้าจะนำไปเอง" นายดอกไม้อาสา
"ข้าไปด้วย ข้าจะนำคนไปส่งเสบียงพวกเราเอง" นายแท่นอาสาอีกคน
ทุกคนปรึกษากันด้วยแววตากังวล
ที่เรือนแม่หมอ เฟื่องผละจากอกขาบ เข้าไปหาแม่หมอ ทุกคนมอง
"ลูกฉัน ลูกฉันล่ะ" 
"เอ็งไม่ได้ท้อง ข้าดูแล้ว เอ็งอาจจะสมบุกสมบันเดินทางมาหนัก เลือดลมในตัวเอ็งเลยเดินไม่สะดวก แต่เอ็งไม่ได้ท้อง" 
เฟื่องหน้าสลดลง "ฉันไม่ได้ท้อง"
เฟื่องหันไปมองขาบ ขาบกุมมือเฟื่องยิ้ม
"ไม่เป็นไร เฟื่อง โชคดีแล้วที่เฟื่องไม่เป็นอะไร" 
เสียงกลองระดมพลดังขึ้น สไบกับแฟงสะดุ้งทันที 
"กลองเรียกระดมคนอีกแล้ว" สไบใจไม่ดี
"พี่ทัพ คนระจันที่ไปรบคงยังไม่ได้ชัย ถึงต้องตีกลองเรียกคนเพิ่ม"
"แฟงดูเฟื่องแทนพี่ด้วย พี่จะไปช่วยไอ้ทัพ"
ขาบพุ่งลงจากบ้านแม่หมอไปก่อน ทั้งๆ ที่เจ็บ แฟงหันมาทางเฟื่อง
"พี่เฟื่องอยู่กับสไบได้มั้ยจ๊ะ ฉันขอไปดูว่ามีอะไร"
"ไปเถอะ แฟง รีบไป พี่อยู่กับแม่หมอได้ สไบก็ด้วย ไปเถอะ เผื่อเขามีอะไรให้เราช่วยได้ ไม่ต้องห่วงพี่ ไปเลย"
แฟงกับสไบรีบออกไป เฟื่องมองตามอย่างเป็นห่วง แฟงวิ่งตรงไปทางลานหน้าค่าย สไบตามหลังมา กำลังจะวิ่งไป ใจวิ่งมาจากอีกทาง คว้ามือสไบไว้
"จะไปไหน สไบ ไม่ต้องไป อยู่ที่นี่"
"ฉันจะไปลานหน้าค่าย เขาตีกลองระดมคนเพิ่ม" 
"ไม่ใช่หน้าที่สไบ"
"เอ๊ะ พี่ใจพูดแปลก ยามศึกอย่างนี้ ไม่ว่าหญิงหรือชายมีอะไรต้องช่วยกัน"
"มีคนไปเยอะอยู่แล้ว ตอนนี้พี่เจิดกำลังจับไข้หนัก สไบไปช่วยพี่หน่อย" 
เสียงและแววตาใจขอร้องจนสไบลังเล 
แฟงวิ่งมามอง เห็นนักรบกำลังรวมกัน ขาบไปรวมอยู่กับกลุ่มด้านหน้า นายพันเรือง พ่อค่าย ยืนบอกทุกคน
"เราต้องออกไปดูการรบพวกพ่อทองเหม็น พ่อทองแก้ว จนป่านนี้ยังไม่กลับค่าย น่าจะรับศึกหนักอยู่ และเราจะเร่งเอาเสบียงไปส่งด้วย ขอให้พวกเราช่วยกัน ไม่อย่างนั้นทัพระจันเราอาจเพลี่ยงพล้ำได้"
พวกผู้ชายต่างวิ่งไปหยิบอาวุธ ผู้หญิงอีกพวกวิ่งยกหาบอาหารออกมาจากหลังค่าย แฟงมองเหล่านักรบแล้วตัดสินใจถอยออกมา
ขาบขึ้นม้าควบมาอย่างรวดเร็วกับนักรบชายฉกรรจ์ จวงวิ่งเข้ามาหาด้วยความเป็นห่วง
"พี่ขาบ พี่หายไข้แล้วหรือ"
"ถึงเจ็บแค่ไหน ข้าก็ต้องออกไปช่วยรบ ฝากเฟื่องด้วยนะจวง"
"เฟื่องเป็นอะไร"
"เฟื่องไม่สบายอยู่ที่เรือนแม่หมอน่ะจ้ะ พี่ไปล่ะ"
ขาบไม่รอช้าควบม้าออกไปทันที จวงตกใจรีบวิ่งกลับไป
แฟงเดินมองมาตามกระท่อมชาวบ้านในค่าย เห็นบ้านหลังหนึ่งที่ราวตากผ้า มีเสื้อผ้าผู้ชาย แฟงดึงเสื้อผู้ชายสีเปลือกไม้ที่ตากอยู่ออกไปจากราว
แฟงเดินออกมาอีกทีหลังพุ่มไม้ ใส่เสื้อ กางเกงเป็นผู้ชาย โพกผมด้วยผ้า ใบหน้ามอมด้วยเขม่าดำ จำไม่ได้ว่าเป็นผู้หญิ