บันเทิง

เมื่อความรักมาถึงจุดอิ่มตัว‘มายด์’บอกลาผ่านเพลง‘ซาโยนาระ’

เมื่อความรักมาถึงจุดอิ่มตัว‘มายด์’บอกลาผ่านเพลง‘ซาโยนาระ’

23 ก.ย. 2558

เมื่อความรักมาถึงจุดอิ่มตัว‘มายด์’บอกลาผ่านเพลง‘ซาโยนาระ’

 
          เป็นวงดนตรี ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวและมีเพลงฮิตมากมาย สำหรับวง “มายด์” ที่มีสมาชิกประกอบด้วย “เป้” บดินทร์ เจริญราษฎร์ (ร้องนำ) “เต่า” เจน มโนภินิเวศ (กีตาร์) “ขุน” พิทวัส ขุนทอง (เบส) “ทอมท่อม” ณธีพัฒน์ ประเสริฐมนูกิจ (คีย์บอร์ด) “เป้” ไพสิฐ คำกลั่น (แซกโซโฟน) และ “ไมค์” ธงไชย ทิมพูล (กลอง) ตอนนี้พวกเขากลับมาพร้อมกับอัลบั้มล่าสุด “4 (โฟร์)” โดยปล่อยเพลงแรก ที่มีชื่อว่า “ซาโยนาระ (SAYONARA)" เพื่อแทนการคำบอกลาว่า ความรักที่เคยสวยงาม แต่เมื่อวันนี้ มันไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป ในที่สุดมันก็ถึงเวลาที่ต้องโบกมือลากันไป ซึ่งมีท่อนหนึ่งที่โดนใจคนฟังว่า "หากความรักมันไม่ใช่ แล้วจะเสียเวลากับมันไปทำไม…จงเข้าใจและกล่าวซาโยนาระ”
 
          เพลง “ซาโยนาระ” ยังคงดนตรีให้เป็นแนวป๊อปเข้าถึงง่าย แต่ใส่ลูกเล่นแบบฮิพฮอพลงไป ทำให้เกิดความแตกต่างของอารมณ์เพลง ผสานด้วยเสียงแซกโซโฟนที่เป็นเอกลักษณ์ของวงมายด์
 
          “ที่ชื่อเพลงว่าซาโยนาระ เพราะว่าเนื้อเพลงเล่าถึงการจากลาที่แตกต่างจากการจากลาทั่วๆ ไป การบอกเลิกทั่วๆ ไป ก็จะประมาณ เราเลิกกันเหอะ เราพอเถอะ แต่ความรักของเพลงนี้มันมากกว่านั้น มันเป็นความรักที่ใช้ระยะเวลา มันเป็นความรักที่เลยจุดที่มันวูบวาบไปแล้ว คือความรักที่อยู่กันนานๆ จนมันกลายเป็นความผูกพัน และเกิดคำถามขึ้นมาในระยะเวลาที่ว่า เรารักหรือผูกพัน แล้วเราจะไปต่อหรือหยุด เพราะถ้าวันหนึ่งมันฝืนไป ความรักจะกลายเป็นความเกลียดชัง เราควรจะเลิกในวันที่เรายังรักกันอยู่ ดีกว่าเราฝืนไปจนเราไปเกลียดกันในวันสุดท้ายดีไหม เราเลิกกัน ในวันที่เรายังรักกันอยู่ดีกว่า คือที่ใช้ว่า ลาก่อน บ๊ายบาย เรารู้สึกว่า มันเป็นคำที่คนใช้กันเยอะ แต่คำว่าซาโยนาระ เป็นคำที่ทุกคนรู้ความหมาย แต่ไม่ได้ใช้บ่อยครั้งเท่า 2 คำที่บอกไป” เป้เล่า ก่อนจะเสริมต่อว่า อัลบั้มนี้ พวกเขาวางไว้ว่า อยากที่จะให้คนฟังได้เห็นตัวตนของพวกเขามากที่สุด
 
          “ความโดดเด่นของเพลงนี้ คือเป็นแนวเพลง ที่เราใช้คำว่า ฮิพและป๊อป คือดนตรีแนวฮิพฮอพและดนตรีแนวป๊อปของวงมายด์มารวมกัน ให้มันรวมกันลงตัวมากที่สุด โดยเรานำเอาแร็พมาใช้ในเพลงนี้ด้วย เป็นการแร็พแบบใช้เมโลดี้เข้ามาช่วยทำให้ฟังง่ายขึ้น ในส่วนของความป๊อป คือเนื้อเพลงที่ร้องขึ้นมาแล้วจำได้เลย ในส่วนของดนตรีมีความจัดจ้าน และมีชั้นเชิง ลดความซับซ้อนแต่มากด้วยกระบวนการการทำงาน เปรียบเหมือนการชงชาของญี่ปุ่น ที่มีขั้นตอนเยอะแยะมากมาย แต่สุดท้ายก็กลายมาเป็นชาหนึ่งแก้ว ซึ่งเราพยายามนำเสนอความเรียบง่ายของชา แต่ในขณะเดียวกัน ขั้นตอนการทำมีความซับซ้อน และเพลงนี้ก็เช่นกันที่ผ่านการคิด การกลั่นกรองมาเยอะ ด้วยส่วนผสมที่มีเยอะแต่เมื่อเอามารวมกันจนกลายมาเป็นส่วนผสมที่กลมกล่อมของเพลงนี้” เป้เผย
 
          วงมายด์ยอมรับว่า เพลงนี้พวกเขาตั้งใจอยากให้เป็นเพลงคัมแบ็กของพวกเขา เพราะเพลงนี้เป็นซิงเกิ้ลแรกของอัลบั้มที่ 4 ของพวกเขา ซึ่งวงมายด์มีความผูกพันกับเลข 4 และมีความเชื่อเรื่องตัวเลข โดยในคอนเสิร์ตใหญ่ที่ผ่านมา ชื่อคอนเสิร์ตว่า “1235 มายด์ ไลฟ์” ในตอนนั้น มีคนถามว่าเลข 4 หายไปไหน คำตอบคือ เลข 4 มาอยู่ที่อัลบั้มนี้ “เลข 4 เป็นเลขดีที่อยู่กับพวกเราวงมายด์มาตลอด เลยอยากให้เลข 4 อยู่กับพวกเราไปตลอด เราเลยเอามาเป็นชื่ออัลบั้ม มันเป็นกุศโลบาย ว่าพวกเรากลับมาพร้อมกับเลขนำโชคของพวกเรา” เป้กล่าวปิดท้าย