บันเทิง

‘ALL THINGS MUST PASS’หนังสารคดีจากความทรงจำ‘โคลิน แฮงค์ส’

‘ALL THINGS MUST PASS’หนังสารคดีจากความทรงจำ‘โคลิน แฮงค์ส’

27 มี.ค. 2559

บันเทิงต่างประเทศ : ‘ALL THINGS MUST PASS’ หนังสารคดีจากความทรงจำของ ‘โคลิน แฮงค์ส’

 
      ภาพยนตร์สารคดี เรื่อง “ALL THINGS MUST PASS: ทาวเวอร์เรคคอร์ดส ร้านเดิม...เพิ่มเติมคือความคิดถึง” ผลงานการกำกับ โดยโคลิน แฮงค์ส หนังบอกเล่าเรื่องราวในปี 1960 “ทาวเวอร์เรคคอร์ดส” ได้ก่อตั้งขึ้นจากความฝันของผู้ชายชื่อ รัสส์ โซโลมอน ผู้อยากเห็นร้านขายเพลงที่ใหญ่ที่สุดในโลก โดยไม่มีใครในตอนนั้นนึกหรอกว่าฝันเพ้อเจ้อนี้จะกลายเป็นจริงในเวลาอันรวดเร็ว จากสาขาแรกเล็กๆ ในซาคราเมนโต แคลิฟอร์เนีย ขยับขยายสู่การเป็นร้านค้าปลีกแผ่นและเทปเพลงที่มีสาขาถึง 200 แห่งใน 30 ประเทศทั่วทั้ง 5 ทวีป (รวมทั้งประเทศไทย) จากร้านขายยาสัพเพเหระ พุ่งทะยานกลายเป็นหัวใจและวิญญาณของโลกดนตรี และเป็นหนึ่งในผู้ทรงอิทธิพลที่สุดของอุตสาหกรรมเพลง โดยในปี 1999 พวกเขาทำยอดขาย ได้สูงถึง 1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ
 
      แต่ใครจะเชื่อว่า หลังจากนั้นอีกแค่ 7 ปี เจ้าของความสำเร็จอลังการขนาดนี้ กลับต้องลงเอยด้วยการถูกฟ้องล้มละลาย และปิดกิจการทั้งหมด ยกเว้นในญี่ปุ่น ไปในที่สุด! มันเกิดอะไรขึ้น? พวกเขาทำอะไรผิดพลาด? ถ้าคุณถามใครก็ตามว่าทำไม “ร้านขายเพลง” จึงลงเอยเช่นนี้ ทุกคนอาจชี้ไปที่อินเทอร์เน็ต ในฐานะตัวร้ายหนึ่งเดียว ซึ่งทำให้คนรุ่นใหม่ไม่สนใจการซื้อแผ่นอีกต่อไป นี่คือหนังที่จะพาเราไปพบกับความขมขื่นอันแสนหวานที่ว่า ทุกสิ่งในโลกนี้ ย่อมพ้นผ่าน และขณะเดียวกัน มันก็จะยืนยันความจริงอันแสนยิ่งใหญ่ที่ว่า และบางสิ่งเท่านั้นที่สามารถยืนหยัดเป็นตำนาน! ซึ่ง โคลิน แฮงค์ส ผู้กำกับได้บอกเล่าเรื่องราวเหล่านี้ไว้ว่า
 
@ อะไรทำให้คุณอยากสร้างภาพยนตร์เรื่องนี้
 
      การเดินทางของหนังเรื่องนี้ เริ่มจากเย็นวันหนึ่ง ที่ผมกำลังนั่งกินอาหารอยู่ช่วงเดียวกับที่ร้านกำลังปิด แล้วก็ได้ยินใครไม่รู้พูดขึ้นมาว่า “ไม่น่าเชื่อเลยเนอะว่าปรากฏการณ์ระดับนี้จะเกิดมาจากร้านขายยาเล็กนิดเดียวในซาคราเมนโต” ซึ่งทำให้ผมเกิดไอเดียทันที ผมเคยรู้มาก่อนแล้วว่าบริษัททาวเวอร์เรคคอร์ดสเริ่มต้นในซาคราเมนโต มันเป็นความภูมิใจของคนท้องถิ่นอย่างเราเลยล่ะ เพื่อนสนิทบางคนของแม่ผม เคยทำงานทั้งในสาขาซาคราเมนโตและซานฟรานซิสโก แต่ผมไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าจริงๆ แล้วบริษัทนี้ถือกำเนิดขึ้นมายังไง และพอมาลองหาข้อมูลก็ยิ่งตกใจเมื่อพบว่าไม่เคยมีใครทำหนังสารคดีขนาดยาวเกี่ยวกับบริษัทที่แสนน่าทึ่งแห่งนี้มาก่อน จากจุดนั้น ทุกครั้งที่ผมพูดถึงไอเดียในการทำหนังเรื่องนี้ให้ใครฟัง ก็จะได้เห็นปฏิกิริยาตื่นเต้นของพวกเขาพร้อมเรื่องเล่าความผูกพันระหว่างพวกเขากับร้านทาวเวอร์เสมอ ในที่สุดผมเลยเสนอไอเดียนี้ให้ ฌอน สตวร์ต เพื่อนโปรดิวเซอร์ของผมฟัง (ทั้งสองเป็นชาวซาคราเมนโตด้วยกัน) และเราก็ตัดสินใจเริ่มต้นทำสารคดีเรื่องนี้
 
@ อะไรคือธีมหลักของเรื่องในความคิดของคุณ
 
      ธีมหลักของหนัง ปรากฏในชื่อหนังเลย “All Things Must Pass” (ทุกสิ่งต้องพ้นผ่าน) ทุกงานเลี้ยงย่อมมีวันเลิกรา นี่คือธีมที่ผมมีอยู่ในใจ ตอนเริ่มต้นทำหนังเรื่องนี้ และเมื่อขุดลงลึกไปเรื่อยๆ ได้คุยกับผู้คนที่เกี่ยวข้องมากขึ้นๆ ผมก็พบแง่มุมใหม่ที่จับใจมาก นั่นคือความผูกพันของคนทำงานในทาวเวอร์เรคคอร์ดส ซึ่งเป็นราวกับครอบครัวเดียวกัน พวกเขามาอยู่ด้วยกันและสร้างสรรค์อะไรบางอย่างที่พิเศษแท้จริง ทุกคนใช้เวลาร่วม 30 ปีในชีวิต เพื่อทำให้ทาวเวอร์เป็นอย่างที่มันเป็น ผมอยากจับเอาความสนุกและความตื่นเต้นที่พวกเขาได้รับในเวลานั้นกลับมาให้เราได้เห็น พูดอีกอย่างคือผมอยากปลุกร้านนี้ให้กลับมามีชีวิตในความรู้สึกของพวกเรา
 
@ ทำไมเลือกเน้นไปที่ตัว รัสส์ โซโลมอน เป็นพิเศษ
 
      ถ้าคุณได้เจอรัสส์ แค่เสี้ยววินาที คุณก็จะรู้ได้ทันทีว่า คนคนนี้ไม่เหมือนใครและเขายิ่งใหญ่เหลือเกิน ความตั้งใจนี้ของหนังเรื่องนี้ เริ่มต้นมาตั้งแต่วันแรกที่ผมเดินเข้าทาวเวอร์ในซาคราเมนโต เพื่อซื้อเทปและซีดีแผ่นแรกในชีวิต ผมมีความทรงจำมากมายเกี่ยวกับร้านนี้มาตั้งแต่เด็ก พอโตขึ้นมีโอกาสได้เข้าร้านอื่นๆ ในประเทศอื่นๆ ก็ยิ่งรู้สึกถึงความเกี่ยวข้องและยิ่งใหญ่ของร้านท้องถิ่นบ้านผมร้านนี้ และทำให้ผมยิ่งอยากรู้เรื่องราวของมัน ตั้งแต่จุดเริ่มต้นจนถึงจุดสิ้นสุด จนกลายเป็นหนังสนุกสนานได้ สิ่งที่ผมเซอร์ไพรส์ที่สุดจากการทำหนังเรื่องนี้ ก็คือการได้เห็นว่ารัสส์ยืนยันหนักแน่นแค่ไหนเขาเป็นคนถ่อมตัวมาก แต่ขณะเดียวกันสิ่งที่เขาพูดก็ตรงประเด็นมากเช่นกัน ผู้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของทาวเวอร์ตัวจริงก็คือคนทุกคนที่ทำงานที่นั่น พวกเขาทำให้ทุกร้านเป็นเหมือนร้านของตัวเอง ทาวเวอร์แต่ละสาขามีลักษณะเฉพาะที่ไม่เหมือนกันเลย มีความใส่ใจในรายละเอียด เป็นผลงานของผู้คนที่ใส่หัวใจลงไปในสิ่งที่ทำจริงๆ
 
@ ทำไมคุณรักโปรเจกท์นี้ขนาดนั้น
 
      นอกจากด้วยเหตุผลที่ว่า ผมเองโตมาอย่างผูกพันกับทาวเวอร์เรคคอร์ดสแล้ว ยังเพราะผมรักดนตรีด้วย ดนตรีเป็นส่วนสำคัญมากในชีวิตของผม ผมก็เหมือนคนบ้าเพลงทั้งหลายนั่นแหละ ที่จำได้หมดว่าอัลบั้มไหนซื้อจากร้านไหน ผมถึงขั้นเคยสมัครงานทาวเวอร์ไปตั้งสองสาขาด้วย ตอนเรียนมหาวิทยาลัย แต่เขาไม่เคยติดต่อกลับ ซึ่งก็ไม่แปลกใจหรอก เพราะคนต่อแถวยื่นใบสมัครกันยาวเฟื้อย ผมว่าบางทีการมาทำหนังเรื่องนี้ อาจเพื่อตอบสนองแฟนตาซีของผมเอง ที่อยากทำงานทาวเวอร์ก็ได้นะ กระทั่งตอนมาเป็นนักแสดง แล้วผมก็ยังอยากทำอะไรเกี่ยวข้องกับวงการเพลงอยู่ แต่ผมรู้ตัวว่า คงเอาดีกับการเป็นนักดนตรีไม่ได้หรอก แล้วพออายุมากขึ้น และเริ่มหลงใหลหนังสารคดีมากขึ้น สองสิ่งนี้ ที่ผมรักมันก็มาหลอมรวมเป็นงานชิ้นเดียวกัน จนได้ในที่สุด
 
@ อะไรคือความสุข และความเศร้าของคุณในการทำภาพยนตร์เรื่องนี้
 
      การได้ใช้เว็บไซต์ Kickstarter ระดมทุนสำเร็จ จนหนังเราสามารถมีชีวิตขึ้นมาได้ คือสิ่งที่เป็นความสุขที่สุดเลย มันทำให้เรารู้สึกว่าเราเดินทางถูกแล้ว เราไม่ได้บ้าบอกันไปเอง ที่เชื่อว่าเรื่องราวนี้สมควรถูกถ่ายทอดเป็นหนังสารคดี และอีกสิ่งหนึ่งก็คือ การที่เรามีโอกาสได้ถ่ายทำตอนจบของหนังในแบบที่เราใฝ่ฝันอยากให้มันเป็น หนังเรื่องนี้เล่าถึงความล่มสลายแต่จบลงอย่างยิ่งใหญ่และเป็นความฝันที่กลายเป็นจริง ส่วนเรื่องความเศร้าความทุกข์น่ะเหรอ ผมไม่มีเวลาให้กับมันหรอก
 
      ภาพยนตร์จะเข้าฉายในวันที่ 31 มีนาคมนี้ เฉพาะโรงภาพยนตร์ในเครือเอสเอฟ