บันเทิง

ยอดหญิงปันซู 21

ยอดหญิงปันซู 21

17 พ.ค. 2560

หลิวเอี้ยน ไม่พอใจ ปันซู เอาเข็มไปใส่ตรงอานม้า ทำให้ ปันซู ตกม้าบาดเจ็บ

ทุกวันจันทร์อังคารเวลา 18.25 น. ทางช่อง NOW26

Ban Shu Legend Ep.21

    “ไทเฮาเสด็จ”
    ไทเฮาเสด็จเข้ามาที่สนามแข่ง เหวินสี่รีบเข้ามาหา
    “เสด็จแม่มาแล้ว”
    คนอื่นพากันแสดงความเคารพ “ถวายบังคมไทเฮา”
    “ลุกขึ้น”
    “ขอบพระทัยไทเฮา”
    “เสด็จแม่ๆ ทอดเนตรชุดลูกสิสวยมั๊ยเพคะ” เหวินสี่หัวเราะ
    “ไม่เลวนี่สวยดีสง่างามมาก”
    “เสด็จแม่ว่าวันนี้ฝ่ายไหนจะชนะเพคะ”
    “ลูกวางใจได้เลยวันนี้ไม่ว่าใครชนะ แม่ก็ให้รางวัลอยู่แล้ว”
    เหวินสี่มองรางวัลตื่นเต้น “ว้าว”
    หมิงกงจางว่า “นี่ก็คือรางวัลของไทเฮา ใครนำพาลูกเข้าประตูก็จะได้ลูกละ 10 ชั่ง”
    “สุดยอดๆๆๆ” ทุกคนพากันหัวเราะ
    “เอาล่ะๆ พวกเจ้าไม่ต้องมาอารักขาข้าแล้วล่ะ ไปเตรียมตัวเถอะ” 
    เหวินสี่นำทุกคนออกไป หลันจือเข้ามา
    “เชิญไทเฮาทางนี้เพคะ  หม่อมฉันเตรียมที่ประทับไว้แล้ว”
    ไทเฮาตรัสกับหลันจือว่า “ได้เห็นเจ้ากับพี่ใหญ่ดีกันเหมือนเดิม ข้าก็ดีใจมาก ต่อไปนี้ไม่ว่าจะเรื่องอะไรก็ตาม ขอให้เจ้าใจกว้างขึ้นนะ”
    “เพคะ หม่อมฉันจะทำตามรับสั่ง”
    ปันซูกล่าวนำ “ผู้เข้าแข่งขันและผู้ชมทุกท่าน”
    “ถวายพระพรไทเฮา ทรงอายุยืนพันปี พันปี พันๆ ปี”
    เติ้งนำทหาร “ทุกคนทำความเคารพไทเฮา”
    “ถวายพระพรไทเฮา ทรงอายุยืนพันปี พันปี พันๆ ปี”
    “ได้เห็นพวกเจ้าทะนงองอาจ ข้าปลาบปลื้มยิ่งนัก แต่ว่าเจ้าต่างเป็นคนสำคัญของข้าระหว่างการแข่งขันห้ามปะทะรุนแรงเด็ดขาด อย่าให้ใครบาดเจ็บ เข้าใจมั้ย”
    “ขอบพระทัยที่ทรงห่วงใย”
    เหวินสี่บ่น “เสด็จแม่ อย่าไปอวยคนอื่นแบบนั้นสิผู้หญิงอย่างเรา อาจเก่งกว่าผู้ชายก็ได้”
    อาหลิงว่า “ใช่เพคะ ครั้งที่แล้วเราก็ชนะฝ่ายแม่ทัพฮั่ว”
    เติ้งและหัวหน้าทหารหัวเราะ ไทเฮาตรัสถาม “ฮั่วเหิง เขาไม่ได้ไปรบหรอกเหรอ”
    อาหลิงทูล “ไม่ใช่เขาเพคะ แต่เป็นพี่ชายเขาอีกคน   พวกเขาเหมือนกันมาก”
    ไทเฮาหันไปเห็นฮั่วหวนคำนับ “เขาไม่ใช่คนเดียวกันจริงๆ อย่าคิดมาก ได้ งั้นข้าจะรอดูเจ้าเอาชนะฝ่ายชาย”

ยอดหญิงปันซู 21
    ในระหว่างการแข่งขันครึ่งแรกฝ่ายปันซูเสมอกับฝ่ายเติ้ง ปันซูบอกเว่ยอิงว่า
    “พี่เขย ครึ่งหลังพี่ไม่ต้องลงนะ เรื่องแข่งไม่สำคัญ สุขภาพสำคัญกว่า”
    “ได้ เจ้ารู้ใจข้าจริงๆ ปันซู”
    ระหว่างพัก เหล่านักเรียนพากันล้อปันซูกับเว่ยอิง ปันซูปฏิเสธ
    “ไม่ใช่ๆ ไม่มีอะไรอย่าไปเที่ยวพูดส่งเดช ข้ากับอาจารย์เว่ยอิงเป็นแค่พี่น้อง อย่าพูดซี้ซั้วไปล่ะห้ามพูดนะ”
    “จริงรึเปล่า”
    “อาจารย์ ยอมรับกับเราเถอะนะ เราไม่ได้ตาบอด ตอนแข่งใครก็เห็นว่ายิ้มให้กัน”
    อาหลิงสวน “นั่นน่ะสิ”
    อาฮุ่ยแซว “ท่านกับอาจารย์เว่ยอิง ดึงกันไปดึงกันมา รักกันซะขนาดนั้น”
    “อาจารย์คะ เมื่อก่อนเราไม่รู้เรื่อง เลยไม่อยากให้คบกับอาจารย์เว่ย แต่เมื่อกี้ เห็นพวกท่านสนุกสนานทั้งคู่ เราถึงได้รู้”
    “จริงด้วย”
    “นั่นสิคะอาจารย์ อาจารย์เว่ยอยู่กับท่านเท่านั้น  ถึงหัวเราะหน้าบานแบบนี้”
    “อาจารย์ปันกับอาจารย์เว่ยอิงเป็นคู่รักกันแล้วเหรอ” ทุกคนพากันหัวเราะ
    ปันซูแทรก “อย่าพูดซี้ซั้วสิ พอได้แล้ว”
    อาหลิงสวน “อาจารย์ ต่อไปเราจะไม่พูดซี้ซั้วอีก อาจารย์ ท่านบอกข้ามาเถอะน่า ว่าเมื่อกี้อาจารย์กับท่านพูดหวานอะไรกัน”
    “นั่นสิ บอกหน่อยนะๆๆๆ”
    ปันซูข่มความเขิน “พวกเจ้านี่ พอได้แล้ว”
    เหวินสี่ขัดขึ้น “พวกเจ้า พูดบ้าอะไรกัน อาจารย์เป็นคนรักของลุงต่างหาก”
    ทุกคนอึ้งงง โดยเฉพาะปันซู “หาอะไรนะ”
    เป่ยเย้กลับมาบอกหลันจือว่าเติ้งไม่ยอมดื่มซุปถั่ว เพราะคนอื่นๆ ไม่ได้ดื่มด้วย หลิวเอี้ยนไม่พอใจแทน ทันใดนั้นก็ได้ยินพวกปันซูคุยกัน เป็นจังหวะที่เหวินสี่พูดถึงเติ้ง หลันจือลุกขึ้นไปยืนใกล้ๆ จะได้ฟังด้วย หลิวเอี้ยนตามไป
    เหวินสี่ยืนยัน “จริงๆ นะ ท่านลุงบอกข้าว่า คนที่อาจารย์ปันชอบ ไม่ใช่อาจารย์เว่ยอิงแต่เป็นลุงของข้า”
    “ไม่จริงมั้ง ลุงของท่านน่ะเหรอ”
    “เจ้าอย่าพูดจาส่งเดช ใครก็รู้ว่าแม่ทัพเติ้งจะแต่งงานกับอาจารย์โค่ว”
    “นั่นสิ จะเป็นไปได้ยังไง”
    “จริงๆ นะ ข้าพูดเรื่องจริงนะ”
    “เป็นไปได้ยังไงกัน”
    “เจ้าพูดซี้ซั้วอะไร”
    เหวินสี่ดุกลับ “เจ้าว่าใครพูดซี้ซั่ว ข้าเป็นถึงองค์หญิง อย่ามาตีตนเสมอข้านะ”
    ปันซูปราม “นี่ๆ พอได้แล้ว ไทเฮาประทับอยู่นี่ จะโวยวายทำไม”
    “อาจารย์ ในเมื่อท่านก็อยู่ก็บอกให้ชัดเจนไปเลยว่า สรุปท่านคบกับใครอยู่กันแน่”
    “ใช่แล้วๆ อาจารย์ รีบบอกพวกเรามาเถอะ”
    “ข้ากับเติ้งเป็นพี่น้องกัน   เป็นแค่เพื่อนสนิทเท่านั้นไม่มีอะไรเกินเลย อื้ม”
    เหวินสี่ยังไม่ยอม “แต่ว่าท่านลุงบอกข้าว่า เขาชอบอาจารย์นี่”
    “มีคนมาชอบข้า แต่ข้าต้องชอบเขาเหรอ”
    “แต่ว่าลุงของข้าเป็นแม่ทัพใหญ่นะ”
    “งั้นหากวันนึง มีขุนนางในวัง ที่ยศสูงมาบอกรักเจ้า เจ้าก็ให้เขาเป็นสามีเลยเหรอ”
    “ถ้างั้น คนที่ท่านชอบก็คืออาจารย์เว่ยสิ”
    ปันซูยอมรับ “ใช่ ข้าชอบเว่ยอิง”
    หลิวเอี้ยนได้ยินก็ไม่พอใจมาก แต่หลันจือปรามไว้ไม่ให้เข้าไป
    “หมายความว่ายังไง แล้วท่านชอบใครกันแน่ บอกมานะ”
    ปันซูแทรก “เฮ้อ ไม่ใช่เขาคนเดียว ยังมีพี่ชาย อาจารย์เหยา ฮั่วเหิง และพวกเจ้าทุกคน ข้าก็ชอบหมดเลย”
    “อะไรกันเนี่ย อาจารย์ก็...”
    เหวินสี่ว่า “อาจารย์อย่าพูดอ้อมไปมาเลย ข้าไม่ได้หมายถึงชอบแบบนั้นซะหน่อย”
    ปันซูสวน “เหมือนกันแหละ ไม่ว่าจะใครรึเรื่องไหนที่ข้าชอบ ก็คือชอบ อย่างที่ข้าบอก ถ้าข้าชอบใคร แต่คนนั้นไม่ชอบข้าก็ลงเอยไม่ได้อยู่ดี”
    “แต่ในสนามเราเห็นกับตาว่าท่านกับอาจารย์เว่ยสองคน”
    “แค่ความพยายามข้าฝ่ายเดียว เขาไม่เล่นด้วยสักหน่อย พวกเจ้าวางใจได้ ในใจอาจารย์เว่ยอิง มีผู้หญิงคนเดียวคืออาจารย์หลิวเซวียน”
    “ถ้า...เป็นแบบนี้เรื่อยๆ แล้วอาจารย์จะทำยังไง”
    “ไม่เห็นจะยากก็ชอบไปเรื่อยๆ ชอบจนกว่าจะเลิกชอบ”
    เหวินสี่แปลกใจ “มีแบบนี้ด้วยเหรอ”
    “นั่นสิ”
    ปันซูว่า “ทำไมจะไม่มีล่ะที่เฉ่าหยวนนะ ผู้หญิงแต่ละคนตรงไปตรงมา มีเพื่อนข้าคนนึง  ในเทศกาลขี่ม้า มีผู้หญิงเดินมาขอแต่งงานด้วย อย่างต่ำก็ 17-18 คน”
    “ว้าว”
    “ถึงพวกนางจะต้องร้องไห้กลับบ้านก็ตาม แต่ว่าแต่ละคนกลับไม่เสียใจ ที่จริงการชอบใครสักคน แม้ต้องผิดหวัง แต่ถ้ายังไม่ได้พยายาม...จะยอมแพ้ก่อนได้ไง”
    เหวินสี่สงสัย “แต่ว่า ผู้หญิงมาบอกรักผู้ชาย เพื่อขอแต่งงานเนี่ยนะ”
    “แน่นอน ถ้าผู้ชายคนไหนตอบรัก แต่ในใจมีผู้หญิงคนอื่น พวกนางก็กล้าที่จะพูดตรงๆ ว่าต้องเจอดีแน่ๆ”
    อาหลิงถาม “แล้วเจอดีแบบไหนล่ะ”
    ปันซูทำท่าไปด้วย “ก็ถีบก่อนตามด้วยชก จบด้วยจิ้มลูกตา...โทษฐานแอบมองผู้หญิงอื่น”
    “โหดร้ายมากๆ แต่ว่า ถ้าผู้หญิงในเมืองอย่างเรา ทำได้แบบนั้นก็ดีไม่น้อย” เหวินสี่สนใจ
    อาหลิงหัวเราะ “นี่ องค์หญิงเหวินสี่ ท่านลุงของเจ้าก็รักอาจารย์โค่วแต่มีหญิงอื่น เจ้าก็ต้องจิ้มตาลุงใช่มั๊ย” หลายคนหัวเราะ
    ปันซูปราม “นี่ ชู่ พูดเบาๆ หน่อยสิ เดี๋ยวเขาก็ได้ยินหรอก”
    เหวินสี่สงสัย “อาจารย์คะ ทำไมถึงไม่ชอบท่านลุงข้าล่ะ ถึงอาจารย์เว่ยจะนิสัยดี แต่ลุงข้าก็ไม่แพ้เขานะ”
    “เขาเจ้าชู้ขนาดนั้น ข้าเอาไม่อยู่หรอก มีแต่คนที่มีความเมตตาอย่างอาจารย์โค่ว ถึงจะเอาอยู่”
    “เมตตาใจกว้างอะไรกัน ไร้ความสามารถกำราบเองต่างหาก ถึงได้เสแสร้งเป็นคนใจกว้าง”
    “ไม่ใช่แค่นั้นนะ ครั้งก่อนที่แม่ทัพเติ้งยืนกรานเสียงแข็งที่นอกตำหนักว่าจะถอนหมั้น ทุกคนก็ได้ยินหมด”
    “จริงๆ ด้วย นั่นสินะ”
    “ข้ายังได้อีกว่า นางไปคุกเข่าขอความเห็นใจที่จวนแม่ทัพเติ้งท่าทางจะเป็นจะตายเลยด้วย สุดท้ายแม่ทัพเติ้งหมดหนทาง เลยรับปากแต่งงานอีกครั้ง”
    เหวินสี่ว่า “มิน่าท่านลุงถึงได้ตามอาจารย์ตลอด ที่จริงไม่ได้ชอบอาจารย์โค่ว”
    ปันซูสวน “เหวินสี่ อย่าพูดเหลวไหล”
    “อาจารย์ไม่ต้องกลัวหรอก วันนี้พวกของอาจารย์โค่ว อย่างอาเฉินและคนอื่นไม่อยู่สักคน ไม่เห็นต้องกลัวอะไรเลย”
    หลายคนเห็นด้วย “ใช่ๆ”
    ปันซูแทรก “เอาล่ะๆ อย่าพูดเสียงดังแล้วกัน”
    หลิวเอี้ยนปลอบใจหลันจือ แล้วอาสาจะเข้าไปต่อว่าให้ แต่หลันจือปรามไว้ไม่ให้วู่วาม ไม่งั้นเท่ากับจงใจก่อเรื่องต่อหน้าไทเฮา
    หลิวเอี้ยนโมโห “เพราะปันซูคนเดียว ทั้งลอบกัดข้า ใช้มารยาสารพัด แล้วยังรวมหัวแกล้งท่านอีก”
    “ช่างมันเถอะ คำพูดเมื่อสักครู่แกล้งเป็นไม่ได้ยินเถอะ”
    “จะแกล้งไม่รู้ไม่เห็นได้ไง เอาล่ะท่านไม่ต้องยุ่ง ข้ามีวิธีแล้วกัน”
    “อาเอี้ยน” หลันจือมองหลิวเอี้ยนเดินออกไป
    หลิวเอี้ยนบังคับให้อาฮุ่ยหลอกทหารม้าของปันซูให้ออกไปหาของแล้วเอาเข็มไปใส่ตรงอานม้า ทำให้ปันซูตกม้าบาดเจ็บ เว่ยอิงรีบวิ่งเข้าไปดูปันซู ทุกคนตกใจมาก โดยเฉพาะหลิวเอี้ยนไม่คิดว่าจะเกิดเหตุร้ายแบบนี้ เติ้งสั่งให้ตามหมอมา แล้วให้ทหารไปดูม้า

00000000000000

ยอดหญิงปันซู 21

    เวลาต่อมา เติ้งร้อนใจมาก ไทเฮาต้องคอยปรามไม่ให้ใจร้อน หัวหน้าทหารเข้ามาทูล
    “ทูลไทเฮา ปันซูเจ็บที่หัวและข้อเท้า แต่อาการไม่หนักมาก หมอหลวงทำแผลแล้ว ต้องใช้เวลาพักฟื้นประมาณ 7-8 วัน”
    ไทเฮาโล่งใจ “เฮ้อ โชคดีจริงๆ”
    เติ้งจะให้ไปเอายาที่จวน แต่ไทเฮาว่าหมอหลวงดูแลแล้ว หัวหน้าทหารทูลว่ามีอีกเรื่องจะทูล ไทเฮาให้ว่ามา
    “ในอานม้าแม่นางปันซูนั่งมีสิ่งนี้อยู่”
    หลายคนมองแล้วตกใจ “ใครกันนะที่ทำเรื่องแบบนี้ ใครกันที่กล้าทำแบบนี้ จ้องทำร้ายคนอื่น”
    เติ้งโมโห “ใครเป็นคนทำ อยากตายรึไง”
    ไทเฮาตรัสถาม “ใครเป็นคนดูแลม้าของปันซู รีบไปตามตัวมา”
    พอทหารนำตัวมาเติ้งก็เตะทันที
    “ไทเฮา ท่านแม่ทัพ กระหม่อมไม่ได้ทำพะย่ะค่ะ กระหม่อมรู้แต่เรื่องการเลี้ยงม้า ไม่กล้าทำเรื่องแบบนี้”
    ไทเฮาตรัสถาม “แล้วใครกันล่ะ ที่กล้าทำ มีใครอีกเข้าใกล้ม้าตัวนี้”
    หญิงคนหนึ่งว่า “ใช่แล้ว เหมือนข้าจะเคยเห็น”
    “เห็นอะไรพูดมา”
    “หม่อมฉันเหมือนจะเห็นองค์หญิงหลิวเอี้ยนใกล้ม้าตัวนั้น”
    หลิวเอี้ยนเหวอรีบก้าวออกมา “ไทเฮา หม่อมฉันไม่รู้เรื่องนะเพคะ”
    “ทูลไทเฮา กระหม่อมจำได้แล้วเมื่อช่วงพักครึ่ง  บัณฑิตคนนี้ ให้ข้าไปช่วยหาของ อีกฝั่งของคอกม้า”
    อาฮุ่ยตกใจ “ไม่ใช่เพคะ ไม่จริงไทเฮา ไม่ใช่หม่อมฉัน ที่จริงแล้วเป็น”
    หลิวเอี้ยนรีบสวน “หม่อมฉันรู้แล้ว คนที่ก่อเรื่องต้องเป็นนางแน่ เดิมทีนางเกลียดปันซูที่สุด เข็มเงินเล่มนั้น นางต้องแอบเอาไปเสียบไว้ที่อานม้า”
    อาฮุ่ยตกใจมาก “หม่อมฉันไม่ได้ทำนะไทเฮา ที่จริงแล้วเป็น...”
    ไทเฮาหัวเราะ “เอาล่ะ พวกเจ้าแต่ละคน ตอนนี้ฉลาด จนคิดว่าข้าเป็นคนโง่ไปแล้วใช่มั๊ย คุกเข่าเดี๋ยวนี้ หลิวเอี้ยนปกติตอนอยู่ในชั้นเรียนก็นิสัยมุทะลุ ข้าเห็นแก่พ่อของเจ้าถึงไม่ลงโทษ แต่เจ้ากลับก่อเรื่อง วันนี้เจ้ากล้าทำร้ายอาจารย์ พรุ่งนี้อยากจะโดนประหารทั้งตระกูลอย่างงั้นเหรอ”
    หลิวเอี้ยนตกใจ “ไทเฮาเพคะ หม่อมฉันถูกใส่ร้าย เรื่องทั้งหมด หม่อมฉันไม่รู้ไม่เห็นอะไรทั้งนั้น”
    “ไม่รู้เหรอ ขนาดอยู่ต่อหน้าข้าเจ้ายังกล้าวางท่าอวดดี ข้าอยากจะรู้นักว่าในห้องจะมีความประพฤติเช่นไร อาจารย์โค่ว นี่เป็นศิษที่เจ้าสอนมาสินะ”
    หลันจือตกใจ “หม่อมฉันผิดไปแล้ว ขอไทเฮาทรงลงอาญา”
    “ไทเฮาเพคะ เรื่องนี้ไม่เกี่ยวอะไรกับอาจารย์โค่ว ข้าเป็นบัณฑิตต่างหาก” หลิวเอี้ยนว่า
    “พอได้แล้ว บัณฑิตหลิวเอี้ยน...ประพฤติไม่ชอบ”
    ปันซูให้เว่ยอิงกับเหยาเจวียนพยุงเข้ามา “ไทเฮา ช้าก่อนเพคะ”
    เติ้งหันไป “อาซู”
    ไทเฮาถาม “เจ้าไม่ได้พักอยู่เหรอมาที่นี่ทำไม”
    “หม่อมฉันมีเรื่องทูล ที่หม่อมฉันล่วงลงเมื่อครู่ เพราะหม่อมฉันประมาทเอง เรื่องนี้ไม่เกี่ยวอะไรกับคนอื่นเลย องค์หญิงหลิวเอี้ยนเป็นลูกรักของอ๋องจงซาน นางอายุยังน้อย นางคงไม่ทำเรื่องผิดเช่นนี้ ส่วนเรื่องเข็มเงินในอานม้า อาจเพราะคนงานที่ทำอาน ทำงานไม่รอบครอบ จึงลืมหยิบเข็มออก”
    เติ้งเหล่มองปันซู เห็นปันซูส่งสายตามาก็เข้าใจ “อ้อ เอ่อ ไทเฮา ที่ปันซูพูดมาก็มีเหตุผล ทำไมอ๋องจงซานถึงสอนลูกไม่เข้มงวด ขอให้ไทเฮาทรงตรวจสอบให้ละเอียดด้วย”
    “เอาล่ะ ในเมื่อปันซูออกมาพูดเช่นนี้ พวกเจ้าลุกขึ้นได้ หลิวเอี้ยนข้าหวังว่าเจ้าจะทำตัวดีกว่านี้ อย่าทำให้คนอื่นเข้าใจผิดอีก หลังจากวันนี้ห้ามออกจากบ้าน 3เดือน เพื่อทบทวนความผิด”
    หลิวเอี้ยนน้อมรับ “เพคะไทเฮา”
    “ปันซู เจ้าจัดการเรื่องโรงเรียนได้ดีมาก ทำให้บรรยากาศการเรียนน่าเรียน ข้าชื่นชอบในตัวเจ้าจริงๆ เอาล่ะข้าจะทำตามที่พูดไว้  คืนตำแหน่งให้เจ้า หายดีเมื่อไหร่ ก็รีบไปสอนศิษย์”
    ปันซูยิ้ม “งั้นก็ไม่ต้องให้รวมบัณฑิตเพื่อให้อาจารย์ลงคะแนนเสียงแล้วใช่มั๊ยเพคะ อ้อ ขอบพระทัยไทเฮาที่กรุณา”
    “เย้ๆๆๆๆ” เหล่าบัณฑิตหัวเราะชอบใจ เหยาเจวียนก็หัวเราะ
    ไทเฮาตรัสต่อ “เรื่องที่แบ่งห้องเรียนกัน ข้าว่าไม่เหมาะสม ในเมื่อบัณฑิตสองห้องได้มาชมการแข่งขันร่วมกัน จากนี้ไปก็ให้เรียนรวมกันซะ อาจารย์โค่ว ถ้าอาจารย์ปันซูหายดีก็ให้บัณฑิตสองห้องรวมเป็นห้องเดียวซะ”
    หลันจือรับคำหน้าเจื่อน “เพคะ”
    “หลังรวมห้องกันแล้ว เรื่องภายในก็ให้อาจารย์ปันซูกับอาจารย์เหยาดูแล ส่วนเจ้าก็เตรียมตัวแต่งงาน จวนของแม่ทัพใหญ่ได้เตรียมงานแต่งงานไว้แล้ว พี่ใหญ่ อย่าให้แม่นางหลันจือ ต้องพลอยเหนื่อยล่ะ”
    “ขอบพระทัย...ไทเฮาทรงรอบครอบมาก” เติ้งว่า
    หลันจือเคารพ “ขอบพระทัยไทเฮาที่ทรงห่วงใย”
    หลิวเอี้ยนกลับถึงจวนก็โดนหลิวหงต่อว่า
    “เหลวไหล ทำเรื่องแบบนี้ได้ยังไง จวนจงซานอ๋องของเรา ต้องมาเสียชื่อเพราะเจ้า”
    “พี่ใหญ่ ไทเฮาก็บอกแล้วว่าเป็นเรื่องเข้าใจผิด”
    “จนป่านนี้ยังจะปากแข็งอีก ที่ไทเฮาทรงไม่พูดก็เพราะเห็นแก่พ่อและปันซู พวกนั้นไม่ได้ตาบอดนะ โธ่เอ้ย อาเอี้ยน พี่ไม่เข้าใจจริงๆ ว่าเจ้ากับปันซูบาดหมางอะไรกัน  ทำไมถึงต้องลงไม้ลงมือ เจ้าเคยคิดมั้ยว่าพี่ของอาจารย์ปันซูกุมอำนาจทหารถ้าปันซูเป็นอะไร ต่อให้พ่อออกหน้า ก็ยากที่จะเจรจา”
    หลิวเอี้ยนกลัว “หา ไม่ได้นะ อย่าบอกให้ท่านพ่อรู้เด็ดขาด”
    “มันสายไปแล้วถึงพี่ไม่บอก เจ้าคิดว่าขุนนางคนอื่นจะอยู่เฉยรึไง เฮ้อ ตอนนี้รู้จักกลัว ทำไมตอนทำไม่คิด”
    “ข้าก็แค่อยากจะขู่นาง ที่ไม่ให้ข้าเข้าทีมแข่งขัน นางยังยั่วแม่ทัพเติ้ง ทำให้พี่หลันจือเสียใจ”
    “พี่บอกเจ้าแล้วใช่มั๊ยว่าให้อยู่ห่างๆ หลันจือ ทำไมไม่ฟังพี่ ที่เจ้าพลอยโดนไทเฮาต่อว่า...เรื่องไหนที่ไม่เกี่ยวนางบ้าง ถ้านางคิดดีต่อเจ้า ทำไมตอนเจ้าจะทำเรื่องเหลวไหล นางถึงไม่ปราม พอเกิดเรื่องขึ้นทำไมไม่แก้ต่าง”
    “ก็เพราะ ก็เพราะไทเฮาต่อว่านางไปแล้ว ท่านพี่ พี่หลันจือไม่ได้เป็นคนอย่างนั้นนะ นางเตือนข้าแล้วว่าอย่าทำวู่วาม แต่ข้าทนไม่ไหวเองก็เลย...”
    “พอได้แล้ว แทนที่จะแก้ต่างให้คนอื่น สู้หาวิธี ไปขอโทษปันซูดีกว่า ถ้าไม่ใช่เพราะนางเมตตา เจ้าคิดว่า...จะได้มายืนเถียงข้าแบบนี้เหรอ” หลิวเอี้ยนถอนใจ 
    ด้านปันซู อาฮุ่ยก็มาหาสารภาพความจริง
    “อาจารย์คะ ข้าไม่ได้เอาเข็มใส่อานม้าข้าไม่รู้ว่าองค์หญิงจะทำร้ายท่าน ข้าแค่หลอกทหารออกไปเท่านั้น”
    “รู้แล้วๆ เจ้าอย่าโทษตัวเองเลย ข้าไม่ได้เป็นอะไรไม่เห็นเหรอ คราวหลังอย่าเชื่อคนง่าย ใครใช้ให้ทำอะไร ต้องคิดก่อนเสมอ ไม่เช่นนั้น ถ้าถูกไทเฮาลงโทษจะแย่เอานะ”
    “อื้อ เข้าใจแล้ว อาจารย์คะ ท่านช่วยข้า 2 ครั้งแล้ว ข้า..จากนี้ไปข้าจะไม่ยุ่งกับองค์หญิงเอี้ยนอีก” ปันซูหัวเราะ “ข้าอุตส่าห์จงรักภัคดีต่อนางแต่ดูนางสิ พอเกิดเรื่องก็ให้ข้าเป็นแพะรับบาป ข้าคิดได้แล้ว ถึงพ่อของข้าจะเป็นชั้นผู้น้อย ต่อไปข้าจะยึดมั่นแบบอาหลิง อาซิ่ว จะเป็นคนหนักแน่น อาจารย์คะ จากไปท่านให้ข้าทำอะไร ข้าก็จะเชื่อฟัง”
    “วิธีล่อให้ศัตรูตายใจนี่ ก็ใช้ได้ผลดีนะ” 
    เพ่ยหวนนำของเข้ามาหาปันซู “คุณหนู มีคนส่งของขวัญมาค่ะ”
    ปันซูหยิบจานมาดู “จากใครเหรอ”
    “ไม่รู้เหมือนกัน ไม่มีข้อความบอกดูก่อนสิเจ้าคะ”
    “อื้ม โห  นี่ไม่ใช่ถูกๆเลยนะเนี่ย “โหวฟงจื้อ” หมายความว่ายังไง”
    อาฮุ่ยว่า “โหวฟงจื้อ ข้ารู้ค่ะ เป็นงานฝีมือของไต้เท้าโหว ขายตั้งจานละ 300 ตำลึงเชียวนะ”
    ปันซูตะลึง “300 ตำลึง แค่จานใบเดียวเนี่ยนะ” 
    “ค่ะ”
    “ทำไมแพงขนาดนี้”
    เพ่ยหวนว่า “ข้าเห็นท่าทางคนส่งของแปลกๆ รึอาจจะจากจวนอ๋องจงซาน ส่งมาชดใช้ความผิด”
    อาฮุ่ยว่า “เป็นไปไมได้หรอกคนอย่างองค์หญิงเอี้ยน ต่อให้รู้ว่าตัวเองผิด ก็ไม่มีทางรับผิดหรอก ใต้เท้าโหวฟงเหมือนว่าจะดูแลเมืองหนานหยางอยู่นะคะ”
    “เมืองหนานหยาง อ้อข้านึกออกแล้ว ต้องเป็นท่านอาอ้วนๆ ที่เป็นอ๋องหนานหยางแน่ คิดไม่ถึงว่าเขาจะนึกถึงข้าด้วย สงสัยกลัวโดนสนมต่อว่า เลยแอบส่งของมาให้ โห สามร้อยตำลึงเชียวเหรอ แพงหูฉี่เลยนะเนี่ย” ปันซูขำ
    หลิวเอี้ยนกลับไปจวน หลิวหงก็ถามว่าไม่ได้ไปขอโทษเหรอ หลิวเอี้ยนว่า
    “ข้าไปถึงหน้าบ้านแล้วแต่แค่ไม่อยากลงไป ก็เลยใช้ให้คนเอาของไปส่งแทน”
    “คนไม่ไป แต่ส่งของไปแทนแค่ขอโทษยังทำได้แย่มาก”
    “เปล่าสักหน่อย ข้าก็แค่ไม่กล้า ท่านพี่วางใจเถอะนะ ข้าให้คนส่งของล้ำค่าไปให้ตั้งเยอะ จานของใต้เท้าโหวฟงที่ข้าชอบที่สุดก็เอาให้ ถ้านางเห็นจะต้องรู้จุดประสงค์เราแน่”
    “จริงเหรอ” หลิวเอี้ยนพยักหน้า
    ปันซูลุกมานั่งเขียนหนังสือ เพ่ยหวนให้พักก็ไม่ยอม เอาซุปให้ดื่มก็บ่นว่าอย่าทำเหมือนเธอเป็นคนป่วย พอดีเว่ยอิงมาหา
    “แล้วตอนนี้เจ้าไม่ได้ป่วยเหรอ”
    “หาพี่เขย” ปันซูดีใจลุกขึ้น 
    เว่ยอิงเตือน “ระวังระวังหน่อย เจ้าไม่เป็นอะไรนะ”
    “พี่มาได้ยังไงเนี่ย”
    “เรื่องในชั้นเรียนพึ่งเสร็จ ข้าอดเป็นห่วงเจ้าไม่ได้ ก็เลยแวะมาเยี่ยม”
    “จริงเหรอ”
    “อ้อ เจ้ายังเจ็บหัวอยู่มั๊ย”
    “ไม่เจ็บแล้วแต่ขาข้องข้า...เมื่อก่อนข้าชอบล้อพี่ว่าขากะเผลก ตอนนี้ หากขาพี่ยังไม่หายดีล่ะก็ เราทั้งคู่ ก็คงกะเผลกเหมือนกัน อุ้ย พี่เขย ข้าขอโทษ ข้าไม่ได้หมายความอย่างนั้น ข้าแค่”
    เว่ยอิงสวน “ไม่เป็นไร ข้าเข้าใจมาข้าจะประคองเจ้านั่ง”
    “พี่เขย นั่งด้วยสิ”
    “เฮ้อ ข้าชอบตำหนิเจ้าว่าวู่วามแต่ว่าเรื่องนี้ เจ้าทำดีมาก อ๋องจงซานเป็นขุนนางที่มีอำนาจ เจ้ารักษาหน้าเขาเอาไว้ เขาจะต้องจดจำเจ้าแน่ วันนี้หลิวหงเจอข้าที่โรงเรียนยังตำหนิตัวเองไม่หยุดว่าสอนน้องไม่ดี”
    “ข้าไม่ได้คิดไกลแบบนั้นหรอกถึงหลิวเอี้ยนจะนิสัยไม่ค่อยดี แต่ข้ารู้ดีว่า นางไม่กล้าฆ่าคนหรอก แต่ก่อเรื่อง มันเกินความคาดคิดก็เท่านั้นเอง สำหรับข้าแล้ว เจ็บตัวครั้งนี้ถือว่าคุ้ม ถ้ารู้ว่าแค่เจ็บตัวนิดหน่อย ก็ได้ตำแหน่งคืน ข้าคงรีบเอาหินมาทุบหัวตัวเองแล้ว” ปันซูหัวเราะ
    “อย่าพูดเหลวไหล ตำแหน่งไม่สำคัญขนาดนนั้น  ข้าต้องการให้เจ้าสุขภาพแข็งแรง”
    “ข้ารู้แล้ว”
    “วันนี้ข้าขี่ม้าไปโรงเรียน อานดีมากเลย อาซู ขอบใจมากนะ”
    “อื้ม แล้วพี่ดีกับฮั่วเหิงเแบบนี้มั๊ยถ้าพี่เห็นข้าเป็นคนกันเอง คราวหน้าก็ไม่ต้องขอบคุณ ตกลงมั๊ย”
    “ได้ วันนี้ต้องเลิกประชุมข้าเจอเติ้งจื้อเดิมทีเขาจะมาเยี่ยมเจ้า แต่ถูกข้าขวางไว้ ในเมื่อไทเฮาทรงตรัสชัดเจน แม้ในใจเจ้าจะรู้สึกดีกับเติ้งจื้อ ข้าว่า เจ้าควรรักษาระยะห่างนะ”
    “ใครบอกว่าข้ารู้สึกดีกับเขาล่ะ”
    “ก็ตอนแข่งขันกัน ข้าเห็นพวกเจ้าพูดจา แย่งลูก ดูสนิทสนม”
    ปันซูแทรกถอนใจ “ข้าคิดกับเขาแค่พี่ชายก็เหมือนพี่กับฮั่วเหิง ใจของข้ามีพี่คนเดียว เอ่อ... เฮ้อ”
    “อาซู ข้า..”
    “เอาล่ะในเมื่อข้าหลุดปากแล้ว ก็ขอพูดให้หมดเลยแล้วกัน ใช่ ข้าชอบพี่ ครั้งก่อนที่ข้าพูดกับพี่ ไม่ใช่ความจริง นอกจากพี่แล้ว ข้าก็ไม่ชอบใครอีก พี่อย่าพึ่งพูด ให้ข้าพูดจบก่อน ข้ารู้ว่าพี่ลืมพี่เซวียนไม่ได้ แต่ข้า ก็อยากจะทำดีกับพี่ ข้ารู้ว่าข้าโง่ ชอบก่อเรื่องวุ่นวาย แต่ว่า ข้าก็อยากให้พี่ยิ้มแย้ม สนุกสนานกว่านี้ ยังมีอีก การที่ข้าชอบพี่...ไม่ได้แปลว่าพี่ต้องชอบข้า ไม่ว่าข้าจะทำอะไรก็ตาม พี่อย่าเก็บเอามาใส่ใจ แล้วไม่ต้องกังวลว่าข้าจะบีบให้พี่แต่งงาน สรุปคือ...พี่รู้ว่าข้าชอบพี่ก็พอแล้ว เรื่องอื่นๆ...พี่ไม่ต้องทำอะไรทั้งนั้น”
    “นี่ปันซูข้าไม่ใช่คนโง่ เจ้าดีกับข้า ข้าก็เห็น แต่..”
    “เอ้อไม่ต้องแต่ว่าเลยนะ ข้ารู้ว่าคนในเมือง ชอบชมคนอื่นก่อน แล้วปิดท้ายด้วยคำว่าแต่ว่า หลังจากคำว่าแต่ว่า คือว่า..ก็ไม่ใช่คำพูดที่ดีหรอก พี่เขย พี่ยอมให้ข้าชอบพี่เถอะนะ ข้ารู้ว่าพี่ลืมพี่เซวียนไม่ได้ แต่ว่า.... ข้าจะรอพี่อยู่ตรงนี้...จนกว่าพี่จะยอมรับข้าแล้วลืมพี่เซวียน พี่วางใจได้เลย ตระกูลปัน...อดทนเป็นเลิศ แม่ข้ารอพ่อ 18 ปี พ่อข้าก็รอแม่ตั้ง 18 ปี”
    “อาซูเจ้าอย่าโง่ได้มั๊ย”
    “ข้าไม่ได้โง่นะ ไม่แน่ ถ้าข้ารอไปเรื่อยๆ สักวันอาจเปลี่ยนใจ..ไปชอบคนอื่นก็ได้ แต่ว่าตอนนี้ พี่ให้ข้ารอพี่เถอะนะ”
    “ไม่ต้องพูดเรื่องนี้แล้ว เมื่อกี้ข้าเห็นเจ้าฝึกเขียน ที่จวนของข้ามีแบบ เดี๋ยวข้าส่งมาให้นะ”
    “ได้สิตอนนี้พี่มาช่วยดูหน่อยที่ข้าเขียนถูกมั้ย”
    “ตรงนี้ต้องลงน้ำหนักพู่กันมากหน่อย”
    “ลงน้ำหนักพู่กันทำยังไงเหรอ พี่ก็รู้ว่า....ข้าแกล้ง”
    “ใช่ข้ารู้”
    “งั้น...พี่รู้สึกดีกับข้าขึ้นมานิดนึงแล้วใช่มั๊ย” ปันซูหอมแก้มเว่ยอิง “แบบนี้เรียกว่าจู่โจมโดยไม่ตั้งตัว ข้ารู้ว่าพี่ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรต่อ งั้นก็....ไม่ต้องพูดอะไรแล้วกัน เมื่อก่อนพี่ชอบบอกว่า ข้าเขียนไม่สวย ข้าก็เขียนเลียนแบบพี่เซวียน เอามาฝึกเขียนเป็นเล่มๆ เลย เว่ยอิง ข้ารู้ว่าข้ายังดีไม่ แต่ข้าจะพยายามให้มาก ถ้าวันหนึ่ง ข้าเป็นเหมือนพี่เซวียนพี่จะ ชอบข้าขึ้นมาบ้างมั๊ย”
    “ไทเฮารับสั่งให้พักมากๆ เจ้ายังพักฟื้นไม่เต็มที่ ไปพักก่อนดีกว่า หลังหายดีแล้ว ยังมีงานใหญ่รออยู่ ข้าไม่รบกวนเจ้าแล้ว ขอตัวก่อนนะ”
    เว่ยอิงกลับไปก็คิดเรื่องปันซู จนฝันว่าอาเซวียนมาต่อว่าที่เขารักคนอื่น พอสะดุ้งตื่น จิ่นซูก็มาตามบอกให้เขารีบไปดูต้นอ้อ
    เว่ยอิงไปถึงก็เห็นเหล่าบัณฑิตมุงดูต้นอ้อที่ตายแล้ว เว่ยอิงมองอย่างตกใจแล้วพยายามหาต้นที่ยังไม่ตายแต่
    “เกิดอะไรขึ้น ๆ   ทำไมเป็นแบบนี้”
    อาหลิงว่า “เราก็ไม่รู้เหมือนกัน เมื่อเช้าตอนมาถึงโรงเรียน ก็เห็นต้นอ้อเป็นแบบนี้ไปแล้ว”
    เหยาเจวียนส่งเสียงมา “หลบหน่อยๆๆ นี่หวงกงกงเป็นผู้ดูแลสวน เชี่ยวชาญเรื่องดอกไม้ ให้เขาช่วยดู”
    เว่ยอิงว่า “หวงกงกง จะจ่ายค่าตอบแทนเท่าไรข้าไม่เกี่ยง แต่ขอให้ช่วยพวกนี้ด้วยนะ”
    “ใต้เท้าใจเย็น ข้าจะพยายามอย่างสุดความสามารถ”
    เหวินสี่ว่า “ดอกอ้อพวกนี้หลายปียังดีๆ อยู่เลย ทำไมจู่ๆ ถึงตายได้นะ”
    “รึว่า..วิญญาณของอาจารย์หลิวบนสรวงสวรรค์”
    “มามุงดูอะไรกัน ไปได้แล้วๆๆๆ กลับไปได้แล้วเร็วๆ เข้า”
    “เป็นยังไงบ้าง”
    “วันก่อนยังดีอยู่แท้ๆ ทำไมจู่ๆ ถึงตายได้ล่ะ”
    เหยาเจวียนว่า “วันก่อนยังดีอยู่ ทำไมจู่ๆถึงตาย มีคนแกล้งรึเปล่าเช่นรดน้ำมากไปรึไม่ก็วางยาอะไรพวกนี้”
    “ไม่ใช่ทั้งนั้นต้นอ้อพวกนี้แก่ตายตามธรรมชาติ”
    เว่ยอิงว่า “แก่ตายเหรอ”
    “ใช่ครับ ถ้าข้าจำไม่ผิด อาจารย์หลิวปลูกมา 4 ปีแล้ว ต้นอ้อก็เหมือนคน มีอายุไขเหมือนกัน ปกติจะอยู่ได้ 3-5ปี  นี่ก็ถึงเวลาของมันแล้ว”
    เว่ยอิงร้องไห้ “อาเซวียนเจ้าโกรธข้าอยู่ใช่รึเปล่า”

จบตอนที่  21