'เบิ้ล ปทุมราช' ลุยท้องนา
พาปลูกข้าวที่ “พิพิธภัณฑ์การเกษตรฯ”
พักยก วันอาทิตย์นี้ เน็ตไอดอลบ้านนา ‘เบิ้ล ปทุมราช’ เจ้าของเพลงฮิต ‘อ้ายมีเหตุผล’ จะพาไปลุยท้องนาปลูกข้าวแบบของจริง กันที่ พิพิธภัณฑ์การเกษตร เฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
งานนี้ เจ้าตัวตั้งใจพาทีมงานไปสัมผัสกับวิถีการทำนากันแบบจริงจัง ด้วยความที่เป็นเด็กอีสานจากบ้านโคกพระ ต.นาป่าแซง อ.ปทุมราชวงศา จ.อำนาจเจริญ ฉะนั้น เรื่องทำนาไม่ต้องเป็นห่วง
เมื่อรวมตัวกันพร้อมบริเวณด้านหน้าพิพิธภัณฑ์การเกษตรเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ย่าน ต.คลองหนึ่ง อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี ในช่วงสายๆ เบิ้ลมาในชุดเสื้อ-กางเกงแบบชาวนาจริงๆ เลยทีเดียว หลังจากเดินเข้าสู่ตัวอาคาร ซึ่งจัดเป็นนิทรรศการปรัชญาด้านการเกษตรพอเพียง ความเป็นกษัตริย์เกษตร ในหลวงรัชกาลที่ 9 ที่มีหลายภาคส่วน จนซึมซับเต็มที่แล้ว
เบิ้ล ปทุมราช ก็พาทีมงานเดินดิ่งตรงไปยังแปลงนาขนาดไร่เศษๆ ที่อยู่บริเวณด้านใน โอบล้อมไปด้วยพันธุ์ข้าวสีเขียว ที่เด่นตระหง่านรอการปักดำ นักร้องหนุ่มหันมาบอกกับทีมงานด้วยเสียงที่สดใสเหมือนเด็กต่างจังหวัด ยามที่ได้อยู่กับท้องนาที่บ้านเกิดว่า “ก่อนมาเป็นนักร้องผมก็ใช้ชีวิตเหมือนเด็กอีสานทั่วไป ที่ต้องช่วยพ่อแม่ทำนาปลูกข้าว ตรงนี้ถ้าเป็นครอบครัวของผม เราก็จะใช้เวลาประมาณครึ่งวันในการไถหว่าน นาดำตรงนี้ เดี๋ยวผมจะทำให้ดูกันแบบเห็นๆ เลย”
จากนั้นหนุ่มเบิ้ลก็จัดแจงถอนกล้าที่ปลูกอยู่บริเวณแปลงนาอีกด้าน ด้วยท่าทางทะมัดทะแมง หลังจากได้ต้นกล้ามารวมเป็นมัดพอประมาณ เบิ้ลก็อธิบายขั้นตอนทันทีว่า “พอเราได้ต้นกล้ามาเป็นมัดใหญ่ๆ แล้ว ก็จะใช้ตอกที่ทำมาจากต้นไผ่มามัดให้แน่น แล้วตัดปลายต้นกล้าออก แล้วนำไปวางไว้ตามมุมต่างๆ ในนานั่นแหละ แล้วก็ให้ญาติมาร่วมกันลงแขกดำนาปักข้าว สนุกแล้วก็อบอุ่นมาก เขาไม่ได้จ้างกันนะ พอดำนาเสร็จก็ต้มไก่กินข้าวกัน” เบิ้ลกล่าวเสียงเจื้อยแจ้ว
เบิ้ลบอกว่า การทำนาทุกวันนี้ยากขึ้น เพราะบางพื้นที่ไม่มีน้ำที่ใช้เลี้ยงต้นข้าว ทำให้หลายคนเลือกที่จะเข้ามาทำงานในกรุงเทพฯ
“การทำนาทุกวันนี้ พี่ป้าน้าอาหลายคน เลือกที่จะมาทำงานในกรุงเทพฯ เพราะทนทำนาไม่ไหว น้ำไม่มีบ้าง ช่วงที่ผมอายุได้ 10 ขวบ เริ่มจะไม่มีการลงแขกดำนากันแล้ว จะเป็นการจ้างแรงต่างด้าวบ้าง เหมากันไปวันละ 120 บาท พอผมอายุ 14 รูปแบบก็เปลี่ยนอีก ไม่มีการจ้างเป็นรายวันแล้ว จะเป็นค่าแรงตามมัดกล้าแทน ว่าดำได้กี่มัด เขาจะจ้างแรงงานเยอะเพราะยิ่งเยอะยิ่งเสร็จไว” เบิ้ลยังคงอธิบายต่อ
หลังจากบอกขั้นตอนการทำนาที่สัมผัสมาตั้งแต่เด็ก ให้ทีมงานฟังแล้ว เบิ้ลก็จัดแจงเดินนำหน้าทีมงานพร้อมมัดกล้าจำนวนหนึ่งลงสู่แปลงนา เพื่อสาธิตการดำนาให้ทีมงานดูทันที พร้อมกับอธิบายอย่างเป็นขั้นเป็นตอน ด้วยความคล่องแคล่วสมกับเป็นลูกชาวนา
ลูกทุ่งหนุ่มอธิบายว่า “การดำจะมีทั้งดำแบบถี่ แบบห่างแล้วแต่ ว่านาใครจะมีมากน้อย บางทีก็ทำนาหว่าน คือการใช้เมล็ดข้าวโปรยไปเหมือนเราหว่านปุ๋ย คนหว่านต้องมีฝีมือในการหว่านด้วย ต้องให้เมล็ดข้าวกระจายไปให้ทั่วพื้นนา ต้องดูว่ามุมไหนที่เรายังไม่ได้หว่าน ข้าวที่เกิดจากนาหว่าน ก็จะเป็นเหมือนในแปลงสาธิต นาหว่านจะเสร็จในขั้นตอนเดียวเลย ไม่ต้องมาดำนากัน แต่ถ้าตรงนั้นน้ำแห้ง เราจะใช้วิธีไถกลบใหม่ เขาเรียกว่า ซ่อมข้าว โดยไปของบสนับสนุนจากรัฐ”
เบิ้ลเล่าถึงช่วงชีวิตที่สัมผัสกับการเป็นกระดูกสันหลังของชาติ ก่อนจะมาเป็นนักร้องอาชีพ ให้ทีมงานฟังพลางเดินจากแปลงนาสาธิตเข้าสู่บริเวณแปลงปลูกพืชผัก ที่ตั้งเรียงรายอยู่ถัดจากแปลงนาว่า
“เมื่อก่อนผมทำนาทุกวัน มันเป็นอาชีพที่เราต้องทำตลอด เพื่อให้ได้ข้าวมา เหนื่อย แต่ได้อยู่ใกล้พ่อแม่ญาติพี่น้อง ผมอยากบอกว่ากีตาร์สีน้ำเงินที่เห็นผมเล่นตอนแต่งเพลง จนเป็น เบิ้ล ปทุมราช แม่ผมมัดกล้ามาซื้อให้นะ มัดละ 5 บาท กว่าจะได้ 2,500 บาท เพื่อมาซื้อกีตาร์ให้ผม ต้องทำงานหนักขนาดไหน น้องๆ ที่มาเรียนในกรุงเทพฯ กว่าที่พ่อแม่จะได้กล้าแต่ละมัดมาให้น้องได้ซื้อน้ำโกโก้แก้วหนึ่งเกือบร้อยบาท ให้เรารู้ว่าพ่อแม่ลำบากแค่ไหน จงตั้งใจเรียนด้วย”
หลังจากใช้เวลาในนาข้าวมาได้พักใหญ่ๆ เน็ตไดอลบ้านนาคนดัง ก็พาเรามาที่แปลงผัก ซึ่งแต่ละแปลงนั้น มีการจัดเรียงภาชนะที่ใส่ ซึ่งเบิ้ลได้เข้ามานั่งดูแปลงผักอย่างสนใจก่อนจะบอกกับเราว่า
“วันนี้ผมว่าไม่ว่าเราอยู่ที่ไหน เราก็สามารถทำการเกษตรได้ สิ่งที่พ่อหลวงทรงทำให้เราดู ผมเห็นแล้ว ผมว่าพระองค์ท่านเป็นพระมหากษัตริย์ที่ทรงเข้าถึงแก่นของอาชีพเกษตร ท่านรู้ว่าแต่ละพื้นที่ในประเทศไทยตรงไหนควรจะปลูกอะไร ผมดีใจที่ได้ทำนา วันนี้มาตรงนี้คุ้มมาก ได้เห็นการทำเกษตรแนวใหม่ รู้สึกรักประเทศ เกษตรกรรมสามารถช่วยเรา ครอบครัวเราได้จริงๆ” เบิ้ลกล่าวเสียงจริงจัง
หลังอยู่ทำกิจกรรมด้วยกันมา เน็ตไอดอลบ้านนา ก็ขอตัวกลับไปเพื่อเตรียมตัวเข้าสู่วิถีของเสียงเพลงต่อ นั่นคือเดินทางไปคอนเสิร์ตที่ชุกเหมือนฝนตกช่วงนี้เลยก็ว่าได้...บาย