สร้างความตกใจให้กับเป็นแฟนๆ อย่างมาก หลังทราบว่า "น้องสกาย" ธฤต ธาน ผู้รับบทเป็น โจ ลูกชายของใจเริง ในละครเรื่องเพลิงบุญ ป่วยเป็นมะเร็งต่อมน้ำเหลืองที่กระดูกไขสันหลัง ซึ่งมารดาของน้องสกายได้ให้สัมภาษณ์ถึงอาการของลูกชายในขณะนี้ว่า
"ตอนนี้อาการของน้องอยู่ในกระบวนการรักษา ทำคีโมเป็นวันแรก เริ่มแรกอาการของน้องมาเร็วมาก ทำให้เราตั้งตัวไม่ทัน ก่อนหน้านี้น้องก็มีอาการป่วยไม่สบายเราก็พาไปหาหมอทานยาตามปกติ ก็ไม่คิดว่าลูกจะเป็นอะไรมาก จนกระทั่งพากลับมาบ้านก็สังเกตเห็นว่าทำไมน้องดูซึมๆ ไม่ค่อยพูด อยากนอน ไม่ค่อยอยากเดิน คือปกติเขาจะชอบวิ่งชอบเล่นเราก็สงสัย จนเริ่มมีอาการเท้าบวม เท้าแดง ขาบวม เราก็สงสัยว่าลูกเราเป็นอะไร ไปกินอะไรผิดมาหรือเปล่า เลยพากลับไปหาหมอีกครั้งเล่าอาการให้ฟัง คุณหมอก็สังเกตลักษณะของน้อง แล้วก็บอกว่าสงสัยต้องแอ็ดมิทดูว่าอาการแบบนี้มันเกิดจากสาเหตุอะไร แรกๆ คุณหมอก็คิดว่าอาจจะเป็นอาการในส่วนของสมองซีกเล็กมีปัญหาหรือเปล่า มีอะไรไปกระทบหรือมีก้อนเนื้อหรือเปล่า แต่เป็นแค่การวิเคราะห์ หลังจากนั้นพอแอ็ดมิทที่รพ.วันแรกก็ทำ MRI สแกนสมอง ก็ไม่พบว่าเป็นอะไร ตอนนั้นเราก็เริ่มกังวลแล้ว ในระหว่างนั้นน้องก็มีอาการท้องบวม เราก็ไม่รู้ว่ามีเชื้ออะไรอีกไหม จนทำ MRI อีกรอบที่กระดูกสันหลัง ทำซีทีสแกน ผ่านไปประมาณ 10 นาที คุณหมอก็เดินออกมาบอก ว่าน้องมีก้อนเนื้อเกาะอยู่ที่กระดูกสันหลัง ตอนนั้นใช้เวลาสแกนไป 2 ชม. ตั้งแต่ 2 ทุ่ม ออกมาคุณหมอก็ยังบอกไม่ได้ว่าเป็นก้อนเนื้อชิ้นนี้คือเนื้ออะไร อาจจะเป็นแค่หนองที่สามารถทำลายได้โดนไม่ต้องผ่าตัด แต่ก้อนเนื้อมันเริ่มลาม คุณหมอก็ปรึกษาว่าจำเป็นต้องรักษาซึ่งต้องเปลี่ยนรพ. เพราะที่นี่หมอเฉพาะทางไม่พร้อม ด้วยความที่พ่อกับแม่ใจร้อนเพราะเห็นลูกขาบวมมาก เราสัมผัสได้ว่าน้องเจ็บ เราก็ตัดสินใจให้คุณหมอผ่าเลย ผ่าเสร็จน้องก็อยู่ห้อง ICU หนึ่งคืน จากนั้นก็ย้ายมารักษาอีกรพ.หนึ่ง ตอนนี้ก็อยู่ในขั้นตอนการรักษา คุณหมอจากรพ.พระมงกุฎก็ได้นำชิ้นเนื้อที่ผ่าตัดจากรพ.แรกมาวิเคราะห์ ได้ผลว่า 99 เปอร์เซ็นต์น่าจะเป็นมะเร็งต่อมน้ำเหลือง"
ตอนที่ทราบว่าลูกเป็นมะเร็งหัวใจของคนเป็นแม่อย่างเราเป็นยังไงบ้าง
"ทางที่ดีที่สุดในตอนนั้นคือทำยังไงก็ได้ รักษายังไงก็ได้ ให้ไม่มีผลกระทบในด้านอื่น เรื่องขา เรื่องอะไรที่น้องจะต้องเจอ ทำยังไงก็ได้ เรายอม เราไม่รอ"
ทราบผลตรวจมะเร็งเมื่อไหร่
"ประมาณวันที่ 25 ต.ค. ช่วงเที่ยงคืน แล้วคุณหมอเขาปรึกษากัน ตี 2 เราก็ตอบตกลงที่จะผ่าตัด ตี4 น้องเข้าห้องผ่าตัด เราทำทุกอย่าง จริงๆคือมันก็เหลือแค่ไม่กี่ชั่วโมงจะเช้า แล้วก็ย้ายรพ. แต่เราไม่ไหว เราเป็นห่วงลูกมาก ก็เลยบอกคุณหมอว่าทำเลยค่ะ ทำยังไงก็ได้ เพราะเขาบอกว่าถ้าได้รับการผ่าตัดแล้ว ขาของน้องอาจจะดีขึ้นตามลำดับ แล้วในส่วนของตาตก ก็อาจจะดีขึ้น เพราะมันไปกดเส้นประสาทตา ก็ต้องเอาตรงนั้นก่อน พอผ่าเสร็จการตอบสนองหลังการผ่าก็เริ่มดีขึ้น น้องขยับขาได้"
ได้บอกน้องสกายไหมว่ากำลังเจออะไรกันอยู่ก่อนผ่าตัด
"มันก็มีบ้างที่เราต้องร้องไห้ให้ลูกเราเห็น เพราะเราก็ใจคอไม่ดี ซึ่งเขาไม่รู้เรื่องเขาก็จะถามว่าหม่าม๊าเป็นอะไร ร้องไห้ทำไม เราฟังแล้วเราก็รู้สึกใจไม่ดี คุณหมอก็ให้กำลังใจว่าคุณแม่ต้องเข้มแข็ง เราก็รู้สึกว่าใช่เราต้องเข้มแข็ง เพราะถ้าเราไปอ่อนแอให้ลูกเห็นลูกเราก็จะใจไม่ดี น้องยังเด็กเขายังไม่รับรู้อะไรมากมาย แต่เราก็พยายามบอกเขาว่าหนูต้องเจ็บนะลูก แต่หนูจะเจ็บแป๊บเดียวเดี๋ยวหนูก็ได้กลับบ้าน หายดี แต่เราก็ไม่ได้บอกอะไรเขามาก (เสียงสั่น) เพียงแต่ว่าให้กำลังใจเขา บอกเขาว่าให้สู้ เพราะแบบนี้เราต้องสู้ แล้วกำลังใจเป็นสิ่งสำคัญ ซึ่งเราเองบางทีก็ถอดใจนะ เพราะว่าเหนื่อยมากเลยไม่เคยเจอแบบนี้"
คุณหมอบอกว่ามะเร็งที่เป็นอยู่ในระยะไหน
"คุณหมอยังบอกไม่ได้ว่าอยู่ในระยะไหน แม้ว่าเราไปทำลายมันออกแล้ว แต่มันยังมีเหลือบางส่วน คุณหมอแจ้งว่าน้องเป็นมะเร็งต่อมน้ำเหลืองในกระดูกไขสันหลัง เรื่องของการรักษาก็เป็นไปตามขั้นตอนของการรักษา ตอนนี้ก็ให้เคมีบำบัด คุณหมอก็ให้คำแนะนำว่าเราต้องเจออะไรและต้องผ่านอะไรบ้าง เราต้องสู้ เราต้องเข้าใจ ในขั้นตอนของการรักษา อย่างน้องต้องโดนเจาะเลือดก็ต้องบอกลูกเราว่าเดี๋ยวคุณหมอจะช่วยหนู (คุณหมอให้ความมั่นใจไหมว่าน้องจะหาย) เรื่องแบบนี้เรายังไม่ได้คุยกัน คุยกันแค่ว่า คุณหมอจะทำการรักษาและดูอาการไป เพราะว่าโรคแบบนี้มีโอกาสเกิดขึ้นกับเด็ก และเด็กๆ ประมาณล้านคนจะเจอสัก 10 คน หรือล้านคนจะเจอสัก 5 คน บังเอิญมันเกิดกับลูกเรา"
ถามคุณหมอไหมว่าทำไมลูกเราถึงเป็น
"คุณหมอบอกว่าเรื่องของอาหารการกิน และการพบปะผู้คน อย่างที่รู้ว่าก่อนหน้านี้น้องเป็นเด็กเน็ตไอดอล เวลาไปไหนก็จะเจอพี่ๆ ที่เขาชื่นชอบมาขอถ่ายรูป ด้วยภูมิต้านทานของเด็กไม่มี แต่เราไม่ได้โทษตรงนั้นนะ แต่ที่จะบอกคือว่าไอ้เชื้อพวกนี้มันสามารถเข้าตัวเด็กได้ อันนี้อยากให้เป็นแนวทางที่คุณพ่อคุณแม่ทุกคนควรจะรู้ เรื่องอาหารการกิน เรื่องสภาพสิ่งแวดล้อม เรื่องอะไรหลายๆ อย่าง มันขึ้นอยู่กับว่ามันจะเกิดขึ้นกับเด็กแบบไหน ถามว่าเสียใจไหม ก็ต้องเสียใจ เพราะเราไม่คิดว่ามันจะเกิดขึ้นกับเรา แรกๆ เรารับไม่ได้เพราะะลูกเราก็เพิ่งอายุแค่ 2 ขวบ 7 เดือนเอง เรามีความมั่นใจว่าลูกเราจะต้องหาย มันเหมือนกับว่าเรามีความมุ่งมั่นที่จะไปถึงจุดมุ่งหมายเราก็ต้องไปให้ได้ เช่นเดียวกับเรื่องของการรักษา เราจะต้องให้ลูกเราผ่านการรักษาตรงนี้ให้ได้ ต่อให้เสียอะไรเท่าไหร่ก็ต้องยอม"
กำลังใจน้องดีไหม
"กำลังใจน้องดีมากเลย อย่างเวลาเราบอกว่าน้องสกายต้องสู้นะ แม่กับป๊าจะสู้ไปกับหนู เขาก็จะพยักหน้า หรือเวลาเราถามว่าเขาว่าเจ็บไหม เขาก็จะบอกเราว่าเจ็บ แล้วเราบอกว่าหนูทนได้ใช่ไหมเ เขาก็จะตอบกลับว่าทนได้ เขาจะคอยตอบสนองเรา อย่างในไอจี ในเพจ หรือช่องทางต่างๆ มีคนมาให้กำลังใจเยอะมาก มีบางคนโทรมาถาม หรืออินบ็อกมาถาม อันไหนเราตอบได้ เราก็ตอบ อันไหนเราตอบไม่ได้ เราก็ขอไม่ตอบ เราไม่ได้ปิดบังว่าลูกเราเป็นอะไร เพียงแต่ว่าเรายังไม่รู้สาเหตุ และเรายังไม่มีเวลาที่จะตอบ ที่ตอบไปที่เห็นแชร์กัน เป็นเพราะว่าความห่วงใยของแฟนคลับ เหมือนเขารักลูกเราเหมือนที่เรารักลูก ห่วงใยลูกเรา รู้สึกดีกับลูกเรา อยากรู้ว่าลูกเราเป็นอะไร เขาก็จะถามว่าทำไมถึงเข้าโรงพยาบาลนาน ทำไมน้องไม่หายทั้งที่น้องไม่เคยเป็น เราไม่ตอบซะที จนเรารู้แล้วว่าลูกเราเป็นอะไร เราถึงตอบ พอเราตอบไป คำตอบอันนั้นแหละที่ทำให้มีคนเข้ามาให้กำลังใจลูกเรา เราก็คอยบอกลูกเราว่าแฟนคลับหนูให้กำลังใจหนูนะลูก"
ละคร "เพลิงบุญ" ที่ออกอากาศเมื่อคืน น้องได้ดูไหม
"ได้ดู อย่างเวลาที่น้องเขาไปไหนมาไหน เวลาเจอแฟนคลับแล้วมีคนถามว่าน้องชื่ออะไร เขาก็จะบอกว่าหนูชื่อสกาย พี่เลี้ยงก็จะถามเขาว่า หนูแสดงละครเรื่องอะไรบอกพี่เขาไป น้องก็จะบอกว่า เพลิงบุญ เป็นลูกของใคร เขาก็จะบอกว่าเจนี่ (เจนี่ เทียนโพธิ์สุวรรณ์) พี่ป้อง (ณวัฒน์ กุลรัตนรักษ์) เวลาที่เขาดูละครเขาก็จะชี้บอกว่านี่พี่ป้อง ในกองละครเขาจะติดพี่ป้องกับพี่เบลล่า (ราณี แคมเปน) มากกว่า เพราะเขาจะได้เข้าฉากกับพี่ป้องกับพี่เบลล่ามากกว่า เขาเห็นพี่เบลล่า ก็จะบอกแม่พิม เบลล่า กับพี่เจนี่ ที่เล่นเป็นใจเริง เจอกันไม่บ่อย"
เมื่อเช้า "จ๋า" ยศสินี ณ นคร และ "เบลล่า" ราณี ไปเยี่ยมด้วย
"ใช่ วันนี้พี่จ๋า กับ เบลล่าไปเยี่ยมน้อง เบลล่าก็มีไปป้อนขนม ก็รู้สึกดีที่เขามาให้กำลังใจน้อง เพราะน้องจำเบลล่าได้ พอวันนี้เจอกันก็มีอ้อน จะกินน้ำ กินขนม"
คุณแม่มีอะไรที่กังวลไหม
"ตอนนี้ยังไม่ได้คิดอะไร เหมือนมันยังคิดอะไรไม่ออก แต่ถ้าถามว่าเวลาเราอยู่คนเดียว เรารู้สึกยังไง คือในเรื่องของการดูแล เราดูแลลูกดีในระดับหนึ่งเลย แต่อาจจะเป็นบางทีที่เราอาจจะไม่เต็มร้อย แต่ในเรื่องของความอบอุ่นเราให้เขาเต็มร้อยเลย แต่น้องกายเป็นเด็กที่รู้เรื่อง เวลาเราบอกอะไรเขาก็จะฟัง ซึ่งถ้าเป็นเด็กคนอื่นที่อยู่ในวัยเดียวกันอาจจะคอนโทรลไม่ได้เท่ากับน้องกาย แม่รู้สึกแบบนั้นนะ"
หลังจากนี้ไปคุณแม่ได้วางแผนชีวิตของน้องไว้อย่างไรบ้าง
"อันนี้ก็ยังไม่ได้คิด คิดแค่ว่าวันนี้ดูแลน้องให้ดีที่สุด ในส่วนของเรื่องงานยังไม่รู้เหมือนกันว่าจะเป็นอย่างไร บังเอิญว่าน้องยังไม่เข้าโรงเรียนก็เลยโล่งใจตรงนี้ไปหน่อย น้องอาจจะเรียนช้าไปกว่าเพื่อนนิดหนึ่ง"
เห็นว่าค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลค่อนข้างที่จะสูง
"ค่าใช้จ่ายจากการผ่าตัดไปแล้วรวมๆ แล้วก็เกือบล้าน และต่อไปก็จะมีค่าใช้จ่ายมาเพิ่มในส่วนที่ต้องรักษา การให้คีโม หรืออนาคตในส่วนการให้สเตมเซลล์ในการมาฟื้นฟูให้กับเซลล์ในร่างกาย แต่อันนี้ยังไม่แน่ใจว่าต้องใช้หรือเปล่า หรือบางครั้งก้อนเนื้อก้อนนี้อาจตะตอบสนองกับตัวยาที่ให้ไปได้เร็ว และน้องหายเร็ว หรือบางครั้งอาจจะหายไม่เร็ว มันก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง เราก็แค่มีส่วนที่ต้องเตรียมพร้อมกับมัน ต่อให้ต้องหาเงินมากแค่ไหน เราก็ต้องทำ เพื่อให้ลูกเรากลับมาเป็นเหมือนเดิม ให้กลับมาร่าเริง น่ารักเหมือนเดิม (มันมีกระจายไปไหนไหม?) กระจายไหม คือยังไม่รู้ เพราะการให้เคมีบำบัดไป มันอาจจะไปสกัดกั้นการกระจายเหล่านั้นก็เป็นได้"
อย่างที่คุณหมอว่าโรคนี้เกิดขึ้นกับเด็ก 10 คน ใน 1 ล้านคนนั้น มีเปอร์เซ็นต์รักษาหายขาดมากน้อยแค่ไหน
"ที่หายขาดก็มีนะ ก็กลับไปใช้ชีวิตประจำ กลับไปเป็นเด็กปกติเหมือนเดิม แต่เด็กที่มารักษาเขาอาจจะเหมือนน้องกาย เพราะน้องกายเป็นเด็กที่ทุกคนรู้จัก เราก็เป็นห่วง หากเขาหายแล้วโต เมื่อเข้าสังคม เข้าโรงเรียนเขาจะต้องเจอคนมากมาย อาจจะมีคนทักว่าเขาเคยเป็นโรคนี้ ก็อยากให้มันเป็นฝันร้ายของลูกที่ พอตื่นมาแล้วก็เหมือนเดิม ฝันร้ายที่พูดหมายถึงตอนนี้น้องรับรู้อะไร เพราะน้องยังเด็ก แต่ถ้าน้องโต แล้วได้กลับไปอ่านข่าวในโซเชียลแล้วเจอว่าเป็นมะเร็ง กระแสสังคม ส่วนในข้อดีคือกำลังใจที่มีคนติดตาม หมอเขาแนะนำมาว่าอยากให้น้องตื่นมาแล้วเรื่องนี้มันกลายเป็นแค่ฝันร้าย เหมือนไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น เพราะความคิดของคนเราไม่เหมือนกัน แต่เราก็รู้สึกดีนะได้รับกำลังใจ เพราะอาจจะเป็นข้อดีกว่าเด็กคนอื่นที่เป็นโรคเดียวกัน แต่ไม่รับกำลังใจขนาดนี้
แสดงว่าคุณแม่มองว่ามันมีสองมุมคือหนึ่งมีคนให้กำลังใจเยอะ แต่อีกมุมหนึ่งคนจะจำภาพว่าน้องเคยเป็นมะเร็ง
"แต่ถ้าน้องดีขึ้นแล้ว เราก็ต้องบอกอยู่แล้ว แต่ก็อยากจะบอกให้เป็นแค่ฝันร้ายของลูกไป มันเป็นอุปสรรคหรือเป็นวิกฤตที่เราผ่านมาแล้ว ไม่ต้องไปจำ แต่คือปัจจุบันเราก็ขอบคุณทุกคนที่ให้กำลังใจ"
แสดงว่าเราเตรียมสิ่งที่จะอธิบายกับลูกไว้แล้ว
"คุณพ่อเขาคิดถึงผลกระทบในอนาคตของลูก เขาซีเรียสมากเกี่ยวกับคำพูดของคนอีก อยากให้การใช้ชีวิตของลูกเหมือนคนปกติทั่วไป ก็วางแผนไว้ว่าจะอธิบายให้ลูกฟังตามความเป็นจริง"
ณ วันนี้มีผลกระทบจากสิ่งรอบข้างมาหรือยัง
"ยัง มีแต่การให้กำลังใจ คือคนเราทุกอย่างถ้ามันมัวแต่ไปคิดในเรื่องที่มันบั่นทอนจิตใจ มันก็ไม่มีความสุข เราต้องมองโลกในแง่ดี"
พอมีข่าวออกไป มีคนเจ้ามาให้กำลังใจ การช่วยเหลือยังไงบ้าง
"อันนี้ต้องขอบคุณมากๆ เลย เขาอยากร่วมทำบุญ ซึ่งเราไม่คิดมาก่อนว่าจะเยอะขนาดนี้ บางคนก็บอกว่าถึงเวินที่ช่วยมา มันอาจจะไม่เยอะแต่ให้เราเก็บสะสมไว้เป็นค่ารักษาน้องไว้ เขาอยากจะเป็นส่วนนึงให้น้องกลับมาเป็นเหมือนเดิม เราไม่ได้ปิดกั้น เราก็เกรงใจเขา และเราก็ไม่รู้ว่าอนาคตข้างหน้า ค่าใช้จ่ายจะเยอะแค่ไหน คือทุกคนก็อยากให้ลูกเราหาย เราไม่รู้ว่าการรักษาครั้งนี้มันจะสิ้นสุดลงเมื่อไร เขามีน้ำใจที่ตะยืนมือเจ้ามาข่วย เรายินดีที่จะรับไว้ เพื่อที่จะช่วย ทำให้น้องหายได้ ซึ่งเราก็ไม่ให้คนมองว่าเราพลิกวิกฤตให้เป็นโอกาสแต่อย่างใด"
คุณแม่เคยคิดไหมว่าทำไมโรคนี้ต้องเกิดกับลูกเรา
"มันก็ต้องแวบหนึ่งเข้ามา เพราะลูกเราไม่เคยเจออาการแบบนี้มาก่อนเลย แต่ก็เคยคิดว่าเป็นเพราะอะไร แต่ถ้าในเมื่อมันเกิดแล้ว เราก็ต้องสู้ไปพร้อมลูก ก็ต้องทำให้ดีที่สุด ใครไม่เคยสถานการณ์แบบนี้ ไม่เข้าใจหรอก และตัวเราเองก็จะไม่รู้ว่าเราเข้มแข็งมาแค่ไหน (มีไปบนบ้างไหม?) ก็มีบ้าง มีไปไหว้หลวงพ่อโสธร คุณตาคุณยายก็ไปไหว้ ไปดูดวงให้ แต่ยังไม่รู้รายละเอียดนะ เราก็ต้องเชื่อทุกอย่างทั้งเรื่องการรักษา โชคชะตาชีวิต" แม่น้องสกายกล่าว