ชีวิตสบายสไตล์ 'นาว' ทิสานาฏ
"นาว" ทิสานาฏ ศรศึก จะมาบอกเล่าเรื่องราวทั้งผลงานการแสดงละคระเรื่องสายโลหิต ที่กำลังจะลาจอ รวมถึงความรักกับหวานใจ "นิว" วงศกร ปรมัตถากร
โดนจับตามองตั้งแต่มีกระแสว่าจะได้รับบทมาเป็นดาวเรือง แสดงคู่กับ “พอร์ช”ศรัณย์ ศิริลักษณ์ ในละครเรื่อง “สายโลหิต” ซึ่งเป็นละครที่ทางช่อง 7 คาดหวังไว้มากเพราะเล่นมากี่เวอร์ชั่นก็ดังเปรี้ยงปร้าง ทาง บันเทิง คมชัดลึก ได้มีโอกาสพูดคุยกับ “นาว" ทิสานาฏ ศรศึก ซึ่งนักแสดงสาวได้กล่าวถึงการแสดงในละครเรื่องนี้ว่า
"เรื่องนี้เล่นเป็นดาวเรือง เรื่องนี้พี่พอร์ชก็จะรับบทหนักหน่อย เพราะต้องเล่นทั้งเรื่อง แต่นาวโชคดีหน่อยที่ได้น้องแคนดี้ (สุภาภัสร์ ผลเจริญรัตน์) มาแชร์บทบาท แต่ก็โชคร้ายหน่อยที่ได้ค่าตอนไม่เต็ม 15 ตอน (หัวเราะ) ในกองก็สนุกดี เพราะในช่วงวัย 15 ก็จะเป็นวัยของเราอยู่ คือมันจะมีความกุ๊กกิ๊กโก๊ะกังหน่อยๆ พอช่วงมีลูกก็จะเริ่มยากขึ้นเพราะเราไม่เคยมีลูก เราไม่เคยอายุ 30 เราก็ไม่รู้ว่าจะต้องทำอย่างไร แต่ผู้กำกับก็แนะแนวทางว่าดาวเรืองมีคุณย่าเป็นไอดอล เราก็เลยพอจะนึกแนวออก พอต้องเล่นเป็นตอน 30 เราก็สามารถเป็นเหมือนคุณย่าได้ ทั้งการพูดจา การดูแลบ้าน เราก็โล่งใจเพราะเราสามารถก๊อปปี้การแสดงของป้าดาว (ดวงดาว จารุจินดา) ได้ ซึ่งป้าดาวก็บอกเราว่าไม่ต้องทำอะไรเลย คิดให้ได้ว่าเราอายุเท่านั้นจริงๆ คิดให้ได้ว่าเรามีลูก เราต้องคิดให้เหมือนเขาเป็นครอบครัวเดียวกัน มันก็เลยไม่ได้ยากอะไรที่จะทำให้เราอินไปกับมัน
@ เรื่องนี้ถ่ายทำนานแค่ไหน
เอาเป็นว่าได้เค้กวันเกิดในกองละคร 2 ก้อน (ยิ้ม) ถามว่านานไหมมันก็ไม่ค่อยนานนะ ส่วนสาเหตุที่ออนแอร์ช้าเป็นเพราะองค์ประกอบต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นฉากในเรือ ฉากรบ คือฉากเดียวเราถ่ายกัน 4-5 วัน เวลาผู้ชมดูในโทรทัศน์มันใช้เวลาแค่ 4-5 นาทีเท่านั้นเอง อยากจะบอกว่าเรื่องนี้นักแสดงทุกคนทุ่มเทมาก ทุกฉากทุกตอน ถามว่าฉากไหนหนักสุด เรียกว่าหนักทุกฉากแหละ แต่ฉากที่หนักสำหรับนาวคือฉากที่เราต้องพลัดพรากจากกัน ไม่ว่าจะเป็นคุณย่าตาย คุณพ่อตาย และฉากที่ต้องจากกับพี่ลำดวน (พี่สาวในละคร) ตอนนั้นเรารู้สึกได้ เพราะเราถ่ายกันมาเป็นปีก็จะมีความผูกพัน พอนึกว่าถ้าต้องจากกันจริงๆ ไม่รู้ว่าจะได้เจอกันอีกหรือเปล่า เราก็จะรู้สึกกดดันและอินกับบทบาทได้ง่าย
@ กดดันไหม เพราะละครเรื่องนี้เป็นละครรีเมคที่ประสบความสำเร็จมาก
กดดันอยู่แล้ว ก็กดดันทุกเรื่องที่ได้เล่นนะ แต่เรื่องนี้จะมีกระแสเยอะหน่อย เพราะเรารู้อยู่แล้วว่าเวอร์ชั่นก่อนมันอลังการ แล้วมันก็อยู่ในใจหลายๆ คน และมันเพิ่งจะรีรันเมื่อเร็วๆ นี้ จากที่คนเกือบๆ ลืมก็กลับมาจำได้ และบวกกันที่เราจะออนแอร์ปีนี้ซึ่งมันใกล้ๆ กัน ก็เลยไม่แปลกที่ต้องโดนเปรียบเทียบ เรียกว่าก็ทำใจไว้อยู่แล้ว นอกจากเรื่องโดนเปรีบเทียบหลายคนก็จะถามว่ามันจะแตกต่างจากเวอร์ชั่นเก่าไหม ก็บอกได้ว่ามันไม่ได้แตกต่างมากเพราะโดยเนื้อเรื่องของสายโลหิตมันค่อนข้างแน่นหนา เราไม่สามารถปรับเปลี่ยนอะไรได้ แต่สิ่งที่เราจะเติมได้คือความละมุนความกลมกล่อม รายละเอียดการเข้าคู่พระ-นาง นอกจากนี้เรายังมีการเพิ่มตัวละครคือคุณพ่อของหมื่นทิพย์ ซึ่งเวอร์ชั่นก่อนมันไม่มี มันทำให้เห็นถึงความเป็นมาเป็นไปของตัวหมื่นทิพย์ว่าทำไมเขาถึงเป็นแบบนี้ สิ่งเหล่านี้คือรายละเอียดที่เพิ่มเข้ามาและมันก็เลยเป็นการปิดช่องโหว่
@ ภาษาในเรื่องมันสร้างปัญหาให้กับนาวไหม
ที่สุดเลย คือการแสดงเราก็พะวงอยู่แล้ว ส่วนเรื่องภาษามันเป็นสิ่งสำคัญอีกอย่างที่เราพะวงมากกว่าการแสดง ถ้าเป็นละครปกติเราจะไม่ซีเรียสเลย เพราะเราสามารถจำไดอะร็อคและปรับเปลี่ยนคำเพื่อให้เข้าปากเราได้ แต่พอเป็นพีเรียตปุ๊บ มันห้ามเติม ห้ามขาด คำมันต้องเป๊ะๆๆๆ ยิ่งเวลาเราพูดเร็วๆ ด้วยอารมณ์ คือมันจำไดอะร็อคได้นะแต่มันจำขึ้นต้นไม่ได้ และทุกคนจะประสบกับปัญหานี้หมด ส่วนบรรยากาศในกองก็รู้สึกเหมือนครอบครัว สนุกสนาน เพราะเป็นทีมงานที่คุ้นเคย เราเคยทำงานร่วมกันอยู่แล้ว มีอะไรก็ปรึกษาหารือกันได้
@ ห่วงเรื่องเรตติ้งไหม เพราะช่องคาดหวังไว้มาก
ละครฟอร์มใหญ่มากจริงๆ แต่ตอนที่ละครมันออนแอร์ การแสดง การตัดต่อ มันได้ทำเสร็จสิ้นไปหมดแล้ว ที่เหลือมันน่าจะเป็นการตัดสินใจของคนดูมากกว่า ว่าเขาจะคิดอย่างไร เขาคิดเหมือนผู้กำกับของเราไหม คือบางทีเรามองตัวละครแบบนี้ แต่ผู้กำกับจะเป็นคนดูภาพรวม เขาอยากให้ตัวละครตัวนี้ไปทางนี้เราก็ต้องเคารพการตัดสินใจของผู้กำกับ เวอร์ชั่นก่อนมันก็เป็นของดาราวิดีโอ เวอร์ชั่นนี้มันเสริมทั้งภาพและเสียงรวมถึงเอฟเฟคต่างๆ เข้าไป มันทันสมัยขึ้น คิดว่าคนดูก็จะเข้าถึงง่ายขึ้น
@ แล้วชีวิตตอนนี้เป็นอย่างไรบ้าง
ก็สบายดี ไม่เจ็บ ไม่ป่วย ไม่ไข้ (หัวเราะ) ส่วนผลงานหลังจากนี้่ก็มีเรื่อง “นางร้าย” เรื่องนี้ถ่ายจบไปแล้วเล่นกับพี่บูม (กิตตน์ก้อง ขำกฤษ) ในเรื่องจะเป็นสาวสู้ชีวิต ต่อสู้ดิ้นรนเพื่อที่จะหางานหาเงินมาเลี้ยงครอบครัว เรื่องนี้ก็จะเห็นนาวในอีกมุมหนึ่งที่อาจจะร้ายหน่อยจิกหน่อย ส่วนอีกเรื่องหนึ่งที่กำลังถ่ายทำอยู่คือเรื่อง “หัวใจลูกผู้ชาย” เรื่องนี้เล่นคู่กับ เข้ม (หัสวีร์ ภัคพงษ์ไพศาล) เรื่องนี้จะเป็นสาวจบนอก มีความมั่นใจ ขี้บงการ ชอบสั่ง ถามว่าลำบากไหม ไม่เลยนาวชอบด้วยซ้ำเพราะเราได้เล่นอะไรที่มันแตกต่างจากเดิม มันเหมือนเป็นการพัฒนาตัวเองและฝึกทักษะใหม่ๆ
@ เล่นมาหลายบทบาทแล้วมีบทไหนที่เราสนใจเป็นพิเศษไหม
จริงๆ อยากลองเล่นบทโรคจิตบ้าง นาวว่ามันน่าจะยาก บางทียังเคยคิดว่าคงทำไม่ได้หรอกถ้าเราเล่น แต่ถ้าเราทำได้มันก็คงเป็นเหมือนการพัฒนาศักยภาพการแสดงของเรา ถามว่ามีใครมาเสนอบทนี้หรือยัง ยังไม่มีเลย (หัวเราะ)
@ ชีวิตส่วนตัวเป็นอย่างไรบ้าง
ก็โอเคมีความสุข ดี ราบรื่น ทั้งเรื่องครอบครัว สุขภาพ เรื่องความรักก็ดี โอเคหมด เรื่องความรักก็ตามที่เห็น เรื่องข่าวดีบอกตรงๆ ว่าไม่เคยคิดเลย ส่วนทางนั้นจะคิดหรือเปล่าเราไม่รู้คงต้องให้ไปถามทางนั้นเอง แต่พี่นิว (วงศกร ปรมัตถากร) รู้แหละว่านาวยังสนุกกับการทำงานตรงนี้อยู่ ยังสนุกกับชีวิตแบบนี้อยู่ ถามว่ามีการพูดคุยเรีื่องอนาคตกันไหม ก็มีพูดคุยแหละ เพียงแต่ว่าเราไม่ได้คุยกันว่าเราจะแต่งงานเมื่อไหร่ คือพี่นิวไม่ได้เป็นคนที่ชอบมองการณ์ไกล เขามองแค่ว่าวันนี้ดีพรุ่งนี้ก็ดี เขาจะชอบมองปัจจุบัน ถามว่าเรามองเหมือนพี่นิวไหม อืม...จริงๆ ผู้หญิงนั้นมีความมโนนะ แต่หนูไม่ได้มโนในเรื่องของอนาคตว่า ฉันจะต้องเป็นอย่างนั้นอย่างนี้หรือต้องแต่งงานเมื่ออายุเท่าไหร่ เวลานาวไปงานแต่งงานเพื่อนเรากก็ยินดีกับเพื่อนนะ แต่เราไม่เคยรู้สึกเลยว่าอยากแต่งงาน คืออยากเป็นแบบนี้อยู่ อยากโฟกัสเรื่องงาน ไม่เคยคิดอะไรเรื่องแบบนั้นเลยคือมันเป็นเรื่องที่ไกลตัวนาวมาก
@ วางแพลนเรื่องอนาคตไว้อย่างไร
ถ้าเป็นเรื่องงานก็อยากเป็นนางเอกแบบนี้ไปเรื่อยๆ อยากได้บทบาทที่หลากหลายให้พัฒนาตัวเองต่อไป อยากมีธุรกิจ ซึ่งตอนนี้นาวมีธุรกิจความสวยความงามก็มีครีมกันแดด และกำลังจะทำเรื่องแฟชั่นเสื้อผ้า คือตอนนี้กำลังทำแบบแล้วส่งให้เขาไปตัดมาให้อยู่ ที่ทำธุรกิจเพราะอยากให้เป็นช่องทางในการหารายได้อีกช่องทางหนึ่ง และในอนาคตก็คิดไว้ว่าอยากจะเปิดร้านอาหาร เพราะว่าเป็นคนที่ชอบทำขนมชอบกาแฟ และน้องชายของนาวกำลังจะเรียนจบด้านการโรงแรม ก็คิดจะเปิดร้านให้น้องดูแล
@ คนมองว่ามีธุรกิจส่วนตัว มักจะมองเผื่อเรื่องครอบครัว
มันก็ถึงเวลาแล้ว เพราะเราก็ไม่รู้ว่าเราจะอยู่ในวงการได้อีกนานแค่ไหน ในฐานะอะไร และวันหนึ่งเมื่อเราแก่ตัวไป เราไม่ได้เป็นนางเอกเราก็ต้องมีอะไรเพื่อรองรับวันนั้น ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจ ตอนนี้เราทำเพื่อให้มีสื่อ มีช่องทางให้คนติดตามให้คนได้รู้จัก พอวันหนึ่งเมื่อเราไม่ได้เป็นดาราคนก็ยังรู้จักแบรนด์ของเราอยู่ ที่คิดเผื่อเพราะว่ามีรุ่นพี่ในวงการแนะนำมาว่าควรจะมีธุรกิจสักอย่างที่เป็นรูปเป็นร่าง เพราะตอนนี้นักแสดงใหม่ก็เยอะ เราก็ไม่รู้ว่าเรายังอยู่ในทาเก็ตที่เขาต้องการอยู่หรือเปล่า
@ดูชีวิตนาวเรื่อยๆ
ใช่ๆ ชีวิตของนาวไม่ค่อยหวือหวา ไม่ค่อยมีข่าว พอมีข่าวทีทุกคนจะเป็นห่วงมาก ตัวตนของนาวก็เป็นอย่างที่ทุกคนเห็น แต่ก็มีบางทีที่ทุกคนเห็นแต่เขาก็ยังมองเราเป็นอีกมุมหนึ่ง แต่บางคนตัดสินใจเราเร็วเกินไป อย่างบางครั้งเห็นเราในมุมที่ป่วยหน้าบี้งก็หาว่าเราหยิ่ง ถามว่านาวเรียบร้อยไหม ไม่เลย นาวเป็นคนสนุกสนาน โก๊ะๆ เวลาอยู่กับกล้องกับการอัดเสียงเราก็จะระวังตัวนิดหนึ่ง เพราะเราเป็นคนพูดตรงบางทีความคิดเราก็ออกจากปากโดยที่เราไม่ได้กลั่นกรอง การที่เอาไปตีข่าว เขียนข่าวมันผิดไปจากทีเ่ราพูดไว้ เราก็เลยจะคิดเยอะขึ้นเวลาที่เราพูด ไม่ใช่ว่าพอมีกล้องเราก็จะเป็นร่างสองสวยงาม แต่เราก็ยังเป็นคนเดิมแต่ที่เพิ่มเติมคือระมัดระวังคำพูดมากขึ้น
@ ตอนนี้ห่วงอะไรบ้าง
ตอนนี้ห่วงตัวเอง ห่วงสุขภาพมากสุด ยิ่งช่วงที่ถ่ายละครหนักๆ เรียกว่าตายไปเลยต้องหามเข้าโรงพยาบาล คือนาวยังทันยุคถ่ายไปออนไป เราเคยป่วยเกาะสายน้ำเกลือไปถ่ายละครมาก่อน นักแสดงรุ่นใหม่นี่่ก็สบายขึ้นเพราะเดี๋ยวนี้ไม่ค่อยมีละครที่ถ่ายไปออนไปแล้ว อย่างต่ำๆ ต้องถ่ายเป็นสต๊อกสัก 5-6 ตอนก่อนค่อยออนแอร์ ก็เรียกว่าทำงานสบายขึ้น ทำงานได้นานขึ้น ส่วนสัญญาของนาวหมดปี 62 แต่ถ้าผู้ใหญ่เรียกต่อก็เข้าไปต่อ เรื่องนี้ต้องแล้วแต่ความกรุณาของผู้ใหญ่า
@ ต้องวางตัวอย่างไรพอโซเชียลเข้ามามีบทบาทในชีวิต
โอ้โห นักข่าวเดี๋ยวนี้หาข่าวตามเฟสบุ๊ค อินสตาแกรม และตัวที่กดเลื่อนมันก็อยู่ใกล้ปุ่มกดไลท์ บางทีกดผิดลบออกแทบไม่ทัน จริงๆ นาวเป็นคนตรงๆ นะ คิดอะไรเราก็พูด แต่พอเราอยู่ในที่สาธารณะ การที่เราอิ๊อ๊ะนิดหนึ่ง มันก็เป็นประเด็นเพราะเดี๋ยวนี้มันไม่ใช่แค่ภาพถ่าย แต่มันคือการไลฟ์สด ทุกอย่างมันสดหมด คนดูเห็นหมดและเขาก็จะตัดสินเราเดี๋ยวนั้น เขาไม่ได้เห็นเรามาทั้งชีวิต เขาไม่ได้เห็นเราในมุมอื่นๆ แต่เขาเห็นเราแค่ 2 นาทีเขาก็สามารถตัดสินเราได้เลย จะเห็นได้ว่านาวจะไม่ค่อยไลฟ์สดตัวเอง เพราะเป็นคนไม่ค่อยเล่นโทรศัพท์ ส่วนการที่ช่องไลฟ์โปรโมทละครก็ทำปกติ มันเป็นงาน
@ อยู่วงการมานานมันให้อะไรกับเราบ้าง
มันให้ความแข็งแรง ทำให้เราสตรองขึ้น คิดเยอะขึ้นเวลาจะทำอะไรจะพูดอะไร คือร่างกายเราสตรองอยู่แล้ว แต่จิตใจเราเป็นคนอ่อนไหวกับคำพูด เป็นคนแคร์คน เวลาสัมภาษณ์จะเห็นห้าวๆ แต่จิตใจอ่อนแอมาก เป็นคนแคร์คน แคร์คนทั้งประเทศ แคร์ทุกคอมเม้นท์ นานมากกว่าจะช่างมัน แต่พอช่างมันไปแล้วแต่สิ่งเหล่านั้นมันยังวนเวียนในสมอง มันจะคิดตลอดเวลา อย่างช่วงหนึ่งเราเคยโดนโจมตีเรื่องการแสดงคือตอนเราไปทำงานเรามีความสุขนะ แต่พอละครจะออนแอร์เราก็จะเริ่มไม่ค่อยมั่นใจ ทุกวันนี้ก็ยังเป็น แม้เรื่องนี้จะผ่านมา 2-3 ปีแล้วแต่เราก็ยังเจ็บ คุยทีแทบจะร้องไห้ เราก็จะได้กำลังใจจากครอบครัวอย่างคุณแม่ แต่ท่านก็ไม่ได้อยู่ในวงการท่านก็จะไม่ค่อยทราบอะไร เราก็จะมีพี่นิวนี่แหละที่คอยให้คำปรึกษาที่ดีมาก เพราะเขาเป็นผู้ใหญ่และเคยผ่านประสบการณ์พวกนี้มาแล้ว ก่อนหน้านี้ยังเคยคิดจะลาวงการ คนก็เอาไปตีข่าวพี่นิวก็แนะนำว่าให้คิดเยอะขึ้นพูดอะไรให้ชัดเจนคนจะได้ไม่ตีข่าวผิดอีก ก็อยากจะบอกว่าไม่ได้ลาวงการ ก็ยังอยู่ที่เดิมแค่อยากได้บทอะไรที่แปลกใหม่ คนจะได้ไม่ว่าว่าเล่นแต่บทเดิมๆ
เรื่อง เสาวลักษณ์ ปึงทมวัฒนากูล
ภาพ กุลพันธ์ ศิริพิมพ์อัมพร