
'ยิ้มก็พอ' ความสุขในการเปลี่ยนแปลงของ 'โต๋'
"โต๋" ศักดิ์สิทธิ์ เวชสุภาพร กับผลงานเพลงใหม่ "ยิ้มก็พอ"
ทีมบันเทิง คมชัดลึก - แม้จะหันไปชิมลางงานด้านอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็น เมนเทอร์ พิธีกร หรือแม้แต่การแสดงละครครั้งแรกกับเรื่อง “นางสาวไม่จำกัดนามสกุล” ทาง “ช่องวัน31” แต่ “โต๋” ศักดิ์สิทธิ์ เวชสุภาพร ก็ยังไม่ทิ้งงานเพลง ล่าสุดปล่อยงานเพลง “ยิ้มก็พอ” ออกมาให้แฟนๆ ได้ยลกัน ซึ่ง “บันเทิง คมชัดลึก” ได้พูดคุยกับนักร้อง-นักแสดงหนุ่ม ถึงเรื่องราวชีวิตในตอนนี้ ที่ร้าน "Glowfish Dining Hall" ใกล้รถไฟฟ้าช่องนนทรี ซึ่งนักร้องหนุ่มกล่าวว่า
“เพลงนี้คือซิงเกิลแรกของอัลบั้มใหม่ซึ่งยังไม่มีชื่อชุดเลย (หัวเราะ) ต้นปีเราวาง Chapter 1 ไป เรามีมีตติ้งโชว์เคสเพื่อแจกซีดีให้กับแฟนเพลง ระยะเวลาที่ผ่านมากลายเป็นเราเปลี่ยนไป เราออกไปเจอคน ออกไปเล่นบนเวทีมากขึ้น เล่นละครเวที เป็นคอมเมนต์เตเตอร์ ตั้งแต่ปลายๆชุด Chapter 1 แล้ว ผมอยากทำชุดใหม่แล้ว เพราะ Chapter 1 เราทำตอนปี 2015 แต่วางจริงๆ คือปี 2018 สามปีนี้เรารู้สึกเราเปลี่ยนไปแล้ว พอChapter 1 เสร็จปุ๊บ ผมเริ่มทำงานชุดใหม่เลย เพราะวัตถุดิบมันมาเยอะแล้ว เราทำเป็นล็อต 5 เพลง จนรู้สึกว่าพร้อมแล้วที่จะปล่อยซิงเกิลใหม่เป็นซิงเกิลแรกของอัลบั้มนี้เลย แต่ยังไม่มีชื่อชุด คงไม่เรียกว่า Chapter 2 หรอก เพราะมันสตาร์ทไปใหม่แล้วแค่ยังไม่ได้คิดชื่อ ชุดนี้ก็เลยเป็นการเปลี่ยนแปลงอีกครั้งหนึ่งที่ผมว่ามันก็ไปตามเวลาตามตัวเรา ณ เวลานี้จากที่คนเคยรู้จักเรา เพราะคนรู้จักเราจากเพลงอย่างเดียว จากตัวเราที่อยู่ในเอ็มวีเล่นเปียโนอย่างเดียว แต่เดี๋ยวนี้เขารู้จักจากละครเวที จากรายการ จากไลฟ์สไตล์ของตัวเรามากขึ้น เดี๋ยวเร็วๆนี้ก็จะรู้จักจากการเล่นละครด้วย มันเป็นจังหวะเวลาที่เราทำตัวเรา ณ เวลานี้ออกเลยดีกว่า”
@ คอนเซ็ปต์และแนวดนตรีของ อัลบั้มนี้เป็นอย่างร
“หลายๆ คนยิ่งโตขึ้นก็รู้สึกว่าอยากเข้มข้นขึ้น สำหรับผมรู้สึกว่ายิ่งโตขึ้นยิ่งสบาย เวลาผ่านมาเรารู้สึกว่ายิ่งทำเพลงเด็กลง ทำเพลงวัยรุ่น (หัวเราะ) พอโตขึ้นเรารู้สึกว่าจากเมื่อก่อนเราเป็นนักดนตรีสุดๆ เราเจอหลายๆ อย่างมาในชีวิต เมื่อก่อนเราทำด้วยความรู้สึกว่าเราเป็นนักดนตรี เราต้องการพิสูจน์อะไรบางอย่าง ต้องการทำเพลงให้มันแนวให้มันดีโชว์สุดฝีมือ พอผ่านอะไรมาปุ๊บ เรารู้สึกว่าสุดท้ายแล้วมันอยู่ที่ความสุขล้วนๆเลย ตอนทำชุดนี้เรียบง่าย และใครชิงมีความสุขก่อนคนนั้นชนะ นี่คือความเซ็ปต์ง่ายๆ ผมว่ามันเป็นอย่างนี้จริงๆในชีวิต ทุกคนมีปัญหาของตัวเอง แต่ใครชิงที่จะหามุมบวกหรือใครชิงที่จะมีความสุขก่อน ใครชิงที่จะทิ้งความเครียด ความทุกข์ได้ คนนั้นล่ะชนะและมีความสุขที่สุดด้วย ชุดนี้ก็เหมือนกันก็เลยมาในโทนนี้เลย คือสบายและเอ็นจอยอย่างเดียวเลย ออกไปเพื่อเอนจอยอย่างเดียวเลย เปียโนจากชุดที่แล้วน้อยแล้ว มาชุดนี้ก็ยิ่งน้อยไปอีก มีอยู่แต่มีในเพลงที่จำเป็นต้องมี เพลงที่ไม่มีก็ไม่มีเลย เอ็มวีตัวนี้ที่จะออกก็จะเป็นเอ็มวีแรกที่ไม่มีเครื่องดนตรีเลย ผมไม่ได้เล่น ซึ่งปกติจะเห็นผมอยู่กับเปียโน แต่เพลงนี้ไม่มีเลย อันนี้ได้เดินเล่นบ้าง ส่วนแนวดนตรีชุดนี้พอเราสบายมันทำให้เราเปิดรับสิ่งรอบตัวมากขึ้น สมัยนี้ฮิตแร็ปหรอ ฮิตอีดีเอ็มหรอ แต่ก่อนผมจะไม่เลย ทุกเพลงต้องเป็นสไตล์เรา ผมจะไม่ฟีเจอริ่งกับใคร เพราะมันเป็นแนวเรา ตอนนี้เรามีคามสุขเลย ชีวิตเอนจอยเลย เขาเปิดให้ทำงานเต็มที่เราเลือกเลย หนึ่งชุดนี้เราจะใช้ซาวน์ใหม่เป็นอิเล็กทรอนิกส์มากขึ้น สองสมัยนี้แร็ปฮิตใช่มั้ย เราน่าจะแต่งเพลงฟีเจอริ่งแร็ปหน่อย เพราะให้เราไปแร็ปเองคงฮาไป บางคนก็เกิดมาเพื่อทำบางอย่างไม่ใช่ทุกอย่าง ให้แร็ปเอาฮาได้แต่เอามาอยู่ในเพลงดีๆไม่ได้หรอก ก็เลยให้มีฟีเจอริ่งดีกว่า มันมีเรื่องราวหมด นั่นคือพาร์ตดนตรีที่เราเปิดรับ ในล็อตใหม่เพลงนี้เป็นเพลงที่ช้าที่สุด เพลงอื่นเร็วกว่านี้หมดเลย มันทำให้เราเปิดกว้างขึ้น ทำแนวใหม่มากขึ้น ตั้งแต่ตอนอยู่ในรายการ คนจะมาทักว่าจริงๆโต๋เป็นคนสนุกเหมือนกัน เป็นคนขี้เล่นนี่ ผมก็มาคิดว่าแล้วเมื่อก่อนเห็นผมเป็นคนยังไง เขาก็บอกว่าเห็นเราติ๋มๆเรียบร้อยเล่นเปียโน แล้วพอหลังๆมาออกรายการ คนเริ่มเห็นในมุมสนุกสนานของเรามากขึ้น ผมเลยรู้สึกว่าเรามาเป็นไลฟ์สไตล์ทางนี้ดีกว่า เพลงมันเริ่มสนุกขึ้น บวกกับตัวเราเองที่มันปลดล็อกแล้ว มีเปียโนก็เล่น ไม่มีก็อยู่ได้ เดินร้องก็ได้ ทำอะไรได้หมด เป็นอิสระมากขึ้น มันก็เลยออกมาเป็นชุดนี้ที่เอนจอยมากเพราะได้ลองทำอะไรใหม่ๆ”
@ อิเล็กทรอนิกส์ซาวน์ก็ไม่เคยแตะต้องมันมาก่อน?
“ใช่ คือชุดนี้จะไม่เหมือนชุดอื่น อย่างเพลงนี้ชัดเจนเลยว่าไม่เหมือนเพลงอื่น เป็นซาวน์อิเล็กทรอนิกส์หมดเลย ต้องการซาวน์ที่บอกว่าเราไม่ได้เป็นศิลปินยุคก่อน ผมว่ามันเป็นข้อชาเลนจ์ของศิลปินทุกคน ท้าทายนะ เพราะวงการมันจะเปลี่ยนไปเรื่อยๆ มันจะมีเทรนด์ที่เข้ามาเรื่อยๆ ร็อก ฮิพฮอพ แล้วซาวน์ดนตรีจะเปลี่ยนไปเรื่อยๆ เราก็จะฟังดูว่าศิลปินคนไหนขยับไปตามโลกหรือเปล่า ถ้าเกิดว่าเรายังคีปอยู่อย่างนี้ เขาก็จะรู้สึกว่าพี่โต๋เป็นศิลปินยุคปี2000 ซึ่งสมัยนี้มันเป็นซาวน์ใหม่ เราก็ต้องขยับแต่ขยับในมุมที่ว่าขยับไปแต่ยังดึงให้มันเป็นเรา มันต้องขยับนิดนึง ไม่ใช่ว่าอยู่ดีๆผมออกมาแร็ปนี่ฮาเลยนะ อันนั้นก็เกินไป แต่เราสามารถทดลองอะไรได้ มันทำให้เรามีไฟในตัว ได้ติดตามว่าเด็กสมัยนี้เขาเก่งแล้วก็เล่นแต่อิเล็กทรอนิกส์กันทั้งนั้นเลย เราไปศึกษาว่าเด็กสมัยนี้ชอบแบบนี้ใช่มั้ย ผมว่ามันกลายเป็นการเบรนด์กันระหว่างเจนเนเรชั่น ให้เราไม่หลุดจากเจนเนเรชั่น เป็นการเปลี่ยนแปลงทำงานใหม่ นี่มันเป็นที่มาตั้งแต่ปลดล็อกแล้วแหละ ถ้าคุณไม่ปลดล็อกคุณก็ไม่กล้าทำงานกับใคร ฉันต้องจบงานเอง เมื่อไหร่ที่จบงานเองคนเดียวมันก็จะเป็นเทสต์ที่คุณชอบคนเดียว สมัยนี้ข้อดีคือมีสตรีมมิ่งต่างๆ ผมจะกดฟังเพลงใหม่ๆตลอดว่าเพลงนี้ใครออก เราอัปเดตว่าเดี๋ยวนี้เขาทำอะไรกันบ้าง ผมว่าการอัปเดตตัวเองก็เป็นหน้าที่หนึ่งของศิลปินด้วย”
@ วางแผนทิศทางการทำงานกับทีมในแนวที่แปลกไปจากเดิม?
“ปลดล็อกของผมมีหลายอย่าง ผมก็ปลดล็อกในเรื่องการทำเพลง สมัยก่อนผมจะเริ่มต้นจากการอยู่ที่ตัวเองหมด ผมต้องจบงานเอง ผมเก็บทุกเม็ดเองหมด พอ10ปีผ่านไป ผมรู้สึกว่า โห เหนื่อยอ่ะ ทำไมต้องทำเยอะขนาดนี้ ทำงานกับคนอื่นก็มีความสุขมากกว่าอย่างที่บอกใครชิงมีความสุขก่อนคนนั้นชนะ บางคนเกิดมาเพื่อทำบางสิ่งได้ดีแต่ไม่มีใครทำได้ทุกสิ่งอย่าง ฉะนั้นสิ่งคุณที่อยากได้ให้ไปหาผู้เชี่ยวชาญทางด้านนั้นมาทำให้ เปิดใจรับว่าเขาพูดอะไร เช่น เพลงนี้ผมอยากได้ซาวน์กลอง ผมก็ทำงานกับฝรั่งคนหนึ่งที่โปรแกรมกลอง ปล่อยให้เขาทำเลยแล้วส่งมา แล้วชุดนี้เรามีโปรดิวเซอร์ชื่อ Charles Fisher เพราะผมจะเอาเวลาไปทำอย่างอื่นแล้ว ไปใช้ชีวิตบ้าง เพราะหน้าที่ของเราคือแต่งเพลง พอถึงไฟนอลในการมิกซ์ ดูแลเรื่องซาวน์ ผมไม่รู้หรอกว่ามันดีไม่ดี นี่คือสาเหตุที่ให้มีผู้เชี่ยวชาญด้านนั้นมา ถ้าเราทำคนเดียวไม่มีเวลาไปทำอย่างอื่นเลย งานเสร็จแล้วมานั่งเพลียไม่มีประโยชน์”
@ ไม่กลัวจะหลุดจากลายเส้นของเรา?
“ไม่กลัวเลย ปลดล็อกตอนนี้กลายเป็นว่าไม่กลัวอะไรเลย เราอาจจะแต่งตัวใหม่แต่มันก็ยังเป็นเรา มันหนีเราไม่พ้นหรอก เป็นเราที่แต่งตัวใหม่ ยังดูรู้ว่าเป็นเรา บางคนอาจชอบแต่บางคนอาจรู้สึกว่ามันแปลกไป เราไม่ได้แต่งแบบนี้ทุกวัน ลองผิดลองถูกไปเรื่อยๆ ผมรู้สึกสนุก ส่วนสาเหตุที่ปล่อยเพลง "ยิ้มก็พอ" ออกมาเปฌรเพลงแรก เพราะว่าเพลงนี้เป็นเพลงที่น่าจะฟังเฟรนด์ลี่ที่สุดแล้วในอัลบั้มนี้ เจอเพลงอื่นในอัลบั้มจะหนักกว่านี้ มันเป็นเพลงกลางๆ เนื้อหาในเพลงนี้ก็เปลี่ยนไปและเป็นตัวเราอยู่ แมสเสจที่เราพูดอยู่ตลอดเวลาก็คือเรื่องในด้านบวก ยิ้มและกำลังใจ เราจะพูดในมุมบวกตลอด ถึงแม้เพลงอกหักจะเป็นสไตล์เพลงที่ฮิตในบ้านเรา แต่สำหรับผมนี่มันคือดินแดนที่เราปักธงไว้แล้วว่าเพลงเหล่านี้มันเป็นเพลงสไตล์เรา เพลงบวกเรายืนยันว่าเรามาทางนี้ เนื้อหามันใหญ่ขึ้นเมื่อก่อนผมจะพูดในมุมบวกว่าฉันรักเธอนะ ฉันเห็นเธอเป็นกำลังใจ สำหรับเพลง ยิ้มก็พอ จริงๆแมสเสจทั้งหมดบอกว่าการเป็นผู้ให้เป็นสุขกว่าผู้รับ ยิ้มก็พอฉันไม่ได้ต้องการอะไรตอบแทน รับมันไป ฉันมีความสุขแล้ว ฉันทำให้เธอ คนเราแค่ยิ้มแบ่งปันให้กับใคร อาจจะเป็นเรื่องเล็กๆน้อยๆแต่ถ้าคุณทำ คุณจะรู้สึกดี เวลาเราทำให้ใครเราจะรู้สึกดี ที่มาของชุดนี้มันเลยสบาย เพลงนี้เป็นเพลงแรกที่ปล่อย ค่อยๆพาคนไปดีกว่า เดี๋ยวปล่อยเพลงอื่นมาจะตกใจหนักกว่านี้ ผมว่าฟังง่ายนะเพลงนี้ ไม่ได้ยาก พอมีแร็ปเข้ามาคนจะคิดว่ามันจะมายังไง”
@ ทำไมถึงต้องเป็น "วันเดอร์เฟรม" ศุภัคชญา สุขใบเย็น มาฟีเจอริ่งด้วย?
“นี่คือสาเหตุหนึ่งภายใต้คอนเซ็ปต์ยิ้มก็พอ เฟรมมีสตอรี่มาก เขาเคยประกวด X Factor ที่ผมเป็นคอมเมนต์เตเตอร์อยู่ วันนั้นผมให้ผ่านอยู่คนเดียว คนอื่นไม่ได้ประทับใจเขา เขาดูเป็นสไตล์ตัวเองดี ผมก็ให้กำลังใจเขาในรายการ เขาตกรอบสอง แล้วเขาส่งไดเร็กแมสเสจมาในไอจีผม บอกว่าขอบคุณพี่โต๋มากๆนะคะ รู้ว่าพยายามเอาใจช่วยมากๆ ผมก็ตอบเขาไปแค่ สู้ๆนะครับ สติ๊กเกอร์หน้ายิ้ม การไปเป็นคนตัดสินในรายการแบบนี้ ผมมีความสุขได้เห็นเด็กเจนเนเรชั่นใหม่ที่เก่ง เราเห็นความสามารถของเด็กไทย เราอยากซัพพอร์ตเขา ซึ่งทุกคนรอเวลาของตัวเอง ปีหนึ่งผ่านไป ผมก็นั่งฟังเพลงในสตรีมมิ่ง ไปเจอเพลงหนึ่งในเพลย์ลิสต์ WONDERFRAME เห็นหน้าเฟรม อ้าว เฟรมออกเพลงหรอ ชื่อเพลง อยู่ดีๆก็ เลยกดไปฟัง เด็กสมัยนี้ทำเพลงล้ำมาก เท่ อินเทรนด์ ซาวน์มันใช่ ภาษาแร็ปก็เป็นการแร็ปที่ฟังรู้เรื่องว่าร้องอะไรอยู่ โห เจ๋งดีนะ หลังจากนั้นอีก2-3เดือน เพลงนี้ก็ดัง ผมก็ดีใจกับเขา สุดท้ายแล้วการที่ไปอยู่ในรายการ ชนะหรือแพ้ไม่เกี่ยวเลย มันอยู่ที่จังหวะใคร ความตั้งใจ พอเราแต่งเพลงนี้ผมก็คิดว่าอยากชวนเฟรมมาฟีเจอริ่ง เรารู้สึกว่ามันมีสตอรี่ ผมชี้ตัวว่าต้องเป็นเฟรมตั้งแต่ยังเป็นเดโม เพลงนี้ผมแต่งร่วมกับพี่โป โปษยะนุกุล พอเราแต่งปุ๊บ ผมเว้นท่อนกลางเลย บอกพี่โปว่าอยากได้ท่อนแร็ป ล็อกตัวว่าเป็นเฟรมตั้งแต่แรก วันที่ได้เจอกัน ผมก็เล่าเรื่องนี้ให้ฟัง เขาจำได้เหมือนกัน การที่เราบอกสู้ๆนะครับ มันอาจะเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่สำหรับคนที่เขาท้ออยู่เขาก็รู้สึกฮึดขึ้นมาได้ ตอนนั้นผมเห็นว่าเขาตั้งใจแต่มันอาจจะไม่ยังไม่ใช่เวลาของเขา เดี๋ยววันหนึ่งมันก็ถึงเวลาของเขาเอง แล้วพอวันนั้นมาถึงเราก็ดีใจไปกับเขา เราชื่นชมมันถึงเวลาเขาแล้ว ดีใจที่ได้กลับมาฟีเจอริ่งกับเขา มันเลยมีความหมายใต้คำว่ายิ้มก็พอ เหมือนมีน้องสาวมาร้องด้วย เขาร้องเป็นตัวแทนของความเป็นผู้หญิง ผมว่าน่าจะโดนใจหลายๆคน โดยเฉพาะแฟนเพลง แฟนคลับที่ชื่นชอบศิลปิน คอนเซ็ปต์นี้มันเข้าได้กับทุกวัย”
@ วันที่ได้เจอเฟรมเป็นยังไงบ้าง?
“ผมถามเขาเลยว่าจำได้ไหม เขาบอกจำได้ ผมก็เล่าให้ฟัง มีโมเม้นต์ซึ้งๆ รู้สึกดีใจไปกับเขา หลังจากจบรายการวันนั้น เราไม่รู้ว่าจะมีเส้นทางยังไง เราก็บอกสู้ๆนะ ใครจะไปรู้ ไม่ได้อยู่ที่ชนะหรือแพ้ มันอยู่ที่คุณมีสไตล์ คุณสู้ คุณซ้อม ไม่ยอมแพ้กับสิ่งที่คุณอยากทำอยากไป วันหนึ่งก็จะเป็นของคุณ สุดท้ายก็มีวันของตัวเอง เลยดึงน้องมาร้องฟีเจอริ่งด้วย มันมีเรื่องราวสตอรี่ว่าทำไม หลายคนอาจจะคิดว่าชวนเฟรมนักร้องรุ่นใหม่ที่อยู่ในกระแสมาฟีเจอริ่งด้วย จริงๆมันมีเรื่องราวมากกว่านั้นที่อยากเล่า เล่าแล้วรู้สึกดี เราตื่นเช้ามา เจอใครยิ้มให้ มันอาจจะฟังดูแล้วคิดว่าโลกสวย แต่จริงๆมันเป็นอย่างนั้นจริงๆ วีนหนึ่งที่คุณแย่แล้วออกไปเจอใครที่ยิ้้มให้คุณ มันช่วยนะ วันที่ดาวน์แล้วมีคนมาบอกว่าสู้ๆนะยิ้มให้มันเป็นเรื่องใหญ่สำคัญ มันเกิดได้กับทุกคน มันคือแมสเสจพลังขับเคลื่อนโดยรวม ไม่ว่าจะเป็นแม่กับลูก เพื่อน แฟน แฟนเพลง ทุกคนต้องมีโมเมนต์นี้ แล้วผมว่ามันเข้ากับปลายปีด้วย เทศกาลส่งรอยยิ้มให้กันวันความสุข”
@ กับเพลงอื่นๆในอัลบั้มที่บอกว่าถ้าปล่อยออกมาจะตกใจ?
“จะมีโทนที่สนุกขึ้น มีบางคำที่ไม่เคยร้อง ก็ได้ร้อง เราใช้เวลามูบออกจากเปียโนจนถึงชุดนี้ก็ขยับออกมาอีก มันทำให้โชว์สนุกสนานขึ้น เซนเตอร์อยู่ที่ตัวเรา เราจะเล่นเปียโนก็ได้ไม่เล่นก็ได้ เราจะเดินร้อง จะเต้นนิดหน่อยก็ได้”
@ จากวันที่มีเปียโนอยู่ข้างๆตลอด จนวันที่ต้องออกมาอยู่ข้างนอก จะกลมกล่อมกับคนดูได้ยังไง?
“กลมกล่อมกว่าอีก ผมรู้สึกว่าควรเป็นแบบนี้ตั้งนานแล้ว มีเครื่องดนตรีก็ดีนะแต่มันก็เป็นกำแพงระยะห่างระหว่างเรากับคนดู เดี๋ยวนี้กลายเป็นดีเวลาผมไปเล่นทุกครั้ง มันมีซีนที่เราอยากลงไปเจอเขา มันคือความสนุกสนานใกล้ชิดมากกว่า มันอยู่ที่ทัศนคติเวลาเราเล่นด้วย เมื่อก่อนพอเราคิดว่าเราเป็นนักดนตรี เราต้องทำหน้าที่ของเราให้ดี ต้องโชว์ ต้องเล่นให้ดี ต้องร้องพูดทุกอย่างให้เป๊ะ แต่พอสุดท้ายแล้ว ค่อยเปลี่ยนปลดล็อกตัวเองไปเรื่อยๆ ฝีมือความเป๊ะมันสำคัญแต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือความสุขของแฟนเพลงที่มาดู เพราะเขามาดูเราเขาอยากมีความสุข หน้าที่ของเราคือให้ความสุข อยากใช้เปียโน อยากเต้น อยากทำอะไรก็ได้ แต่สุดท้ายเราเป้าหมายคนฟังต้องมีความสุข มันเลยเป็นจุดเปลี่ยนของผมเลย หมุนเราตั้งแต่นักดนตรีจนมาเป็นศิลปินเอนเตอร์เทนเนอร์มากขึ้น ไม่ได้โฟกัสว่าต้องเล่นเปียโนอย่างเดียวแล้ว แต่ในอัลบั้มนี้ก็ยังมีเปียโนอยู่ครับ มันก็จะมีในเพลงที่เราแต่งว่าจะมีเปียโนก็มี บางเพลงไม่มีก็ไม่มีเลย เพลงยิ้มก็พอก็มี มีอยู่ประมาณ3โน้ต แล้วก็เปลี่ยนเป็นเสียงอื่นบ้าง”
@ เปลี่ยนเยอะแต่มีความสุข?
“มีความสุขครับ ผมรู้สึกว่าตอนนี้คืออะไรก็ได้แล้วที่เอนจอย มีความสุข มีหน้าที่ให้ เพลงนี้ค่อนข้างชัดเจนสุดแล้วในการฟีเจอริ่งแบบเต็มตัวออฟฟิเชียล ก่อนหน้านี้ตลอดการทำงานสิบกว่าปี ผมไม่เคยร้องฟีเจอริ่งอะไรกับใครเลย นี่เป็นครั้งแรกครับ ปลดล็อกหลายอย่าง ข้อชาเลนจ์หนึ่งที่เราโตขึ้นมาแล้วเป็นรุ่นพี่ เราต้องเข้าใจว่ารุ่นน้องเขาทำอะไรกันอยู่ เราจะดึงเขาให้มาทำเหมือนเราไม่ได้หรอก เพราะเขาโตมาอีกแบบเขาฟังมาอีกแบบ เราจะทำยังไงให้เข้ากันได้โดยที่เราไม่ทิ้งตัวตนเรา ตามเทรนด์ว่าปีนี้เขาฮิตอะไรแล้วมาผสมกัน”
@ ทำงานร่วมกับศิลปินคนละเจเนอเรชั่น เป็นยังไงบ้าง?
“ผมว่าต้องเลือกคนที่เคมีตรงกันด้วย อีกอย่างแต่ละคนต้องอย่ามาเต็มแก้ว มาเติมเต็มกัน แล้วต้องเข้าใจว่าเขาคิดอะไร ซึ่งเฟรมเป็นคนเขียนแร็ปเองเลย เขาก็ฟังเพลงเรารู้ว่าเป็นสไตล์รักๆ สายซอฟต์ๆอยู่แล้ว”
@ คาดหวังกระแสตอบรับยังไงบ้าง?
“เอาจริงๆตอบแบบไม่ติสท์นะ ผมมีความสุขแล้วที่ได้ปล่อยเพลงนี้ คนชิงมีความสุขก่อนชนะ คือผมมีความสุขแล้วที่ได้ทำ เราโชคดีเราเป็นศิลปินแล้วเดินทางมาถึงตรงนี้ ได้ทำเพลงในความหมายที่ยังเป็นวัยรุ่นอยู่ ยังเป็นเพลงในยุคนี้อยู่ เรายังเป็นศิลปินยุคนี้อยู่และเราก็ได้ทำในสิ่งที่อยากทำ มันก็ใหม่สำหรับเรา ผมรู้สึกว่าทุกวันนี้คนก็ยังให้ความสนใจเราในมุมใหม่ๆอยู่ มันเหมือนกับเป็นนิวอาร์สทิส โต๋เวอร์ชั่นก่อนคนก็จะรู้จักอีกแบบหนึ่ง แล้วพอมา2-3ปีหลัง คนก็จะรู้จักว่าโต๋เป็นเวอร์ชั่นนี้หรอ เหมือนกับเรารีแบรนด์เราสำเร็จ ว่าผมเป็นคนแบบนี้นะมันเลยเป็นการตอกย้ำ แค่ได้ทำตรงนี้ออกมา ผมมีความสุขแล้ว ศิลปินทุกคนคงมีความคาดหวังนิดๆหน่อยๆ อยากให้มันดี หน้าที่เราคือมีหน้าที่ให้เหมือนเพลง แค่เราทำไว้ก่อน ขึ้นเวทีไปเรามีหน้าที่ให้ไปหมดก่อนเลย ให้หมดแล้ว ฉันมีความสุขแล้ว ฉันโอเคเลย ผมว่านั่นคือแนวคิดของผมในครั้งนี้ที่ขึ้นเวทีรวมถึงเวลาทำงาน เราทำเต็มที่เราแฮปปี้แล้วชิงมีความสุขก่อน”
@ แฟนคลับเราพอรู้ว่ามีอะไรใหม่ๆเสิร์ฟมา เขาพูดถึงว่ายังไงบ้าง?
“มันเป็นข้อดีนะ แฟนคลับแฟนเพลงผมเขาจะบอกว่า พี่โต๋จะปล่อยอัลบั้มออกมาต้องมีให้ลุ้นตลอดเลย คือลุ้นมาตั้งแต่ รักเธอ, จนมา มั้ง เรียงมาถ้าจำได้ อยู่ดีๆก็เป็นเพลงเร็วมาเลย จนมาถึงยุคที่อยู่ดีๆก็ไปเป็นร็อค มันจะมีความลุ้นอยู่ในแต่ละอัน จนมาชุดนี้มีแร็ปด้วย ผมว่าในความตกใจของเขามันคือข้อดีสำหรับผมนะ ถ้าปล่อยไปแล้วเขาบอกว่าเหมือนเดิมเลย อันนี้น่าหวั่น น่ากังวลมากกว่าอีก พอมีลุ้นมันสร้างความตื่นเต้นว่าเราทำอะไร และผมก็มองถึงคนใหม่ๆด้วยที่รู้จักแต่อาจจะยังไม่เคยฟังเพลงเรา เมื่อก่อนรู้จักจางๆพอตอนนี้รู้จักตัวตนเรามากขึ้น เพลงเราก็ต้องตามไปเสริมด้วย”
@ ฝากเพลงนี้ ยิ้มก็พอ กับอัลบั้มใหม่?
“เวลาเราทำอะไรถ้าเราหามุมบวก หาความสุขในสิ่งที่เราทำไว้ก่อน ผมว่าเราชนะก่อนเลย ถ้าเกิดเราชอบตั้งความสุขเราไว้ที่ความสำเร็จ ตั้งเป้าหมายว่าฉันต้องทำเท่านี้ ฉันถึงจะมีความสุข แต่ผมว่าถ้าเราสลับกันว่า เรามีความสุขก่อน หลังจากนั้นไม่ว่าคุณจะทำอะไรก็ตาม ไม่ว่าคุณจะตั้งเป้าไว้ 10 แล้วได้แค่ 8 หรือ 5 คุณมีความสุขไปแล้ว มันจะดีของมันเอง มีความสุขของมันเอง ผมว่านี่คือข้อคิดของผมในการใช้ชีวิต ส่งผลในการทำงานชุดนี้ด้วย มันสบาย รู้สึกว่าลองอะไรได้หมด แค่ได้ให้ออกไป การที่เราได้ทำให้ดีที่สุด มันก็พอแล้ว หวังว่าจะมีความสุขกับอัลบั้มนี้นะครับ การเป็นผู้ให้มีความสุขกับผู้รับ ผมว่าพูดถึงมุมบวกในชีวิต”
@ มาถามถึงงานละครครั้งแรกกับเรื่อง "นางสาวไม่จำกัดนามสกุล" หน่อย
“งานละครสนุกมาก ติดใจมากด้วย เรื่องแรกเลย "นางสาวไม่จำกัดนามสกุล" ในเรื่องมีพระเอกมี 4 คน เราเล่นแค่หนึ่งส่วนสี่ของเรื่อง ยังกินเวลาเยอะเหมือนกัน เพราะเราต้องแบ่งให้ดีๆกับงานเพลง แค่ได้ไปลองงานแสดงแค่นี้ ผมว่าสนุกสนานและมีความสุขมาก ยังรู้สึกว่าน่าจะเล่นตั้งนานแล้ว (ยิ้ม) มันได้เป็นอีกคนหนึ่ง เราได้ทำในสิ่งที่ไม่เคยทำ ในเรื่องผมเล่นเป็นซูปเปอร์สตาร์ที่ดื้อ ด่าผู้จัดการ ด่าค่าย โวยวายตลอด ผมไม่ชอบเลยที่ทำไมฉันเป็นซูปเปอร์สตาร์แล้วเลือกเองไม่ได้ ทำไมค่ายต้องทำแบบนี้ คบกับใครแฟนคลับก็ว่า จนมาเจอผู้หญิงคนหนึ่ง มันสนุกดี มันตื่นเต้น แล้วมันก็ใกล้เคียงกับเราในมุมหนึ่งนิดหนึ่ง เราเข้าใจความรู้สึกด้วยแหละเลยสนุกสนานมาก พอละครออกคนจะเห็นเราอีกมุมหนึ่งมากขึ้น เวลาเล่นกับใหม่ (ดาวิกา โฮร์เน่) จะมีมุมจีบนางเอก มุมล้อเล่นกับนางเอกบ้าง เป็นมุมที่คนไม่เคยเห็น ตอนนี้ก็มีหลายเรื่องอื่นๆ ที่ติดต่อเข้ามา แต่ต้องขอดูรายละเอียดหลายๆ อย่างก่อน สุดท้ายเราเป็นศิลปิน มันต้องแบ่งเวลาดีๆ เพราะมันกินเวลาเยอะมาก ก็เลยต้องดูหลายอย่างแค่นั้นเอง”
@ ทำไมถึงตัดสินใจเล่นเรื่องนี้แบบเต็มตัว?
“ตอนจบละครเวที ลมหายใจเดอะมิวสิคัล ก็รู้สึกปลดล็อก รู้สึกสนุกสนานแล้ว แล้วตอนนั้นก็มีซีรีส์ติดต่อให้เล่น ผมรู้สึกใจเย็นๆ อยู่ แล้วพี่บอย (ถกลเกียรติ วีรวรรณ) ก็บอกว่าโต๋ใจเย็นๆก่อน พี่บอยบอกว่าโต๋ต้องเล่นบทที่มันต้องเป็นเพื่อเรา อย่าเพิ่งนะ เก็บไว้ก่อน เราก็ไม่ได้รีบร้อน ก็ทำเพลงของเราไปเรื่อยๆ จนมาเรื่องนี้พี่บอยให้ผู้ช่วยโทรมาบอกว่า บทนี้เขียนมาเพื่อโต๋เลย บทนี้ต้องเป็นโต๋เลย เขียนมาเพื่ออยากให้โต๋เล่น ผมบอกว่าได้เลยครับ พออ่านบทก็ชอบเลย ตกลงเล่นเลย เรื่องนี้สนุกมากตรงที่ นางสาวไม่จำกัดนามสกุล เป็นรีเมคที่พระเอกมี 4 คนก็จริง แต่เขาทำให้มันเข้ากับสมัยนี้หมดเลย มีไฮโซ ศิลปินซูปเปอร์สตาร์ ฟิตเนสเทรนเนอร์ อะไรที่มันอยู่ในยุคนี้ ยุคก่อนเท่าที่จำได้จะมีจิตรกร แต่เรื่องนี้จะเป็นซูปเปอร์สตาร์ในยุคนี้ เราโชคดีได้ทำงานกับทีมงานนักแสดงที่เก่ง เราเลยตื่นเต้น”
@ ได้สร้างประสบการณ์แปลกใหม่?
“สนุกมาก ผู้กำกับฯก็น่ารัก ผกก.กับใหม่ ชอบมาแซวผม ฉันเพิ่งรู้ว่าที่จริงเธอเป็นแบบนี้ แล้วเมื่อก่อนเขาเห็นผมเป็นคนยังไง เขาว่าผมเคยเรียบร้อยกว่านี้ ทำไมทุกคนชอบคิดแบบนี้ รอดูครับ ผมว่าสนุกมาก”
@ เป็นช่วงงานเริ่ดแล้วรักล่ะเป็นไง อย่าง "ไบร์ท" พิชญทัฬน์ จันทร์พุฒ (ผู้ประกาศข่าวช่อง 3) เขามีคอมเม้นท์ในงานเรายังไงบ้าง อย่างเรื่องเพลง
“ไบรท์บอกว่าฟังรู้เรื่องอยู่เพลงเดียว (หัวเราะ) ไบรท์ชอบเพลงนี้ เขาฝึกแร็ปอยู่ ผมบอกให้ฝึกแร็ปก่อน มันมีหลายแบบตั้งแต่ร้องเพลงมาแล้ว ที่เล่นก๊อปเสียง ต่อไปต้องแร็ปแล้ว อย่าทำให้ผิดหวัง”
@ ความรักแฮปปี้ดี?
“แฮปปี้ดี เหมือนเดิม ทำงานหนักทั้งคู่ ถามว่าเพื่อสร้างอนาคตร่วมกันมั้ย มันอยู่ที่ท็อปสุดของสายอาชีพของแต่ละคู่อยู่แล้วครับ ทุกคนอยู่เวทีใหญ่ที่สุดของสายงานของตัวเอง ต้องให้เวลากับตรงนี้ก่อน มันก็มีเวลาของมันแหละทุกอย่างในชีวิต ทุกคนในวัยนี้ก็มีแพลนของมันเองถ้าถึงเวลานั้น รอฟังเขาแร็ปก่อน”
ตัวตนมุมใหม่ของ “โต๋” ศักดิ์สิทธิ์