บันเทิง

'วิชาตัวเบา' ความปล่อยวาง ของวง 'บอดี้สแลม' 

'วิชาตัวเบา' ความปล่อยวาง ของวง 'บอดี้สแลม' 

15 ม.ค. 2562

วง "บอดี้สแลม (Bodyslam)" บอกเล่าเรื่องราวกว่าจะมาเป็นอัลบั้ม "วิชาตัวเบา" อีกหนึ่งบันทึกความทรงจำของวง          


    ทีมบันเทิงคมชัดลึก - เรียกว่าเป็นการกลับมาทำอัลบั้มเต็มในรอบ 4 ปีได้สมการรอคอยของแฟนๆ จริงๆ สำหรับวง “บอดี้สแลม (Bodyslam)” ที่มีสมาชิกประกอบด้วย “ตูน” อาทิวราห์ คงมาลัย “ชัช” สุชัฒติ จั่นอี๊ด “ยอด” ธนชัย ตันตระกูล “ปิ๊ด” ธนดล ช้างเสวก และ โอม เปล่งขำ กับอัลบั้ม “วิชาตัวเบา” โดยอัลบั้มนี้กำลังจะวางแผงในปลายเดือนมกราคมนี้ วงบอดี้สแลมบอกเล่าถึงอัลบั้มนี้ให้ฟังว่า 
 

          ตูน : อัลบั้มเราจะวางช่วงเดือน มกราคม สำหรับตัวอัลบั้มเราเริ่มทำมาได้ สัก2 ปีแล้ว ส่วนใหญ่วงเราจะหยุดทัวร์คอนเสิร์ตเพื่อทำอัลบั้ม แต่ว่าอัลบั้ม นี่เราตั้งใจว่าเราอยากทำเพลงไปด้วย และทัวร์ไปด้วย เผื่อจะเกิดขึ้นใหม่ๆ นั่นก็คือเราจะได้ทำงานในรูปแบบใหม่ จึงได้บางเพลงขณะที่เราออกไปทัวร์ จนเป็นเวลา 2 ปี ที่เราทำกันจวนจะเสร็จแล้ว


วางคอนเซปต์อัลบั้มไว้อย่างไร เพราะอันนี้เราทัวร์ไปด้วย ทำอัลบั้มไปด้วย
          ตูน : เราอยากเปลี่ยนรูปแบบเฉยๆ อย่างอัลบั้ม ดัม มะชาติ เราหยุด 1 ปีเลย จนเสร็จทุกอย่าง แต่งเพลง ทำเดโม่ เรารู้สึกว่ามันเหงา บางวันก็ไปทำเพลงที่บ้านผมบางวันก็ไม่ค่อยได้อะไร เรารู้สึกว่า 1 ปีมันยาวไป เราเลยลองออกแบบดีไซน์ใหม่ ในการทัวร์ไปด้วย และทำอัลบั้มไปด้วย


วิธีการนี้ดีไหม
          ปิ๊ด : ผมว่าทุกวิธีการดีหมดเลยนะ อย่างตอนที่หยุดไปปีหนึ่งที่ผ่านมา เราก็ได้โฟกัสอัลบั้มแบบจริงๆ ตอนที่หยุด1ปี คอนเซปที่ตูนบอกเราก็คืออยากให้อัลบั้มนี้เป็นมาสเตอร์พีช ก็เลยคิดว่านาจะหยุด1ปี เพื่อไปทุ่มเทกับอัลบั้มจริงๆ แต่พอลองแล้ววิธีนี้แล้ว ทุกอย่างมันดีหมดนะครับ แต่ว่ามันอาจจะเหงาไปหน่อย เราก็เลยมาลองวิธีนี้ ซึ่งมันก็ทำงานมาแล้วสนุกเหมือนกัน


          โอม : นอกเหนือจากที่เราทัวร์ไปด้วย ทำงานไปด้วยวิธีทำงานเราก็เปลี่ยนบรรยากาศในการอัดเสียงด้วย ใช้บ้านตูนเป็นห้องอัดเลย เปลี่ยนบรรยากาศทุกอย่าง เราได้ความผ่อนคลายกว่าที่เราทำในห้องอัด เจอกำแพงเดิมๆ อัลบั้มนี้เราคิดงานและอัดมาสเตอร์ที่โรงรถบ้านตูนเลย เวลาเราเบื่อๆเราก็ไปนั่งเล่นกับหมาบ้านตูน ก็ผ่อนคลายขึ้นเยอะ

          ตูน : มันถึงชื่อวิชาตัวเบาไงครับ เรารู้สึกว่าเราทำมา 6 อัลบั้มแล้ว เราทำทุกวิธีการเท่าที่เราจะทำได้แล้ว ใน10 กว่าปี อัลบั้มนี้่เลยน่าจะมีวิธีการทำงานแบบนี้ ผ่อนคลายขึ้น ในแง่ของการทำงาน และทำงานที่อาจจะสะท้อน ในแต่ละสิ่งที่เรารู้สึก เรารู้สึกว่าเรามีความสุขมาก


การที่ทัวร์และทำงานไปด้วยก็เปลี่ยนวิธีการทำงาน และเปลี่ยนเพลงที่ทำไปเรื่อยๆ
          ยอด : ก็อยู่กับที่ก็มีสมาธิในการทำงานมากขึ้น แต่ว่าพอเราออกไปทัวร์ มันก็มีเรื่องอื่นให้คิดนิดนึง แต่ถ้าให้เลือกก็ชอบแบบทัวร์ไปด้วยนะ


          ชัช : ถามว่ามันหนักขึ้นกว่าเดิมไหมเพราะต้องทำพร้อมกัน สำหรับผมนะ พวกเราวางแผนกัน เราไม่ได้รับงานในอัตราความถี่ปกติ เราล็อกวันเอาไว้ เรารับแค่ ศุกร์ เสาร์ อาทิตย์ เพราะฉะนั้นวันที่เหลือ เรามีเวลาทำงานที่โรงรถบ้านตูนอย่างเต็มที่ ด้วยการวางแผนแบบนี้มันทำให้เราแยกกันชัดเจนขึ้น ไม่ได้รู้สึกหนักอะไรมากมาย


          ตูน : เราเต็มที่กับทุกเพลง และทุกงานที่เราทำอยู่แล้ว เราก็หวังใจว่า ผลงานนี้มันจะเป็นมาสเตอร์พีชของเรา เราก็คิดว่ามันเป็นสามเตอร์พีชของเรานะ แต่สำหรับคนอื่นเราก็ปล่อยให้เขาได้ให้คะแนนเรา แต่ทุกอัลบั้มที่เราทำ เราก็เต็มที่กับมัน

 

\'วิชาตัวเบา\' ความปล่อยวาง ของวง \'บอดี้สแลม\' 

 

พัฒนาการที่เห็นชัดที่สุดในอัลบั้มนี้
          ตูน : พัฒนาการทางด้านวัยวุฒิ คือเราเต็มที่กับทุกอัลบั้ม แต่ว่าอัลบั้มนี้เราได้เห็น ตัวเองมากขึ้น เราได้เห็นวงดนตรีมากขึ้น เราได้เห็นชีวิตมากขึ้น เราได้เห็นแง่มุมต่างๆที่เราไม่เคยได้เห็นใน 10 กว่าปีที่ผ่านมา เรารู้สึกว่ามันพัฒนาในแง่ของการเป็นคน ในแง่ของความเป็นนักดนตรี นักร้อง มันไม่ใช่แค่เราจดจ่อกับการทำอัลบั้มดีๆแล้วลืมมองคนที่อยู่ข้างๆเรา ผมว่าอัลบั้มนี้มีชีวิตอีกแบบที่สดใสร่าเริง


ถามถึงเนื้อเพลง ในชื่ออัลบั้ม วิชาตัวเบา เนื้อเพลงจะเป็นอย่างไร จะเบาไหม
          ตูน : มันไม่ใช่ตัวเนื้อเพลงนะ มันไม่ได้สะท้อนมาในเนื้อเพลงว่าฉันรู้สึกอะไร มันเป็นบอดี้สแลมในแบบป็อปร็อกในแบบที่ทุกคนคุ้นเคย มีทั้งเพลง หนักบ้าง เบาบ้าง พูดเรื่องชีวิตเข้มข้นบ้าง เรื่องความฝันยังมีอยู่ แต่ว่ามันเบาในแง่ของ การทำงาน มิติของความคาดหวัง วิธีการต่างๆ แต่ว่าบางเพลงมันสะท้อนความเบาลงไปบ้างไม่มากก็น้อย อยากให้ทุกคนฟัง

          ปิ๊ด : วันแรกที่เรามีเซ็ตเครื่องที่โรงรถตูน ตูนก็พูดว่าอัลบั้มนี้อยากให้เพลงเราป็อปๆ เพราะที่สุด เบาๆ สบาย เราก็ทำกันแบบเบาๆ แล้วพี่ออฟ โปรดิวเซอร์ก็แก้เพลงเรา จากที่มันเบามันก็หนักขึ้น แต่ว่าอัลบั้มนี้มันเบาตรงวิธีการทำงาน มันเบาสบายไม่ต้องเครียดอะไรมาก แต่ว่าทางด้านดนตรีอัลบั้มนี้มันหนักมากนะ เข้มข้นมาก

          โอม :  นั้นคือการสะท้อนเซกเนเจอร์ของพวกเรา ในการทำดนตรี ก็มีความเข้มข้นในตัวเอง แต่ว่าเราเบาเรื่องของความคิด และความคาดหวัง


ในการทำเพลง ถกเถียงกันขนาดไหน
          ตูน : มันมีวิธีการเป็นขั้นตอนอยู่แล้ว เราทำกันมา 6-7 อัลบั้ม เรารู้อยู่แล้วว่าใครมีหน้าที่อะไร จุดเริ่มต้น จุดจบระหว่างทาง จุดสำเร็จคืออะไร ทุกคนก็จะรอรับไม้ต่อจากกันและกัน เหมือนวิ่งผัด ส่งไม้ต่อกัน มันก็มีปัญหาระหว่างทาง ที่มีความชอบไม่เหมือกนั แต่ว่าสุดท้ายแล้ว มันจะถูกเลือกถูกคิดด้วยธรรมชาติของมันเอง เราโชคดีที่เรามีโปรดิวเซอร์และและทีมที่ช่วยทำเนื้อเพลง มันช่วยกันต่อยอดให้แต่ละเพลงมันไปสู่จุดหมายปลายทางของมันได้ แน่นอนทุกเพลงทุกการทำงานมีปัญหาแต่ว่าเมื่อเรามีเป้าหมายว่า เราจะเอาสิ่งที่ดีที่สุด และเปิดรับความคิดเห็นกันมันก็ไปของมันได้


แล้วอัลบั้มนี้โปรดิวเซอร์ไกด์เราอย่างไร
          ตูน : ผมมองว่าเขารู้แล้วหละว่าเราเป็นแบบไหน พี่ออฟ (พูนศักดิ์ จตุระบุล) ทำโปรดิวให้เราตั้งแต่อัลบั้มแรก 2545 เขาก็ศึกษาเรารู้เขารู้เรามาตลอด ว่าทำงานกับเราต้องทำแบบไหน จริงๆถือเป็นโชคดีของเราที่ได้ทำงานด้วยกันมาทุกอัลบั้ม สำหรับพวกเราทุกอัลบั้มมันดีขึ้น ทุกแง่มุมที่เรารู้สึก ไม่ว่าจะเรื่องตัวเอง โชว์บนเวที ทัวร์อัลบั้มเอง พี่ออฟเองเขาก็มีพัฒนาการไปพร้อมๆกับเรา โชคดี ถ้าไม่มีพี่ออฟไม่สามารถเป็นบอดี้สแลมได้เลย

          ปิ๊ด : พี่ออฟเหมือนเป็นพี่ชาย ใช้ชีวิตด้วยกัน รู้เรื่องของดนตรี งาน และนิสัยของพวกเรา เขาเก่งมากในการเค้นเอาความสามารถเฉพาะของบุคคลออกมา คนอื่นอาจไม่สามารถเค้นพวกเราเท่ากับพี่ออฟได้

\'วิชาตัวเบา\' ความปล่อยวาง ของวง \'บอดี้สแลม\' 

ทำงานมา เป็น10 การหาอะไรใหม่ๆยากไหม มันจะซ้ำเดิมหรือเปล่า
    ตูน : จริงๆแล้วบอดี้สแลมมีจุดยึดโยงของอัลบั้มคือ สนุกกับมัน และมีความสุขกับมันและเล่าเรื่องจริง ที่มันเกิดขึ้น ผมเชื่อว่าพอเรา สนุกกับมัน ร้องอะไรที่เรารู้สึกกับมันจริงๆในแต่ละช่วงของชีวิต เราจะไม่หมดเรื่องที่เราจะเล่า เราต้องสนุกกับมันก่อน เราจะไม่เอาอะไรที่ทุกคนฮิตหรือว่าชอบกัน มาจำกัดตัวเองว่าเราเป็นแบบนั้นแบบนี้ จะอ้างอิงจากตัวเอง คือบอดี้สแลมมันก็เหมือน ไดอารี่ของกลุ่มคนกลุ่มหนึ่ง อัลบั้มแรกเราอายุ 20 ต้น เราก็พูดคุยเรื่องคนวัยนั้นพูดกัน เรื่องผู้หญิง ความรัก ความคิดถึง ทุกคนพลังเยอะมาก มันถูกบันทึกไว้ในงานเพลง มันเป็นเรื่องจริง อัลบั้มที่ 2 ก็เข้มข้นขึ้น พอมาถึงอัลบั้มที่6 เราโตขึ้น 30 ปลาย มันก็มีมุมที่เรา รู้สึกว่าเรื่องความรักเราอยากพูดให้มันน้อยลง พูดในแง่มุมที่เรารู้สึกจริงๆในช่วงเวลานั้น มันอาจไม่ได้หวานเหมือนตอนอายุ 20 แน่นอน แต่มันดีตรงที่มันจริง ตรงที่เราสามารถย้อนกลับไปฟังแล้วก็ เราได้เห็นตัวเองในช่วงนั้นจริงๆ ว่าเรา เป็นเด็กคนหนึ่งที่ยังซนอยู่เลย จนอัลบั้มที่ 6 เราก็ย้อนไปดูตัวเองเมื่อ 4-5 ปีที่แล้ว เราตึงขนาดนั้นเลย เราออกไปนอกโลกขนาดนั้นเลย แต่ว่าเรามีความสุขที่เราได้ทำอะไรที่มันจริง ซื่อสัตย์กับตัวเอง แทนที่จะทำแค่เพลงฮิตอย่างเดียว


เรียกว่าบันทึกชีวิตของเราทุกคนไว้
    ตูน : จะพูดแบบนั้นก็ได้นะครับ เรื่องดนตรีทุกคนก็มีพัฒนาการที่ดีขึ้น มันก็ถูกบันทึกระหว่างที่ทัวร์เราได้เห็นแง่มุมไหนน่าสนใจแล้วนำมา ใส่ในอัลบั้มบ้าง


    ยอด : ส่วนมากจะเป็นช่วงเวลาก่อนที่เราจะทดลองเสียง เราได้มาแจมกัน ตูนจะมีของมาเยอะ เราก็แจมๆกัน มันเหมือนเวลาเราไปทัวร์แล้วไฟมันติด เครื่องมันร้อน เราก็คิดอะไรได้เยอะขึ้น


    ตูน : บนเวทีตอนซาวน์เช็คเราก็เล่นอะไรที่มันสนุกๆ เราก็ไม่ได้เล่นเพลงธรรมดา เราก็มั่วๆไป ผมจะสะพายกีตาร์แล้วเล่นอยู่คนเดียว ตอนอุุ่นเครื่องจะแอบอัดไว้ รายะเอียดจากเพลงต่างๆมันเกิดจากตอนอุ่นเครื่องนะ ผมเคยแอบอัดพี่ชัชตอนซนๆไว้ แล้วบอกว่ามันดี ให้เขามานั่งแกะที่เขาเล่นไปแล้ว แล้วเอามาทำเพลง มันจะเกิดจากอุบัติเหตุเล็กๆน้อยๆ อินโทรเพลงเรือเล็กควรออกจากฝั่ง หรือแม้จากท่อนเพลง เสียงลมคำราม นี่เราก็มาจากอุบัติเหตุนี้ ถ้าเราสังเกตุดีๆ สิ่้งดีๆ เพลงดีๆมันซ่อนอยู่ อยู่ที่เราจะเก็บมันมาได้ ระหว่างทาง มันเป็นอารมณ์สดที่เราถ่ายทอดออกมา


มาถึงอัลบั้มที่ 7 แล้ว มีเรื่องอะไรที่ยังคิดว่าไม่เพอร์เฟกต์
    ตูน : เยอะแยะไปหมดเลย มันก็เป็นระหว่างที่เราจะไปถึงอัลบั้มต่อๆไป ช่วงเวลาที่เราทำมัน เราใส่สุดเลยนะ แต่ว่าเราไม่มีทางเปรียบงานใหม่กับงานเก่า มันไม่แฟร์อยู่แล้ว เพราะว่าคนที่ทำมันก็มีประสบการณ์มากขึ้น มีเรื่องราวที่เก็บตกระหว่างทางมาเรียนรู้และแก้ไขมากขึ้น อัลบั้ม3ย่อมดีกว่า 1 สุดท้ายเราเต็มที่กับมัน เราเรียนรู้จากสิ่งที่ผ่านมา เราก็ทำทุกอย่างเต็มที่ ไม่อะไรน่าเสียใจในทุกอย่างที่ทำไป
 

วันนี้เรามั่นใจในอัลบั้มนี้ จนไม่อยากกลับไปแก้ไขอะไรแล้วใช่ไหม
    ตูน : ไม่เลย เราอยากแต่งเพลงเพิ่ม เรามี11เพลง ในอัลบั้มเต็ม เราอยากแต่งเพิ่มแต่ว่าค่ายไม่ให้แล้ว อย่างเรามี11 เพลงเพราะว่าไม่รู้จะตัดเพลงไหนออก ตัดไปก็เสียดายเลยขอค่าย
 

ระหว่างทางในการทำงานมีกราฟตกไหม
    ปิ๊ด : มันก็มีเหมือนเล่นกีฬา ที่เราเหนื่อยกันแล้วเราก็มองหน้ากัน ทางแก้คือไม่คิดงาน เล่นดนตรีสนุกๆกันไป คุยเรื่องอื่นไป พี่ชัชจะเป็นคนสร้างความสนุกสนาน บางวันพี่ชัชมาบางวันก็ได้งาน โชคดีที่ตูนทำการบ้านเรื่องการเริ่มต้นมาค่อนข้างเยอะมันก็ต่อกันไปได้


    ชัช : ก็มีหมดนะ ตอนแรกผมเป็นแล้วเหมือนเป็นโรคติดต่อ คนอื่นเริ่มเป็น อันนี้มันก็ต้องอยู่กับตัวเอง มันคุยกับใครไม่ได้ อันนี้ความคิดผมนะ มันไม่มีมาตอบว่าเราจะต้องทำอย่างไร มันอยู่ที่สามัญสำนักตัวเองว่าเราควรจะทำอย่างไรต่อดี
 

 

\'วิชาตัวเบา\' ความปล่อยวาง ของวง \'บอดี้สแลม\' 

 

     ปัจจัยภายนอกของการเพลงเกี่ยวไหมกับการที่ทำให้เรารู้สึก
    โอม : การทำอัลบั้ม ระหว่างทางมันก็มีปัญหาต่างๆนานา ทุกอัลบั้มเลยนะ ด้วยความที่การทำอัลบั้มหนึ่ง มันใช้เวลานาน มันก็ค่อนข้างจะมีปัญหา เข้ามาเรื่อยๆ มันก็สามารถทำให้เราเหนื่อยหรือล้า การทำอัลบั้มหนึ่งใช้เวลาเยอะและค่อนข้างหนักหนาพอสมควร อย่างน้อยก็ต้องมีล้าบ้างไม่กายก็ใจ ผมว่ามันเป็นเรื่องธรรมดา ปกติ สุดท้ายแล้วเมื่อมาสเตอร์มันเสร็จ หรือว่ามันเห็นงานเป็นรูปร่างแล้ว ความรู้สึกเหล่านี้มันจะหมดไป มันจะรู้สึกฮึดว่าอยากทำให้มันเสร็จแล้วพอทุกอย่างเสร็จทุกคนจะแฮปปี้มาก เหมือนเข้าเส้นชัย กระบวนการที่ผ่านมามักเป็นแบบนี้
     เรื่องของดาวน์โหลดและรายได้วงการเพลงมีผลต่อเราไหม หรือแม้กับคนฟังเพลงเองมีผลไหม
    ตูน : ตอบได้เลยว่าตรงนี้ไม่มีผล กับสิ่งที่มันเกิดกับพวกเราว่า เราเหนื่อยเราท้อมันไม่ได้เกิดจากปัจจัยนั้น การที่เราบางคราวที่เราเหนื่อยเราอ่อนล้า เราอยากหยุดพักไปทำอย่างอื่น ผมว่ามันเกิดกับทุกอาชีพนะ ผมฝันว่าอยากเป็นนักร้อง แต่พอความฝันมันกลายเป็นงานประจำ เราจะรับมือกับมันอย่างไร เราต้องตอบตัวเองให้ได้ว่าสุดท้ายแล้วมันจะเป็นอย่างไร อย่างการเป็นนักร้องคือสิ่งที่เราสนุกที่สุด ทำได้ดีที่สุดในชีวิตแล้ว แล้วถ้าเรามีปัญหากับมันเราท้อ เราอยากเลิก แล้วเลิกไปจริง กับสิ่งที่เราทำมันได้ดีที่สุดในชีวิตแล้วเราดันเลิกไปจริงๆ มันทนมัน แล้วกับสิ่งที่เราทำได้ดีเป็นอันดับรองลงมา เราจะทนกับมันได้หรือ คือทุกอย่างมันมีปัญหาอยู่แล้ว แต่ว่าคิดว่าจงอยู่กับสิ่งที่เราทำได้ดีที่สุด แล้วเรามีความสุขที่สุด
    ปิ๊ด : ในระหว่างที่ทำอัลบั้มนี้ ผมกับพี่ชัชทะเลาะกันแรงมาก พี่ชัชมีปัญหาส่วนตัว แล้วเราก็เป็นคนบ้าบอ เครียด ทุกอย่างต้องเป๊ะ เราก็เริ่มไม่พอใจ เราก็ทะเลาะกันแรง แต่ว่าสิ่งที่ดีที่สุดในอัลบั้มนี้คือ เราได้ทำงานที่บ้าน สิ่งที่มันเกิดขึ้นโดยที่มันไม่เคยเกิดขึ้น คือความที่เราเป็นครอบครัวเดียวกัน ความที่เราเป็นเพื่อนกัน มาบ้านตูน มาเจอกัน เมื่อก่อนเรามาที่ตึกแกรมมี่มันเหมือนเรามาออฟฟิต มันกดดัน แต่ว่าทำที่บ้านตูนก็เหนื่อยแล้วก็พัก ครั้งนั้นผมคิดว่าจะทะเลาะกับพี่ชัชครั้งนั้นครั้งเดียว แล้วมันก็เป็นจริง เราพูดครั้งนั้นครั้งเดียวแล้วหลังจากนั้นเราก็ไม่เคยไม่พอใจ เขาอีกเลย แล้วเราก็ไม่เคยบ้าบอกับเพื่อนอีก นี่คือข้อดีของการทำอัลบั้มที่บ้านมันมีความเข้าใจและความรู้สึกของกันและกัน
    ตูน : การทำงานที่บ้าน คือการหามิติใหม่ในการ ทำงาน เพื่อลดทอนปัญหาที่เราจะไปสู่จุดเดือดได้ อย่างเวลาที่เราออกมาที่ห้องอัดแกรมมี่ซ้ำๆ มันเหมือนเดิม แล้วมิติความคิด ความตึงเหมือนเดิม การทำงานที่บ้านมันอาจจะลดทอนลง หรือว่ายืดเวลาให้จุดอิ่มตัวมันไกลขึ้น ความกดดันน้อยลงเยอะ ห้องอัดที่แกรมมี่มันเสียเงิน ของค่าย เราก็ต้องทำตามกำหนดที่เราให้ไว้กับเขา เราต้องทำให้เสร็จ ที่บ้านมันไม่กดดันเลยกลายเป็น 2 ปี
     11 เพลงมีการทำงานอย่างไรบ้าง
    ตูน : เรามี กบ บิ๊กแอส (ขจรเดช พรมรักษา) เป็นคนดูภาพรวมของเนื้อเพลง มีทีมที่ทำงานกันมาตั้งแต่ชุดแรก ก็อยู่กับครบ พอเราทำดนตรีเสร็จ เนื้อเพลงเราจะมานั่งประชุมกัน มีเราและทีมงาน มากางเมโลดี้กันว่า เพลงนี้จะพูดเรื่องอะไร บางทีเรามีที่เขียนไว้แล้วมาบอกทีมงาน มันเหมือนมานั่งคุยกัน อัลบั้มนี้มีวิธีการทำงานที่เราไม่เคยทำเหมือนกัน มีหลายๆ เพลง ที่เราสุมหัวกันในทีมแล้วนั่งเขียนกันคนละประโยค จากที่เมื่อก่อนเพลงหนึ่งก็แต่งคนหนึ่ง อย่างอัลบั้มนี้ เพลงหนึ่งตูนมาท่อนหนึ่ง บางเพลงผมมาทั้งเพลงแต่ทุกคนมองว่า มันได้ท่อนนี้แล้วหลังจากนั้นทุกคนมารุมกันต่อเพลง มันมีเลพงที่โยนให้ทุกคนเขียนในคอนเซปต์เดียวกัน วิชาตัวเบา ทุกคนไปเขียนเนื้อมาแล้วมาประกวดกัน แล้วมาเลือกกัน แล้วถ้าเพลงไหนมาสไลต์นี้จะมีเครดิตว่าแมงโก้
     อัลบั้มบอดี้สแลมมองชีวิตออกมาอย่างไร
    ตูน : มันมีทั้ง2ส่วนทั้วแก่ขึ้น เด็กลง ทั้งในส่วนที่คิดว่าแก่ขึ้นและส่วนที่คิดว่าตัวเองเด็กลง เด็กในมุมที่เราคิดว่าเราผ่อนคลาย อัลบั้มนี้เราคิดว่าเราผ่อนคลายมากขึ้น เหมือนเราได้ปลดปล่อย ความตึงทุกอย่างในอัลบั้มดัมมะชาติไปหมดแล้ว ชุดนี้มันโล่งขึ้น เด็กลงมาก มุมที่โตขึ้นคือความรับผิดชอบและประสบการณ์ ทุกคนก็มีทัศนคติต่องานชิ้นนี้อย่างมืออาชีพอย่างคนที่อายุ 40 เป็นมากขึ้น

 

\'วิชาตัวเบา\' ความปล่อยวาง ของวง \'บอดี้สแลม\' 

 


     เล่าในการมองโลกแบบไหน
    ตูน : ก็เรื่องของที่เรารู้สึก เรื่องจริงในตอนนี้ พูดถึงเพลงรักจะเป็นวิชาตัวเบาที่เรามองมัน อีกแบบหนึ่ง แบบคนมีประสบการณ์ความรักผ่านมาบ้าง ได้เรียนรู้และดีใจกับมัน ในอารมณ์ที่ไม่ได้พลุ่งพล่านเหมือนเดิม เสียใจกับมันแบบไม่ฟูมฟาย รับมือกับหลายอย่างได้ดีขึ้น มันไม่ได้บรรลุ แต่ว่าในหลายๆเรื่องเราก็รู้สึกว่าเราเพิ่งได้เรียนรู้ ของการที่ปล่อยวาง โตขึ้นในอีกวัยขึ้นเท่านั้นเอง แต่ว่าอัลบั้มนี้สำหรับเรา เหมือนกับการที่เราได้รู้สึกวิชานี้เป็นครั้งแรก เพิ่งลงเรียนเป็นเทอมแรก ติดใจกับมันและอยากเรียนรู้ต่อไปเรื่อยๆ ในอัลบั้มมีหลากหลายเพลง หลากหลายแง่มุม ที่ผมตื่นเต้นมากที่อยากให้คนได้ฟัง มันมีเพลงหนึ่งชื่อ ผักบุ้งลอยฟ้า ผมรู้สึกสนุกกับมันมากในการแต่งเพลงนี้ในการหาคอนเซป ผมรู้สึก ตื่นเต้นที่จะร้องเนื้อเพลงนี้ สื่อสารให้ทุกคนได้ฟัง ผมจะมีสมุดบันทึกไว้จด ผมจะนั่งรถไปอะไรก็บันทึกไว้ คิดว่าเพลงนี้จะเป็นเพลงที่คอนเซปดีเพลงหนึ่งได้ พอมันมีเมโลดี้และทำนองที่เหมาะสมกับสิ่งที่เราบันทึก เราก็เอามาใช้
    ปิ๊ด : เพลงนี้อัดเบสยากที่สุด เราเครียดกับเพลงนี้มาก เห็นชื่อเพลงแล้วก็อึ้งไป
     ได้เอากระแสต่างๆปรับมาใช้กับผลงานไหม
    ชัช : ก็ฟังเพลงหลายเดียว คือเป็นมีรสนิยมในเรื่องของซาวน์ ความใหม่ของซาวนด์ แล้วก็มาคุยกันในวงว่า มันน่าจะมีอะไรเซอร์ไพรส์ในเรื่องของซาวน์บ้าง
     ถ้าฟังเพลงทั้งหมดครบแล้ว ขอสักคำที่บ่งบอกถึงความเป็นอัลบั้มนี้
    ปิ๊ด  : ซื้อ ครับ
     ภาพรวมดนตรี มันให้คำจัดความอย่างไรกับอัลบั้มนี้
    ปิ๊ด : ผักบุ้งลอยฟ้านะ มันอร่อยด้วย มันหวือด้วย ถ้าได้ฟังทั้งอัลบั้มแล้วน่าจะเซอร์ไพรส์
     กระแสจากแฟนๆมีผลต่องานเพลง
    ตูน : เราทำเพื่อระบายสิ่งที่อยากพูด อยากทำมาโดยตลอด เราได้ยินคอมเม้นต์จากแฟนๆ เราก็คล้อยตามในความคิดเห็น เรารับฟัง แต่ว่าสุดท้ายเราต้องมาคิดกับตัวเองว่า แล้วเราหละมีความสุขที่ได้เล่นได้ลองอะเไร ผมว่าอันนี้ควรเป็นคำตอบสุดท้ายหรือว่าสิ่งที่เรายึดโยง มันมากกว่า ความรู้สึกของแฟนเพลงซึ่งเรา ให้ค่ากับมันนะ แต่ว่าสุดท้ายแล้วเราก็ต้องมาย้อนดูว่าแล้วเราหละ ให้ค่ากับอะไร ในการร้องการเล่นดนตรีไม่งั้นจะกลายเป็น มันไม่ได้อะไร เพราะว่าล้านคอมเม้นต์เราทำตามได้ไม่หมดหรอก แต่ว่าสิ่งที่ดีที่สุดคือ คอมเม้นตของ5-6คนในวงแล้วเราทำมันอย่างมีความสุขเราภูมิใจกับมันตั้งแต่มันเสร็จ ส่วนถ้ามันจะไปต่อยอดสร้าง ความพลังงานกับคนอื่นได้ มันก็จะเป็นเรื่องดีที่ เกิดจากที่สิ่งที่เราภูมิใจกับมัน
     วิชาตัวเบาจากการตกผลึกทางความคิดของเราคืออะไร
    ชัช : มีสติ
    โอม : ทัศนคติสำคัญมาก สำคัญที่สุดคือการมองให้เป็นบวก เรามีความสุขกับทุกอย่างได้ด้วยวิธีคิด ถ้าวิธีคิดแล้วแฮปปี้ ผมว่าทัศนคติในการเป็นบวกกับตัวเราเองก็ทำให้เรา ตัวเบาได้
    ตูน : จริงๆ ผมไม่ได้เป็นคนเก่ง ขนานนั้นแต่ว่าเราโชคดีที่มีพี่ มีเพื่อนที่เราไปฝากใจได้ ที่เราจะขอคำปรึกษาได้ หลายๆครั้งที่รู้สึกหลงทาง ก็มักได้รับความช่วยเหลือจากคนรอบข้างอยู่เสมอ ผมเป็นคนโชคดีที่มีคนรอบข้างให้คำแนะนำเราได้ ช่วยเรา เยียวยาเราได้ ฝากถึงหลายคนที่คิดว่ามันหนักหนาแล้วสำหรับตัวเรา ให้เราไปดูคนข้างๆ ลองไปฝากใจไว้กับเขา เผื่อว่ามันจะแบ่งเบาได้
    ปิ๊ด  : เมื่อก่อนเราเครียดเยอะ สร้างปัญหาให้ผู้อื่นและตนเองเยอะ วิชาตัวเบาคือเอาใจเขามาใส่ใจเรามากขึ้น เมื่อก่อนเราเครียด แต่ว่าเราลองคิดดูว่าถ้ามีคนมาทำกับเราแบบนี้ เราก็ไม่ชอบ เราเลยเอาใจเขามาใส่ใจเรามากที่สุด

 

\'วิชาตัวเบา\' ความปล่อยวาง ของวง \'บอดี้สแลม\'