'ปอร์เช่'ไม่หวังไปไกลเท่า 'ลิซ่า'
"ปอร์เช่" ศิวกร อดุลสุทธิกุล ภูมิใจในตัว "ลิซ่า แบล็คพิ้งค์" เผยรู้จักกันมานาน พร้อมบอกตัวเองก็มีความฝัน แต่จะไปไกลแค่ไหนอยู่ที่การพัฒนาตัวเอง
บันเทิง คมชัดลึก - ถือเป็นหนึ่งในคนรู้จักมักจี่ของนักร้องสาวซูเปอร์สตาร์ชื่อดังระดับโลกอย่าง “ลิซ่า แบล็คพิ้งค์” ลลิษา มโนบาล สำหรับ “ปอร์เช่” ศิวกร เพราะทั้งคู่เคยเดินตามฝันด้วยกันมา ก่อนที่สาวลิซ่าจะโด่งดังในนามวง “แบล็คพิ้งค์” เมื่อผู้สื่อข่าวถามหนุ่มปอร์เช่ว่ารู้สึกยังที่เห็นความสำเร็จของรุ่นพี่คนเก่งคนนี้ เจ้าตัวเผยว่า
“ผมรู้จักกับลิซ่ามา 5-6 ปี แล้ว ส่วนเรื่องที่ผมเรียกว่า “เจ้” มีคนมาถามเยอะเหมือนกัน เพราะส่วนใหญ่จะงงว่าทำไมไปเรียกเจ้เขาอย่างนั้น บางคนก็คิดว่าผมเรียกเล่นๆ แต่จริงๆ คือเขาเป็นคนให้ผมเรียกว่าเจ้เอง เลยติดมาตลอด ซึ่งเราเป็นคนรู้จักกัน ก่อนหน้านี้คือเราเคยเจอกันตั้งแต่ก่อนที่เขาจะเป็นแบล็คพิ้งค์และเจอหลังจากที่เขาเป็นแบล็คพิ้งค์ด้วย แต่ว่าแต่ก่อนไม่สามารถลงรูปได้ เพราะว่าทางค่ายเขาห้าม
เขาเป็นคนนิสัยดีมาก เป็นคนน่ารัก เฟรนด์ลี่ คุยสนุก มีกวนๆ ตามประสา ซึ่งพอมาเป็นลิซ่า แบล็คพิ้งค์แล้วเขาก็ไม่ได้เปลี่ยนไปเลย เขายังเป็นคนเดิม เป็นยังไงก็ยังเป็นอย่างนั้น และเขาเป็นคนดีมากๆ พอเห็นเขาในวันนี้รู้สึกภูมิใจ เพราะเราเห็นความสามารถของเขา เห็นคนชื่นชมเขาเยอะมากๆ ซึ่งเขาถือเป็นตัวแทนของเมืองไทย เขาสามารถทำให้คนอื่นยอมรับได้มากขนาดนี้ ผมรู้สึกว่าเจ้เป็นคนที่ ไม่รู้ว่าจะเรียกว่าอะไร เอาเป็นว่าภูมิใจในตัวเจ้มากๆ" ปอร์เช่ กล่าวแจง
ถามต่อว่าปอร์เช่มีความฝันที่อยากจะทำได้แบบลิซ่าไหม
“ตอนนี้ผมก็กำลังทำความฝันของตัวเองอยู่ พยายามพัฒนาตัวเองอยู่เรื่อยๆ ถามว่าอยากที่จะไปเดบิวท์ ที่ประเทศเกาหลีไหมสำหรับผม ผมรู้สึกว่า เดบิวท์ที่ไหนก็ไม่สำคัญแค่เราได้ทำในสิ่งที่เรารัก ได้ทำตามความฝันของตัวเองให้คนอื่นได้เห็นความสามารถและพัฒนาการของผม ได้เห็นสิ่งที่ผมรักที่จะทำมันออกมา ตอนนี้ผมอาจจะยังพัฒนาตัวเองไม่มากพอ แต่ผมเชื่อว่าอนาคตมันจะดีกว่าเดิม เพราะผมบอกตัวเองว่าผมจะพัฒนาไปเรื่อยๆ จะไม่หยุด ซึ่งผมรู้สึกว่าผมได้ทำในสิ่งที่ตัวเองรัก แต่ก็ต้องพัฒนาให้ดีมากยิ่งขึ้น เพราะคนเก่งๆ มีขึ้นมาอยู่เรื่อยๆ เราไม่สามารถหยุดตัวเองไว้ที่เดิมได้ ถึงเราจะชอบในสิ่งนี้อยากทำในสิ่งสิ่งนี้ แต่ถ้าเราหยุดอยู่ที่เดิม ความชอบก็จะหยุดตามเราไป เราต้องหาอะไรใหม่ๆ มาเติมเต็มให้ตัวเองเสมอทำตัวให้เหมือนน้ำที่ไม่เต็มแก้ว"