"หนุ่ม กรรชัย" เคยแพนิค ตัวชา หายใจไม่ออก ไม่กล้าขับรถ-ไม่กล้าสระผม 8 เดือน
พิธีกรดัง "หนุ่ม กรรชัย" เปิดใจ รับเคยเป็นโรคแพนิค ตัวชา หายใจไม่ออก ไม่กล้าขับรถออกจากบ้าน-ไม่กล้าสระผม 8 เดือน และเกือบเป็นโรคซึมเศร้า เพราะเครียดจัด จากสถานการณ์โควิด-19
นักแสดง-พิธีกรดัง "หนุ่ม กรรชัย" เปิดใจผ่าน Woody FM ของ "วู้ดดี้ วุฒิธร" แบบจัดหนักจัดเต็ม รับอดีตเคยเป็นโรคแพนิค ไม่ออกจากบ้านเลยถึง 1 ปี และเกือบเป็นโรคซึมเศร้า เพราะเครียดจัด จากสถานการณ์โควิด-19
วู้ดดี้กำลังจะได้นั่งคุยกับผู้ที่ประสบความสำเร็จสุงสุดในทีวีวันนี้ พี่หนุ่มทำให้เห็นว่าเมื่อคุณอยู่กับอะไรเรื่อยๆ ต่อเนื่องมันได้ผลลับแน่นอน มันเป็นแบบนั้นหรือเปล่าครับ ?
หนุ่ม กรรชัย : "ส่วนหนึ่งเป็นแบบนั้น เหมือนคนย้ำคิดย้ำทำก็ได้นะ เป็นประสบการณ์ไงมันจะเห็นแล้วก็เอาไปเก็บเกี่ยว ให้รู้สึกว่าสิ่งนี้ต้องทำสิ่งนี้ไม่ต้องทำ เคยเอาเรื่องคนนี้มาคุยในรายการทำให้เขาดูเป็นตัวตลกทุกคนหัวเราะแต่เขาไม่หัวเราะไงอะไรแบบนี้ พวกนี้ก็เป็นประสบการณ์หมดเลย ก่อนที่จะทำอะไรก็ยกมือไหว้ขอโทษเขาก่อนถ้าเกิดว่าทำอะไรที่มันพลาดไป มันจะมีวิธีการต่างๆ นาๆ ที่เพิ่มมาในชีวิตเยอะมาก"
จำวันแรกที่ โหนกระแส ออกอากาศได้ไหม ?
หนุ่ม กรรชัย : "วันนั้นตื่นเต้นมาก เหมือนกับเรามาทำงานในที่ใหม่ เหมือนเป็นการพิสูจน์ตัวเองเหมือนกัน เพราะว่ามันเป็นของเราแล้ว วันแรกเลยมันต้องหาแขกแน่นอนเรื่องของการทำรายการฮาร์ดทอล์คต้องเชิญแขกมาให้ได้ เมื่อไหร่ที่เราได้แขกที่มันเป็นประเด็นที่มันอยู่ในกระแสอยู่ เรานำเสนอก่อนใคร เราคือคนชนะ วันนั้นผมจำได้เลยเป็นเรื่องของน้องผู้หญิงที่ถูกฆ่าแล้วก็หั่นศพ วิธีการเตรียมงาน ทุกอย่างมันดูเหมือนราบรื่นแต่ว่าในคำถามแต่ละคำรู้เลยว่ามันวน คนดูอาจจะไม่รู้สึกแต่เรารู้ รู้อยู่ตลอดว่าเราถามอะไรบ้างแล้วเราวนกลับมาที่เดิม คือมันตื่นเต้น ที่ใหม่ ฉากใหม่ เหมือนกับต้องแบกอะไรไว้หมดเลย ต้องบอกว่าตื่นเต้นทุกเทปที่ทำแขกรับเชิญ ไม่มีเทปไหนที่จะไม่ตื่นเต้น"
การที่เราทำสัมภาษณ์รายการทีวีมันมีฟิลลิ่งอะไรบางอย่าง ก่อนที่เราเดินมาในฉากแล้วจะรู้เลยว่าวันนี้จะปังหรือไม่ เหมือนกับมันเซ้นส์อะไรบางอย่างพี่หนุ่มเป็นแบบนั้นไหม ?
หนุ่ม กรรชัย : "พี่จะไม่ได้คาดหวังแต่ละเทป เพราะพี่ถือว่าการคาดหวังในแต่ละครั้ง พอมันไม่ได้แล้วเสียใจ เคยคาดหวังแต่พอเวลาเสร็จปุ๊บเทปนี้ต้องดีแน่ต้องโอเคแน่แต่พอไปนั่งเราไม่สามารถคลุมชาวบ้านได้ ชาวบ้านไม่เคยออกทีวี ไม่เคยเจอเรา เจอแต่ในทีวี พอนับ 5 4 3 2 เขาพูดไม่ได้ เขาตอบไม่ได้ เราก็ต้องพาไปให้ได้ อันนี้คือสิ่งที่เราคาดหวังว่าต้องดีแต่พอถึงเวลามันไม่ได้"
พอมันไม่ได้ ใจตอนนั้นคิดอะไร ?
หนุ่ม กรรชัย : "มันพะวงมาก เพราะว่าเป็นรายการสดแล้วบางครั้งจะไม่ได้คุยกับแขกรับเชิญก่อนด้วยน้อยเทปมากเวลามาถึงแล้วพี่จะได้เจอกับเขาก่อน เพราะว่าพี่ต้องอ่านข่าวก่อนแล้วถึงได้ไปสัมภาษณ์ เพราะฉะนั้นเวลาของพี่ที่จะคุยกับเขามันไม่มีเลย พอเจอกรณีแบบนี้ไม่รู้เขาเป็นอะไร ซึ่งอาจจะตื่นกล้อง ตื่นเต้นที่คุยกับเราหรืออะไร ก็ต้องพยายามทำทุกวิถีทางพาไปให้ได้ พอเบรคก็ไปลูบหลัง ไม่เป็นไรพูดเหมือนเราเป็นพี่น้องกัน วันนี้คุณต้องพูดเพื่อลูกคุณนะ ถ้าคุณไม่พูดเพื่อลูกคุณไม่มีใครช่วยได้ ลูกคุณตายไปแล้วเราต้องทวงถามความเป็นธรรมให้ลูกคุณให้ได้ เขาก็จะมีแรงฮึด ส่วนใหญ่ถ้าแขกที่แบลงค์ในเบรคแรก เบรคสองจะดี เพราะเหมือนเราได้ละลายพฤติกรรมกับเขาไปก่อนหลังจากเบรค"
ถ้าเปรียบเทียบกับทุกอย่างที่เคยทำในวงการนี่คือสิ่งที่ตื่นมาแล้วแฮปปี้สุดไหม ณ ตอนนี้ ?
หนุ่ม กรรชัย : "พี่ชอบที่จะทำแบบนี้ มันเหมือนอาจจะยังมีไฟอยู่ มีความสุขมาก แต่ถามว่าเหนื่อยไหมโคตรเหนื่อยเลย ก่อนหน้านี้พี่ตื่นตี 5 ครึ่งแล้วก็หาข่าวเอง ดูแหล่งข่าวเอง ได้แขกรับเชิญพี่ก็จะคุยกับแขกรับเชิญก่อน หลังจากนั้นก็ไปช่องเข้าประชุม ประชุมเสร็จอ่านข่าว อ่านข่าวเสร็จต่อด้วยโหนกระแส คือชีวิตพี่เป็นแบบนี้ทุกวัน"
เวลาว่างทำอะไรครับ ?
หนุ่ม กรรชัย : "ดูหนัง ดูซีรี่ย์ เล่นกับมายู คือเขาก็จะรู้ว่าเป็นเวลาว่างของเรา แต่ถ้าเกิดว่าเป็นวันทำงานเขาจะรู้ จะไม่มายุ่งกับเราเลย"
จันทร์ถึงศุกร์มีเวลาคุยกับลูกไหม หาเวลาตรงไหนครับ ?
หนุ่ม กรรชัย : "โทรคุย บางวันพี่ออกจากบ้านแต่เช้า มายูเขาก็ออกไปเรียนหนังสือ พี่ก็ไปทำงานไม่เจอกัน พี่จะกลับมาถึงบ้านประมาณ 3-4 ทุ่ม คือกลับไปบ้านมายูหลับแล้ว"
สิ่งที่ หนุ่ม กรรชัย หวงที่สุดในชีวิต ?
หนุ่ม กรรชัย : "ลูก"
ถ้าเลือกได้ 1 คน ที่คุณอยากสัมภาษณ์มากที่สุด คนๆ นั้นคือ ?
หนุ่ม กรรชัย : "นายก"
ร้องไห้ครั้งล่าสุดเมื่อไหร่ ?
หนุ่ม กรรชัย : "เร็วๆ นี้ อยู่ดีๆ มันร้องเอง รู้สึกเก็บกด คือมีอาการเหมือนคนจะเป็นโรคซึมเศร้า เนื่องจากเครียดเรื่องของโควิด คืออยู่กับมันทุกวัน สัมภาษณ์เกือบทุกวัน เห็นทุกวัน พี่หาเตียงให้กับคนที่เขาป่วยเกือบทุกวัน คนก็จะส่งมาหาพี่ทุกช่องทาง พี่ก็พยายามจนกระทั่งมาวันหนึ่งรู้สึกแย่ที่สุด คือมีน้องคนหนึ่งส่งข้อความมาหาแล้วบอกว่าหาเตียงให้แม่หนูหน่อย แม่หนูเป็นโควิดแกไม่ไหวแล้ว เสร็จแล้วหลังจากที่เขาส่งข้อความมาหาพี่แล้ว ผ่านไป 3 ชั่วโมง พี่ก็พยายามติดต่อ 3 ชั่วโมงให้หลัง หลังจากที่พี่ได้เตียงแล้ว เขาส่งมาบอกพี่ว่าไม่เป็นไรแล้ว แม่หนูเสียแล้ว ขอบคุณ พี่เป็นคนเดียวที่ตอบหนู พี่รู้สึกแบบชีวิตคนเรามันอยู่แค่ 4 ชั่วโมงเองเหรอ มันน่ากลัวมาก"
"ก็เริ่มนอยด์และรู้สึกว่าเราช่วยเขาไม่ได้ รู้สึกว่ามันอินไปหน่อย อินจนถึงขั้นที่นอนหลับและตื่นขึ้นมาแล้วสั่น แต่พอลืมตามาเริ่มแรกมันจะเป็นเรื่อง Home Isolation เรื่องคนป่วย มันวิ๊งอยู่ในหัว ลุกขึ้นมาอยากร้องไห้แล้วพี่ก็ไม่ไหว เลยโทรศัพท์ไปหาจิตแพทย์ทันที ถามหมอผมอาการเป็นแบบนี้ ไม่อยากกินอะไรมาหลายวัน รู้สึกไม่อยากคุยกับใคร อยากอยู่คนเดียวในที่มืดๆ หมอเลยบอกว่าถ้าเป็นโรคซึมเศร้ามันจะมีทั้งหมด 9 ข้อ ถ้าเข้า 5 ข้อจะเป็นโรคซึมเศร้า ของพี่ไป 4 แล้วกว่าๆ แล้ว หมอบอกว่าอาการของพี่ก่อนจะเป็นซึมเศร้าจะเข้าสู่ขั้นของวิตกจริตก่อน พี่แทบไม่ได้นอนเลย แย่มากช่วง 10 -20 วันก่อนนี้เอง ตอนนี้พึ่งดีขึ้น"
ถ้าโควิดหายจากโรคสิ่งแรกที่คุณจะทำคือ ?
หนุ่ม กรรชัย : "เที่ยว"
SEX ของหนุ่มกรรชัยอยู่ในช่วงไหนเต็ม 10 ให้ ?
หนุ่ม กรรชัย : "15"
ในบรรดาที่เกิดขึ้นกับบ้านเมืองตอนนี้เรื่องไหนที่ทำให้รู้สึกเสียใจทำไมต้องเป็นแบบนี้ ?
หนุ่ม กรรชัย : "รู้สึกว่าทุกวันนี้มันมีแต่คำว่ารอคอย พี่สงสารคนอื่น รู้สึกว่าทุกคนรอคอย รอว่าจะรอดยังไง รอว่าโรคจะหายไปเมื่อไหร่ รอว่าจะตายไหม จะติดไหม มีแต่คำว่ารอ และรอวัคซีน แล้วชีวิตจะไปยังไง"
วู้ดดี้จะอ่านข้อความที่เป็นความรู้สึกแล้วพี่หนุ่มเล่าให้ฟังว่าข้อความนี้จะเกิดขึ้นในช่วงไหนของชีวิต...โห! มีความสุขที่สุดเลยเว้ย! เกิดมาคุ้มแล้ว! จะนึกถึงอะไร ?
หนุ่ม กรรชัย : "ลูกคนนี้ เพราะพี่รู้สึกว่าพอมีมายู พี่มีความสุขมากเลย คือมันทำให้พี่คิดว่าทำไมชีวิตกูที่ผ่านมามันเหลวแหลกขนาดนี้ว่ะ ถ้าเกิดว่ามีลูก มีมายูตั้งแต่แรก มันคงดีกว่านี้ ชีวิตมันคงมีความสุขมากกว่าที่มันเคยผ่านมา เคยคิดว่าอดีตที่ผ่านมามีความสุขมากแล้วแต่พอเรามีมายู โคตรมีความสุขกว่าที่เคยมีความสุข เพราะฉะนั้นมันตอบได้เลยว่า มายูคือความสุขของชีวิตพี่จริงๆ"
อะไรในตัว หนุ่ม กรรชัย ที่เปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัดตั้งแต่มีลูก ?
หนุ่ม กรรชัย : "มองตัวเองไม่ค่อยเห็นว่ามีอะไรเปลี่ยนไปบ้าง แต่ตัวพี่เองเป็นแบบนี้มานานแล้ว เพียงแต่ว่าคนอาจจะไม่ได้เห็นตัวตนพี่เท่ากับวันนี้ ที่รู้สึกว่าพี่เปลี่ยนไป แต่ถ้าคนรู้จักเรามาก่อน เขาก็จะรู้ว่าไม่ได้เปลี่ยน พี่เป็นแบบนี้ จะรู้ว่าเมื่อก่อนกับวันนี้เหมือนกัน เพียงแต่วันนี้มีโอกาสที่จะทำมากกว่าเมื่อก่อนเท่านั้นเอง พูดง่ายๆ เสียงพี่มันดังกว่าเมื่อก่อน เวลาเราพูดอะไรคนจะฟังมากกว่าเมื่อก่อน แต่คนมักจะมองในอดีตว่าเราเจ้าชู้ เป็นคนที่เกเร พอมาวันนี้เขาเห็นรูปธรรมมากกว่าเมื่อก่อน แล้วพอเรามีลูกเขาก็มองว่าเราเปลี่ยนไป แต่จริงไม่ใช่ ถามว่าทุกวันนี้ผมชอบผู้หญิงไหม ผมก็ยังชอบ เห็นผู้หญิงสวยๆ ก็ยังมอง เพียงแต่ว่าเราหักห้ามใจมากขึ้นเท่านั้นเอง ไม่ได้เหมือนเมื่อก่อนที่คุณสวยผมก็เข้าไปจีบเท่านั้นเอง"
ยังจำฟีลลิ่งตอนเจ้าชู้ได้ไหม ?
หนุ่ม กรรชัย : "จำได้ ก็คึกคะนองเมื่อก่อน พอมาวันนี้เรามีลูกทุกสิ่งทุกอย่างก็กลัวไปตกกับลูกสาว กลัวลูกไปเจอผู้ชายอย่างเรา"
ความรู้สึกต่อมา สำเร็จแล้วเว้ย! หาทางออกได้แล้ว นึกถึงอะไร ?
หนุ่ม กรรชัย : "การทำงาน การทำงานมันมีอะไรให้เราแก้ปัญหาได้ทุกวัน แล้วจะมีคำนี้ทุกวัน เกือบทุกวันที่จะต้องเจอ"
ความรู้สึกต่อมา ทำไมชีวิตเป็นขนาดนี้ ?
หนุ่ม กรรชัย : "ก็คงจะเป็นโควิดตอนนี้ ทำไมต้องมานั่งใส่หน้ากากอนามัยอ่านข่าวด้วย ทำไมจะเดินไปซื้อขนมกินต้องค่อยฉีดแอลกอฮอล์ที่มือด้วย ทำไมคุยกับวู้ดดี้ต้องห่างกันต้องเอากระจกมากั้น จากที่เราเคยกอดกันตอนเจอหน้า วันนี้ทำไมเราทำไม่ได้ จนเราเป็นความเคยชิน ทุกวันนี้พี่อ่านข่าวพี่ปลดหน้ากาก พี่รู้สึกแปลกแล้วนะ รู้สึกว่าแปลกตอนเห็นหน้าตัวเองในกระจก เพราะชีวิตอยู่แค่ครึ่งหน้า ทุกวันนี้แต่งหน้าครึ่งหน้า"
ชีวิต หนุ่ม กรรชัย ตลอดการเดินทางตั้งแต่เข้าวงการมาจนถึงวันนี้ผ่านมาทุกรูปแบบ ต้องใช้คำว่าหน้าที่ของเรามันต้องเป็นกลาง การเป็นสื่อมันมีคำนี้จริงๆ ไหม ?
หนุ่ม กรรชัย : "มันน้อยมาก อย่างที่เขาพูดกันบางทีความเป็นกลางมันอาจจะไม่ค่อยมี แต่ความเป็นธรรมมันต้องมี บางครั้งความเป็นกลางถามว่าเราพยายามทำให้มันกลางที่สุด กลางที่สุดคืออะไร คือพยายามฟังทั้ง 2 ฝ่าย แต่สุดท้ายแล้วต้องมีความเป็นธรรมเกิดขึ้นกับคนที่เขาสูญเสีย คนที่เขารู้สึกว่าถูกกล่าวหา"
ทุกอย่างของ หนุ่ม กรรชัย เราเห็นกันหมดแล้ว มีมุมที่เรายังมองไม่เห็นไหม ?
หนุ่ม กรรชัย : "ก็มีนะ จริงๆ พี่เป็นคนไม่ค่อยพูด พี่ไม่ชอบคุยกับใคร ชีวิตประจำวันพี่จะอยู่เฉยๆ พี่ไม่ค่อยได้ไปเที่ยวกับเพื่อน พี่ไม่มีเพื่อน"
มีแต่เพื่อนร่วมงาน ?
หนุ่ม กรรชัย : "เพื่อนร่วมงานก็ไม่มี"
มดดำก็ถือว่าเป็นเพื่อร่วมงาน ?
หนุ่ม กรรชัย : ใช่ แต่พี่ก็ไม่ได้โทรคุยกับมดดำ สมัยก่อนโทรคุยกันเกือบทุกวัน แต่เดี๋ยวนี้ไม่ค่อยได้คุยกัน มันอาจจะเป็นเพราะว่าต่างคน ต่างมีเวลาเป็นของตัวเองที่ต้องไปทำอย่างอื่น แล้วอีกอย่างหนึ่งคือพอมันโตขึ้นทุกสิ่งทุกอย่างมันก็อิ่มตัว รู้สึกว่าไม่ต้องไปคุยอะไรกับใคร
แล้วก่อนหน้านี้คิดยังไงเกี่ยวกับการมีเพื่อน กับวันนี้ที่มันเปลี่ยนไป ?
หนุ่ม กรรชัย : "ก็ไม่มีเพื่อน พี่เป็นคนไม่มีเพื่อน คำว่าเพื่อนของวู้ดดี้มันคืออะไร เพื่อนสนิท เพื่อนที่แบบมีอะไรโทรคุยกัน กินข้าวกัน ไปท่องราตรี พี่ไม่มี ไม่ค่อยคุยกับใคร บอกเลยว่าให้พี่กักตัว 14 วัน หรืออยู่เฉยๆ พี่ก็อยู่ได้ ไม่รู้สึกทรมาน ชีวิตพี่เคยไม่ออกจากบ้านมาปีหนึ่ง ไม่ออกไปไหนเลยพี่ก็เคยอยู่"
ตอนนั้นคือเกิดอะไรขึ้น ?
หนุ่ม กรรชัย : "ถ้าสมัยนี้เขาเรียกว่าเป็นแพนิค (Panic Disorder) พี่ไม่ออกจากบ้านเลยปีหนึ่ง ที่จำได้เลยพี่ขับรถออกไปแล้วมันติดอยู่กลางถนน อยู่ดีๆ หัวใจพี่เต้น ปั้กๆๆๆ แล้วตัวชาทั้งตัว รู้สึกว่าจะตาย หวิวๆ ทิ้งรถเลย แล้วโทรศัพท์ให้คนที่บ้านมารับไปหาหมอ หลังจากนั้นเป็นแบบนี้ทุกครั้ง ขับรถไม่ได้ พี่สระผม สระผมเสร็จมานอนคิดโน้นนี่สักพักวูบตัวชาทั้งตัวใจสั่น หายใจไม่ถนัด เข้าโรงพยาบาล ไม่กล้าสระผมประมาณ 7-8 เดือน ไม่สระผมเลยกลัวจะเป็นอีก ไม่กล้าออกจากบ้าน ไม่กล้าอยู่บนรถ ไม่กล้าทุกอย่าง ฉี่ไม่สุด หายใจก็ต้องถอนหายใจแบบนี้ มันเป็นเยอะมาก"
วู้ดดี้เป็นมา 2 ปีแล้วยังไม่หาย ตอนกลับบ้านมาผมถามตัวเองว่าทำไมมันต้องเกิดขึ้นกับเรา บางทีผมนั่งสัมภาษณ์อยู่แล้วมันก็มา พยายามจะหาหมอหาทางออกต่างๆ รู้สึกทำไมตัวเองไม่มีศักยภาพในการออกไปเจอคนเหมือนเดิม แล้วก็ไม่เข้าใจว่าทำไมต้องเป็นเรา ที่ร้องไห้เพราะรู้สึกว่าเราไม่ได้เป็นคนเดียว พี่หนุ่มก็เคยเป็น ผมถามหน่อยว่าพี่ก้าวผ่านมาได้ยังไง แล้วช่วงปีนั้นมันทรมานขนาดไหน ?
หนุ่ม กรรชัย : "โห โคตรทรมาน อย่างที่บอกอยู่ดีๆ ก็ตัวชา หายใจไม่ได้ ใจสั่นเหมือนหัวใจจะหลุด ร่างกายมันเป็นทุกสิ่งทุกอย่าง มันคือโรคกลัวตาย แต่พี่บอกวู้ดดี้ไว้อย่างหนึ่งโรคนี้ไม่เคยทำให้ใครตาย ไม่มีใครตายเพราะโรคนี้ อยู่บ้านมาปีกว่าจนสุดท้ายไปหาหมอจิตเวช ก่อนหน้านี้ไม่เคยไปหาเลย 1 ปี เพราะไม่อยากกินยา จนสุดท้ายรู้สึกว่าไม่ไหวแล้ว เพราะว่าอยากออกจากบ้าน อยากไปเที่ยว อยากไปเจอผู้หญิง"
"สุดท้ายไปหาหมอ คุณหมอก็ให้ยามาถุงหนึ่งคุณหนุ่มกินยาตัวนี้นะ แล้วอีกปีหนึ่งคุณหนุ่มจะออกจากบ้านได้ พี่ออกมารู้สึกไม่ไหวแล้ว พี่เอายานั่นทิ้งถังขยะ รู้สึกในใจว่า ขอโทษนะที่มาหาเพราะอยากออกจากบ้านเดี๋ยวนี้ ไม่ใช่อีกปีหนึ่ง แสดงว่าต้องอยู่ในบ้าน 2 ปีพอแล้ว พี่เอายาทิ้งแล้วก็ขับรถไปหาเพื่อนที่จุฬาฯ คิดในใจว่าถ้าจะตาย ตายเลย! แต่อยู่ไม่ได้แล้ว อยู่กับสิ่งที่กำลังเป็นแบบนี้ไม่ได้ ขับไปมีอาการนะแต่อยากเป็นไรเป็น ตัวชาใจสั่นก็ขับ จนกระทั่งไปเจอเพื่อน ก็คุยกับเพื่อนเฮฮา หาย! พอเจออย่างอื่นที่มันชักจูงชีวิตเรา รู้สึกว่าพอไม่คิดมันไม่เป็น เมื่อไหร่ที่เราหันไปมองแผลเป็นเราจะรู้เลยว่าเราเคยถูกมีดบาด แต่ถ้าเกิดไม่มองไม่สนใจก็ไม่ได้อยู่ในมโนความคิดของเรา"
ฟังเรื่องของพี่หนุ่ม ผมมีแรงบันดาลใจว่าปีนี้ผมจะหาย?
หนุ่ม กรรชัย : "หายวู้ดดี้ ที่เราเป็นอยู่ หรือคนที่กำลังเป็นอยู่ คุณไม่ได้คิดไปเองแล้วเป็น เหมือนกับที่คนอื่นมองว่าคิดไปเอง บ้าไปเอง ไม่ใช่ที่เป็นมันเกิดจากสารเคมีตัวหนึ่งในสมองมันหลั่งผิด แล้วมันเลยทำให้เราเป็นแบบนี้ แต่ตรงนี้เราสามารถเอาชนะมันได้ด้วยใจ เท่านั้นเอง แต่โรคนี้ไม่มีทางทำให้ใครตายพี่มั่นใจ"
ถ้าเกิดว่าใครที่ดูอยู่แล้วมีความรู้สึกว่าชีวิตฉันยังติดขัดไม่ไปไหนยังอยู่กับที่ ยังไม่เจอในสิ่งที่ใช่สักทีอยากจะบอกกับเขาว่า ?
หนุ่ม กรรชัย : "อย่าดูถูกตัวเอง ไม่อยากให้ทุกๆ คนดูถูกตัวเองว่า กำลังอยู่ในสภาวะที่ทำอะไรไม่ได้ พี่เชื่อว่าในมนุษย์คนหนึ่งถ้าตั้งใจที่จะทำอะไร เชื่อว่ามันพาตัวเองไปได้ ต้องอย่าไปท้อกับมัน เข้าใจทุกสิ่งทุกอย่างปัญหาที่เกิดขึ้นอาจจะทำให้หลายๆ คนท้อ วันนี้อย่าคิดสั้น อย่าพยายามทำอะไรในสิ่งที่มันสายเกินแก้ อยู่กับตัวเองให้ได้ แล้วเชื่อว่าทุกสิ่งทุกอย่างจะผ่านไป ตัวพี่เองก็สู้มาตลอดเวลา กว่าจะมาทำงานจนวันนี้ได้ กว่าจะอยู่ตรงนี้ได้ พี่โดนคนครหา โดนคนว่า โดนคนด่ามาเยอะ ไม่ใช่สื่อแท้เป็นสื่อเทียม ไม่ใช่สื่อไม่รู้จะนิยามว่าอะไร โน้นนี่นั่นเยอะมาก เพียงแต่ว่าเราก็อย่าไปเอาคำเหล่านั้นมาเป็นปัญหาของเรา เราแค่เอาสิ่งที่เขาว่ามาเป็นแรงผลักดันตัวเองดีกว่า ว่าเดี๋ยววันหนึ่งเราต้องทำให้ได้แล้วพี่ว่ามันจะผ่านพ้นไป"
ขอบคุณข้อมูลจาก Woody FM