ค่ายเพลงตั้ง ทนายนิด้า สู้ ทนายตั้ม ใส่ความเท็จกรณี "พอร์ส Yes indeed"
บริษัท EXP Entertainment ขอประกาศการแถลงข่าวเกี่ยวกับกรณีที่ทนายตั้ม ษิทรา เบี้ยบังเกิด และน้องพอร์ส นรากร ในฐานะศิลปินภายใต้สังกัดของบริษัทฯ ได้จัดการแถลงข่าวในวันนี้ โดยมีข้อความพาดพิงบริษัทฯ ให้ได้รับความเสียหายต่อชื่อเสียงเป็นอย่างมาก
เนื่องจากในการแถลงข่าวดังกล่าวมีข้อมูลที่เป็นการบิดเบือนความจริง ใส่ความเท็จในการแถลงข่าวส่งผลให้ทางบริษัทฯ เกิดภาพลักษณ์ในทางลบจนถูกประชาชนที่ได้ติดตามการแถลงข่าวดูหมิ่นเกลียดชังอยู่ในขณะนี้
ทางบริษัทฯ จึงขอประกาศเรียนเชิญพี่น้องสื่อมวลชนทุกท่านเข้าร่วมฟังการแถลงข่าวในวันศุกร์ที่ 22 กรกฎาคม 2565 เวลา 13.30น. ที่บริษัท เอ็กซ์พีเรียนซ์ เอ็นเตอร์เทนเม้นต์ จำกัด พร้อมกับทนายนิด้า เพื่อชี้แจงข้อความจริงพร้อมหลักฐานทั้งหมดเกี่ยวกับการถูกกล่าวหาในวันนี้ทุกประการ
โดยเมื่อช่วงเข้าวันนี้(20 ก.ค.65) ที่ Sittra law firm สำนักงานกฎหมาย นายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือ ทนายตั้ม พร้อมด้วย นายนรากร อิสระวรางกูล น้องพอร์ส วง Yes indeed band ได้แถลงข่าว เปิดใจครรั้งแรก ในกรณียกเลิกสัญญาค่ายเพลงดัง พร้อมเล่าถึงช่วงที่ผ่านมา ค่ายทำยังไงกับน้องบ้าง การดำเนินการทางกฎหมายต่อไปหลังจากนี้ และอนาคตจะเป็นอย่างไรต่อ
นายษิทรา กล่าวว่า น้องพอร์สเล่าให้ฟังว่าน้องมีความใผ่ฝันอยากจะเป็นนักร้องอาชีพ จึงออกตามความฝันโดยไปร้องเพลงเปิดหมวกกับแพนเค้ก น้องสาว ที่เอเชียทีค เยาวราช สยามสแคว์ และจตุจักร ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2563 ก็ร้องมาเรื่อยๆจนเริ่มมีคนมาติดตามมากขึ้นเรื่อย ๆ กระทั่งได้จัดงาน มีตติ้งให้เมื่อประมาณ กุมภาพันธ์ 2564
ต่อมาเมื่อประมาณเดือนมิถุนายน 2564 น้องชายซึ่งเป็นลูกพี่ลูกน้องของแม่ ได้มาบอกว่า มีเพื่อนทำค่ายเพลงหนึ่ง จึงชวนให้ไปออดิชั่น ประมาณ 1 อาทิตย์ต่อมา ทางค่ายได้โทรมาบอกให้น้องพอร์สให้เข้ามาเซ็นสัญญา น้องก็เอาสัญญาไปปรึกษาครอบครัวให้รอบคอบก่อน หลังจากนั้นคุณพ่อได้มีการพูดคุยกับทางค่าย ค่ายได้รับปากว่าจะปั้นน้องให้เป็นศิลปิน ส่งเสริมดูแลภาพลักษณ์ หาครูมาสอนน้องให้ร้องเพลงให้ดีขึ้น
ในช่วงดังกล่าวเป็นช่วงที่น้องพอร์ส จะต้องเข้ามหาวิทยาลัย ทางค่ายก็รับปากว่าจะดูแลและหา มหาวิทยาลัยที่เหมาะสม น้องสามารถทำกิจกรรมที่รักและเรียนไปได้ควบคู่กัน คุณพ่อและน้องจึงตัดสินใจให้น้องเซ็นสัญญา ฉบับลงวันที่11 มิถุนายน 2564 หลังจากนั้นประมาณ 7-8 วันทางค่ายได้ให้น้องไปถ่าย shooting เพื่อเก็บเอาไว้เป็นโปรไฟล์
หลังจากนั้นทางค่ายได้ทำช่องยูทูบขึ้นมาช่องหนึ่ง เพื่อโปรโมทสินค้าของทางค่าย หรือไม่ก็รับรีวิวสินค้าคนอื่น โดยน้องพอร์ส ถ่ายกับเพื่อน รวม 3 คน ครั้งนึงถ่าย 2-3 เทป โดยให้ค่าจ้างต่อครั้งที่มา 1,000-1,500 บาท และค่ายเห็นว่าน้องพอร์สมี Tiktok ที่มีคนติดตามเกือบ 1 แสนคน แต่ Tiktok ของค่ายมีคนติดตามแค่หลักหมื่นเท่านั้น จึงให้น้องพอร์ส Collab ทั้ง 2 ช่อง เพื่อให้คนติดตาม Tiktok ของทางค่ายเพิ่มขึ้น โดยแต่ละครั้งที่ให้น้องช่วยโปรโมทใน Tiktok น้องไม่เคยได้ค่าตัว ได้แต่บอกว่าให้ทำเพื่อค่ายไปก่อน เดี๋ยวหากมีรายได้เข้ามาค่อยว่ากัน
หลายเดือนหลังจากทำสัญญากับค่าย ทางค่ายไม่เคยให้คนมาเทรนการร้องเพลง หรือบุคลิก
ต่างๆ และไม่ได้มีการประสานกับมหาวิทยาลัยตามที่ได้มีการตกลง ในตอนนั้นน้องพอร์ส เริ่มท้อ หมดหวัง และคิดว่าตนคงจะไม่มีโอกาสเป็นนักร้องอาชีพ แถมทางค่ายยังได้พยายามให้น้องถ่ายคลิปนุ่งกางเกงในบ็อกเซอร์ จนทางบ้านเริ่มรับไม่ได้
คุณพ่อ จึงเริ่มไปคุยกับทางค่ายเรื่องยกเลิกสัญญา โดยบอกว่าลูกของตนจะไปร้องเพลงเปิดหมวกกับเพื่อนๆ แต่ทางค่ายไม่ยอม อ้างว่า น้องสามารถไปเล่นเปิดหมวกได้ โดยทางค่ายจะไม่ยุ่งกับรายได้ของน้องเพราะถือว่าเป็นความสามารถของน้องเอง ระหว่างนั้นคุณพ่อก็พยายามเข้าไปคุยกับค่าย เพื่อขอยกเลิกสัญญารวม 6 ครั้ง แต่ค่ายก็ปฏิเสธเช่นเดิม
นับตั้งแต่น้องพอร์สทำสัญญากับค่ายตั้งแต่เดือน มิถุนายน 2564 จนถึงปลายพฤษภาคม 2565 ทางค่ายไม่เคยโปรโมทน้องในช่องทางไอจี หรือเฟซบุ๊กเลย มีแต่ให้ถ่ายคลิปรีวิวสินค้าของค่าย โดยให้คำจ้างถ่ายครั้งละไม่เกิน 1,500 บาท
ขณะที่ครอบครัวน้องพอร์ส พยายามคุยกับทางค่ายเพื่อยกเลิกสัญญา น้องพอร์ส กับเพื่อนก็พยายามทำตามความฝันของตัวเอง เพลงเปิดหมวกไปเรื่อยๆ จากที่มีแค่แพนเค้ก ก็มีสมาชิกในวงเพิ่มขึ้นไม่ว่าจะเป็นมังกร ทะเล และน้องดิน
รวมกันในชื่อวง Yes Indeed Band น้องพอร์สกับเพื่อนเล่นไปเรื่อยๆ จนมีฐานแฟนคลับมากขึ้น จนวันที่ 3 มิถุนายน2565 เป็นวันที่คนแน่นที่สุด เป็นวันที่สยามแตก สื่อทุกสื่อให้ความสนใจ มีนักร้องรุ่นใหญ่หลายคนมาร่วมร้องเพลงด้วย
หลังจากนั้น วันที่ 3 มิถุนายน 2565 ค่ายเพลงเริ่มแชร์ข่าว และโพสเรื่องพอร์ส ในช่องทางของตน โดยแจ้งกับสื่อหลายๆ สำนัก ว่า ศิลปินของค่ายตน ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้ไม่เคยพูดถึงน้องพอร์ส มาก่อน และ ก่อนหน้านี้มีนักร้องรุ่นใหญ่แต่งเพลงให้พอร์ส แต่ทางค่ายก็ปฏิเสธ แต่หลังจากเป็นข่าวดังทางค่ายโทรกลับไปหานักร้องคนดังกล่าวว่าตกลงเอาเพลงนั้นให้น้องพอร์สร้อง
ทางค่ายรู้ดีว่าคุณพ่อน้องพอร์สพยายามจะยกเลิกสัญญา โดยทุกครั้งคุณพ่อจะบอกว่าเพราะทางค่ายไม่เคยส่งเสริมหรือต้องการปั้นน้องพอร์สจริง ทางค่ายจึงเอารูปที่เคยถ่าย shooting เมื่อ 1 ปีที่แล้ว มาลงโปรโมทว่าพอร์สคือศิลปินคนต่อไปของค่าย เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2565 เพื่อจะได้บอกสื่อว่าตนได้เตรียมให้น้องพอร์สเป็นศิลปินของค่ายและมีค่าใช้จ่ายมาเยอะแล้ว ซึ่งไม่เป็นความจริงเลย
ค่ายไม่เคยส่งเสริมหรือฝึกฝนน้องพอร์สเพื่อเป็นศิลปินแต่อย่างใด แม้แต่ตอนน้องไปร้องเพลงเปิดหมวก หรือทำกิจกรรมให้ทางค่าย หรือออกงานในนามของสนับสนุนอุปกรณ์ดนตรี หรือเครื่องแต่งกายใดๆให้น้องพอร์สเลย สิ่งที่ค่ายมักจะทำคือ ให้น้องพอร์สถ่ายสินค้าให้กับทางค่ายโดยแลกกับเงินเพียงน้อยนิดเท่านั้น
โดยค่ายได้โทรไปหาสปอนเซอร์ หรือผู้สนับสนุนของวงทุกคนอ้างว่า น้องพอร์สมีสัญญากับทางค่าย จะติดต่องานอะไรก็แล้วแต่ จะต้องผ่านค่าย ก่อน และจะเก็บเปอร์เซ็นต์ทุกงานที่เกี่ยวข้องกับน้องพอร์ส ซึ่งทางค่ายเคยไปเก็บเงินห้างนึงเป็นจำนวน 30,000 บาทด้วย
“ หลังจากนั้นน้องพอร์ส เพื่อนๆในวงและครอบครัวได้มาหาผม เพื่อปรึกษาว่าจะทำอย่างไรต่อไป หมดได้ตรวจสอบสัญญาที่ค่าย EXP ทำกับน้องพอร์สแล้ว คือสัญญาฉบับนี้ทำขณะที่พอร์สเป็นผู้เยาว์ จึงต้องได้รับความยินยอมจากคุณพ่อน้องก่อน เมื่อดูสัญญานี้อย่างถี่ถ้วนแล้ว สัญญานี้ส่วนใหญ่ให้สิทธิและประโยชน์กับค่าย EXP แต่เพียงฝ่ายเดียวไม่ได้มีระบุเลยว่าทางค่าย จะต้องให้สิทธิและประโยชน์กับน้องพอร์ส เท่าไหร่ หรือเมื่อใด
น้องพอร์สจึงไม่อาจรู้ได้เลยว่าตัวเองจะมีรายยังไง เลยไม่สามารถเรียกร้องให้ค่ายจ่ายเงินหรือผลประโยชน์ให้กับน้องพอร์สได้ เพราะในสัญญาไม่ได้ระบุเอาไว้ว่าค่ายจะต้องจัดหางาน หรือจ่ายเงินเมื่อใด ผมถือว่าสัญญานี้มีแต่ให้ผลประโยชน์กับค่ายเพียงฝ่ายเดียว “
นายษิทรา กล่าวต่อว่า แต่ในทางกลับกัน ค่ายกลับได้ประโยชน์จากน้องพอร์ส นับตั้งแต่เซ็นสัญญา สัญญาลักษณะนี้จึงเข้าลักษณะของสัญญาที่ไม่เป็นธรรม และเมื่อสัญญานี้มีลักษณะจำกัดสิทธิ ปิดกั้นโอกาส ทำให้น้องพอร์สเกิดความยากลำบากในการรับงานต่างๆที่ตนเองจะมีรายได้ และที่สำคัญการที่น้องพอร์ส และเพื่อนๆโด่งดังขึ้นมาได้ ไม่ได้เกิดจากผลงานของทางค่าย แต่เกิดจากความสามารถเฉพาะตัวของน้องพอร์สทั้งสิ้น
“การที่ค่ายออกมาอ้างถึงข้อสัญญาต่างๆ จึงมีลักษณะเอาเปรียบเด็ก และมีเจตนาที่จะมุ่งแต่ขอส่วนแบ่งรายได้ของน้องพอร์สเป็นหลัก จึงทำให้น้องพอร์สซึ่งเป็นผู้เยาว์นั้น เสียหาย เสื่อมเสีย เสียโอกาส และเสียรายได้ รวมถึงเป็นอุปสรรคต่อการเจริญก้าวหน้าในอาชีพนักดนตรี จึงเข้าลักษณะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 27 วรรค 3 ที่คุณพ่อซึ่งเป็นผู้แทนโดยชอบธรรม สามารถบอกเลิกความยินยอมในการที่ผู้เยาว์ทำสัญญาได้ และผมได้ทำหนังสือไปถึงค่าย EXP บอกเลิกความยินยอมไปเรียบร้อยแล้วตั้งแต่เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา ดังนั้น ก่อนหน้านี้ที่น้องพอร์สติดสัญญาค่าย 3 ปี เป็นการยกเลิกสัญญาตามกฎหมายแล้ว ไม่ได้ติดสัญญากับใครแล้ว สามารถรับงานได้อย่างอิสระ “ นายษิทรา กล่าว
ทั้งนี้ หลังจากนี้หากค่ายมีการแถลงข่าว หรือให้ข่าว ในลักษณะทำให้น้องพอร์สเสียหาย สำนักงาน Sittra Law Firm จะดำเนินการทั้งทางแพ่งและอาญาจนถึงที่สุด
ด้าน นายนรากร กล่าวว่า ก่อนหน้านี้รู้สึกเราเหมือนไม่มีตัวตน พอเราไปเล่นสยามกับเพื่อน ๆ เป็น กระแสขึ้นมา เรารู้สึกว่าค่ายรักเรามากขึ้น เร่งทำเพลงให้เสร็จ ทุกอย่างเกิดขึ้นไวมาก จากที่แต่ก่อนหน้านี้แทบจะไม่มีการซัพพอร์ตอะไรเลย ตนมองว่าไม่ได้พลาด แต่เกิดจากความไม่รู้มากกว่า
สิ่งที่ทำให้ตนรู้สึกเสียความรู้สึกมาก ๆ เริ่มต้นจากเรื่องมหาวิทยาลัย ทางค่ายบอกว่าจะมีมหาวิทยาลัยให้ เมื่อเกรดตนไม่ถึง ทางค่ายบอกให้ไปเรียนเอกชนเอาแล้วทิ้ง ไม่สนใจ เมื่อบอกให้ช่วยดู เขาก็ส่งข้อมูลเกี่ยวกับทุน และให้เราไปหาข้อมูลเอง ทำให้เรารู้สึกไม่ดีและเริ่มอยากอยากจะออกจากค่ายตั้งแต่ตอนนั้น
สำหรับประเด็นที่มีศิลปินชื่อดังแต่งเพลงมาให้แล้วทางค่ายปฏิเสธนั้น เมื่อเพลงออกมา ทางค่ายไม่ชอบเพลง จึงให้ไปแก้เนื้อและแก้เพลงใหม่ พอเวลาผ่านไป ตนรู้นึกว่ามันนานมาก จึงทักไปหาศิลปินท่านนั้นส่วนตัวเพื่อสอบถาม แต่ทางศิลปินบอกว่าทางค่ายไม่เอาเพลง แต่ต่อมา วันที่ 3 มิถุนายน ที่เกิดปรากฏการณ์ที่สยาม ทางค่ายติดต่อไปยังศิลปินท่านนั้นเพื่อซื้อเพลง
โดยหลังจากที่เป็นข่าว ทางค่ายก็ไม่ได้มีการติดต่อมาทางตนเลย และตอนนี้ ตนก็ไม่มีสังกัด สามารถรับงานได้อย่างอิสระแล้ว ซึ่งตนรู้สึกสบายใจมาก ที่จะได้ทำตามฝันและทำตามสิ่งที่ตัวเองรักกับเพื่อน ๆ ยอมรับว่ามีความกังวลเรื่องแสดงความคิดเห็นของสังคม แต่คนน้อมรับทุกความคิดเห็น อันไหนที่ไม่ดีก็พร้อมที่จะแก้ไขและปรับปรุงต่อไป