เปิดความลับมัดใจชาย "แม่หยัว" สตรีที่โยนี มีกลิ่นหอม รสหวาน จนเหล่าภมรดอมดม
เปิดความลับมัดใจชายของ "แม่หยัว" สตรีที่โยนี (อวัยวะเพศ) มีกลิ่นหอม รสหวาน จนเหล่าภมร ( ผึ้ง ผีเสื้อ แมลงต่างๆ) มาดอมดม แม่หยัวคือหญิงเดียวในพงศาวดารแห่งกรุงศรีอยุธยายุคมืด ที่ถูกกล่าวขวัญมากที่สุด
"แม่หยัว" ซีรีส์ย้อนยุคใหม่แกะกล่อง ที่ถ่ายทอดเรื่องราวของ "ท้าวศรีสุดาจันทร์" พระสนมเอก ในสมเด็จพระไชยราชาธิราช กษัตริย์แห่งกรุงศรีอยุธยา หลายคนน่าจะรู้จักชื่อเสียงเรียงนาม สตรีที่ปรากฏในหลักฐานทางประวัติศาสตร์ จนถูกนำมาสร้างเป็นภาพยนตร์ ไม่ว่าจะเป็นในเรื่อง กบฏท้าวศรีสุดาจันทร์ (2548) ล่าสุด ปี 2567 การกลับมาในรูปแบบซีรีส์ฟอร์มยักษ์ แนวพีเรียด อิงประวัติศาสตร์ กำกับโดย "สันต์ ศรีแก้วหล่อ" เขียนบทโดย "ศิริลักษณ์ ศรีสุคนธ์" สะท้อนอีกมุมมองที่ลึกซึ้ง ชีวิตที่ไม่เคยมีใครได้เห็น แต่หากมองย้อนไปในอดีต ท้าวศรีสุดาจันทร์ ถือเป็นผู้ที่มีบทบาทสำคัญบนหน้าประวัติศาสตร์ไทยสมัย "ยุคมืด" ของกรุงศรีอยุธยา ที่ปรากฏการเข่นฆ่าเพื่ออำนาจมากมาย
อีกหนึ่งเรื่องราวที่ถูกพูดถึงมาตั้งแต่ในอดีตจนถึงปัจจุบันว่า ท้าวศรีสุดาจันทร์ เป็นสตรีที่มหัศจรรย์มาก โยนี (อวัยวะเพศ) มีกลิ่นหอมตั้งแต่แรกเกิดจนผึ้งและแมลงต่าง ๆ ต้องมาดอมดม น้ำที่ไหลออกจากโยนีมีรสหวานคล้ายน้ำตาลสด (บิดา-มารดาลองชิมดู) โตเป็นสาวมีระดูๆ ก็หอม ตอนถูกประหารชีวิต ก็พบว่า โยนี เกลี้ยงเกลา ไม่มีโลมา (ขน) แม้เพียงสักเส้น
ย้อนกลับไปก่อนที่จะเป็นเจ้าแม่อยู่หัวศรีสุดาจันทร์ มีชื่อเดิมว่า บัวผัน ถือกำเนิดจากคนสามัญในครอบครัวยากจนแสนเข็ญ บิดามารดาอยู่ที่บ้านนาเกลือปากน้ำเจ้าพระยา ตำบลสาขลา แขวงเมืองพระประแดง เมื่อแรกเกิด บัวผันก็เริ่มมีนิมิตที่ไม่เป็นมงคลเสียแล้ว พอตกฟากก็เกิดแผ่นดินไหว ต่อมาก็เกิดไฟไหม้เผาหมู่บ้านทั้ง 50 หลังวอด พอ 1เดือนโกนผมไฟตามประเพณี ฟ้าก็ผ่าลงมาที่ต้นไม้ใหญ่ข้างบ้าน หักโค่นลงมาทับบ้าน ต้องไปปลูกกระท่อมพออาศัย ในแผ่นศิลาที่จารึกเรื่องราวของศรีสุดาจันทร์ ได้บรรยายความมหัศจรรย์ในเรือนร่างของนางตั้งแต่เล็กไว้ว่า
“...ครั้นอำแดงบัวผันมีอายุ ๓ เดือนนอนอยู่ในเมาะ มีแมลงผึ้ง แมลงชันโรง แมลงวัน มารุมตอมโยนีกุมารีนั้นเป็นกลุ่ม บิดามารดาต้องให้เด็กนอนในมุ้งเสมอๆ เมื่ออำแดงบัวผันโตขึ้นมาหน่อย มารดาเอามานอนกลางแจ้ง พวกผึ้ง แมลงภู่ แมลงชันโรง และแมลงวัน ต่างก็มารุมตอมโยนีมากขึ้นกว่าเดิมอีก บิดามารดามีความสงสัยจึงลองดมที่โยนี โยนีมีน้ำใสๆไหลออกมา น้ำที่ไหลออกมามีกลิ่นหอมคล้ายดอกพิกุลแห้ง บิดามารดาไม่มีความรังเกียจในบุตร จึงลองชิมน้ำที่ไหลออกมาจากโยนี น้ำนั้นหอมหวานเหมือนน้ำตาลสด โคกโยนีมีลักษณะเหมือนปุ่มฆ้อง โยนีโตเท่ากำปั้น คล้ายหอยโข่ง รูปโยนีไม่รีเหมือนใบพลู มีรอยขีดยาวนิดหน่อย เมื่อแย้มรอยขีดออกจึงมีช่องกลมคล้ายกระบอกไม้ไผ่ เมื่ออำแดงบัวผันร้องไห้ เสียงร้องนั้นคล้ายเสียงแตรสังข์ ยามใดที่มีเหงื่อออกตามตัว กลิ่นเหงื่อจะหอมเหมือนกลิ่นข้าวใหม่ กลิ่นตัวตามธรรมชาติจะเหมือนกลิ่นดอกชำมะนาด...”
เมื่อบัวผันโตขึ้น ความงามของนางก็ยิ่งเด่นชัดขึ้นทุกวัน ใบหน้าเป็นรูปไข่ คิ้วโก่งสุดหางตา ดวงตาคมกลมดำเป็นมันเหมือนมณีนิล จมูกโด่งเรียวงามดังคันศร เมื่อใดที่นางยิ้ม แก้มทั้งสองจะปรากฏลักยิ้ม แก้มทั้งสองมีสีราวมะปรางสุก แต่ในความอัปมงคลของบัวผัน กลับมีความมหัศจรรย์แฝงอยู่ในเรือนกายอย่างที่หญิงอื่นไม่มี ความพิเศษในเรือนร่างและกลิ่นกายของนางนี้ ทำให้ชายใดที่ใกล้ชิด ไม่อาจยับยั้งอารมณ์กามพิศวาสไว้ได้ นมมีน้ำใสๆไหลออกมาบางคราว มีกลิ่นหอมคล้ายดอกพิกุล เมื่อบัวผันเริ่มมีระดู ระดูนั้นมีกลิ่นคล้ายคล้ายดอกพิกุลแห้ง แม้แต่ผ้าที่เปื้อนโลหิตระดู เมื่อซักด้วยน้ำแล้วนำไปตาก จะมีแมลงภู่ผึ้ง แมลงชันโรง แมลงวัน มาตอมเป็นกลุ่ม สูบกลิ่นหอมหวานโลหิตติดผ้านั้นทุกคราวตากผ้า
ความมหัศจรรย์ในความงามของบัวผันร่ำลือไปทั้งตำบล จนกำนันรายงานรูปลักษณ์อย่างละเอียดไปยังเจ้าเมืองพระประแดง ซึ่งได้ส่งต่อไปยังกรุงศรีอยุธยา นำความขึ้นกราบบังคมทูลให้ทรงทราบ เหมือนได้พบช้างเผือกฉะนั้น สมเด็จพระอัครมเหสีรับสั่งให้นำบัวผันมาเข้าเฝ้า และทรงเมตตารับเลี้ยงไว้ บัวผันรับใช้ใกล้ชิดเบื้องพระยุคลบาทจนวัยล่วงเข้า ๑๔-๑๕ สมเด็จพระไชยราชาจึงยกขึ้นเป็นเจ้าจอม อยู่งานพระสนมเอก พระราชทานชื่อใหม่ว่า “นางศรีจันทร์” เพราะผิวเนื้อของนางละเอียดนวลเป็นสีเหลืองเหมือนสีผลจันทร์สุก ทั้งกลิ่นกายก็ยังหอมรัญจวนพระราชหฤทัย จึงโปรดปรานนางศรีจันทน์ยิ่งกว่าพระสนมองค์อื่นๆ สิ่งที่ปรากฏในเรือนกายของบัวผัน ทั้งรูปลักษณ์และกลิ่นกายนี้ ไม่เพียงแต่ทำให้ชายที่ใกล้ชิดนางต้องหลงใหลเท่านั้น นางเองก็มีความเร่าร้อนต้องการชายมาสนองอารมณ์จนไม่อาจยับยั้งชั่งใจ จึงได้ก่อเรื่องบัดสีผิดประเวณีไว้อื้อฉาวในประวัติศาสตร์
ที่มาอ้างอิง - โรม บุนนาค / PODCODE / pasasiam