"เชน ธนา" เปิดโกดังโชว์สินค้าหมดอายุ 4.9 ล้านซอง พร้อมชี้แจงข้อเท็จจริง
บริษัทอมาโด้ ของ "เชน ธนา" ได้ส่งหนังสือชี้แจง หลังถูกกล่าวหากระทำผิดฐานฉ้อโกง พร้อมเปิดโกดังโชว์สินค้าหมดอายุ
โดยหนังสือชี้แจงมีเนื้อหาระบุว่า.. ตามที่ ข้าพเจ้า บริษัท อมาโด้ กรุ๊ป จำกัด โดยนายธนาตรัยฉัตร ภูโชคอนันต์ กรรมการ ได้มีข้อพิพาทเกี่ยวกับสินค้าที่ปรากฏขึ้นอยู่ในข่าว หรือสื่อสังคมออนไลน์หลายสำนัก โดยข้าพเจ้าถูกกล่าวหาว่าได้กระทำผิดฐานฉ้อโกงนั้น ไม่เป็นความจริงแต่อย่างใด จึงขออนุญาตชี้แจงข้อเท็จจริงต่อสื่อมวลชนทุกท่าน เพื่อให้เกิดความเข้าใจข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น โดยมีรายละเอียดดังต่อไปนี้
ตลอดเวลากว่าสิบปีที่ผ่านมา ได้ดำเนินธุรกิจขายสินค้าด้วยความซื่อสัตย์สุจริต และไม่เคยทำให้ประชาชนได้รับความเสียหายแต่อย่างใด ซึ่งทุกคนได้รับสินค้าที่มีคุณภาพที่ดี และเชื่อมั่นว่าผู้บริโภคมีความไว้วางใจในสินค้าของข้าพเจ้า
ส่วนปัญหาข้อพิพาทที่เกิดขึ้นนั้น เป็นเรื่องระหว่างข้าพเจ้ากับคู่กรณี ซึ่งสื่อมวลชนทุกท่านคงเข้าใจว่า หากสินค้ามีคุณภาพและเป็นไปตามที่ตกลงกัน ก็ไม่มีเหตุผลอันใดที่ข้าพเจ้าจะไม่ชำระราคา ค่าสินค้ากับคู่กรณี หรือไม่นำสินค้าไปจำหน่ายให้แก่ผู้บริโภค
ซึ่งกรณีพิพาทนี้ เมื่อวันที่ 17 ก.ค. 63 ข้าพเจ้าได้รับการติดต่อจากคู่กรณีเพื่อนำเสนอเกี่ยวกับสินค้า คือ บีฟิน่า (ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ประเภทโพรไบโอติกส์) พร้อมกับนำเสนอสรรพคุณของสินค้าว่า มีความโดดเด่นกว่าสินค้าทั่วไปในประเภทเดียวกันที่วางขายในท้องตลาด
จากนั้น วันที่ 13 พ.ย. 63 ข้าพเจ้าได้เริ่มสั่งซื้อสินค้ากับคู่กรณี แต่คู่กรณีมีการขอขยายเวลาจัดส่งหลายครั้ง จนในวันที่ 10 ก.พ. 64 ข้าฯ จึงได้สรุปยอดสั่งซื้อสินค้าจำนวน 3,000,000 ซอง และได้รับสินค้าล็อตแรกในวันที่ 1 มี.ค. 64 จำนวน 85,000 ซอง จากนั้นข้าพเจ้าได้เปิดตัวขายสินค้าครั้งแรกในวันที่
3 มี.ค. 64 ปรากฏว่า สินค้าดังกล่าวได้รับความสนใจจากตัวแทนจำหน่ายหรือผู้บริโภคเป็นอย่างดี ซึ่งข้าพเจ้าคาดว่า สินค้าที่สั่งซื้อครั้งนั้นไม่เพียงพอต่อความต้องการซื้อในอนาคต ซึ่งการสั่งซื้อสินค้าต้องใช้เวลาจัดส่งประมาณ 5 เดือน เนื่องจากต้องนำเข้าจากต่างประเทศ ทำให้ในวันที่ 9 มี.ค. 64 ข้าพเจ้าจึงสั่งซื้อสินค้าเพิ่มในล็อตที่สองจำนวน 4,500,000 ซอง สำหรับจำหน่ายต่อไป โดยคู่กรณีได้ทยอยจัดส่งสินค้า และข้าพเจ้าได้ทยอยชำระราคาตามที่ตกลงกันตลอดมา โดยข้าพเจ้าชำระเงินสำหรับสินค้าล็อตแรกจนครบถ้วนแล้ว และชำระในล็อตที่สองไปบางส่วนแล้วเป็นเงินประมาณหกล้านบาทเศษ
แต่ในช่วงวันที่ 24 มี.ค. 64 เป็นต้นมาได้มีข้อพิพาทระหว่างข้าพเจ้ากับคู่กรณีเกิดขึ้น เพราะข้าข้าพเจ้าเพิ่งทราบว่าสินค้าที่ได้รับ มีสรรพคุณ ไม่ตรงตามที่ได้พรรณนาไว้ และไม่สามารถขอใบอนุญาตโฆษณาได้ ส่งผลให้ข้าพเจ้า ไม่สามารถโฆษณาและจำหน่ายสินค้าได้อย่างเต็มที่ จากนั้นข้าพเจ้ากับคู่กรณีได้หารือและเจรจาหาแนวทางในการแก้ไขปัญหาดังกล่าวตลอดมา แต่ก็ไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้
จากนั้นเมื่อวันที่ 29 ก.ค. 65 คู่กรณีกลับส่ง หนังสือทวงถาม (ครั้งแรก) ให้ข้าพเจ้าชำระหนี้ค่าสินค้า ต่อมาในวันที่ 8 ส.ค. 65 ทั้งสองฝ่ายได้นัดประชุมหาแนวทางการแก้ไขปัญหาดังกล่าวแต่ไม่สามารถตกลงกันได้ โดยในวันถัดมา คู่กรณีกลับส่งหนังสือทวงถาม (ครั้งที่สอง) ให้ข้าพเจ้าชำระหนี้ค่าสินค้า ในวันที่ 16 ส.ค. 65 ข้าพเจ้าจึงมีหนังสือตอบกลับไปยังคู่กรณีเพื่อให้ดำเนินการแก้ไขสินค้าให้ตรงตามคำพรรณนาที่ได้ตกลงกัน ภายใน 30 วัน หากเพิกเฉยข้าพเจ้าขอสงวนสิทธิในการบอกเลิกสัญญา โดยจะคืนสินค้าทั้งหมดพร้อมกับเรียกค่าเสียหายอื่น ๆ ตามกฎหมายต่อไป แต่คู่กรณีก็ไม่ได้มารับสินค้าคืนแต่อย่างใด
จากนั้นในวันที่ 24 ส.ค. 65 ข้าพเจ้าจึงมีหนังสือแจ้งเตือนอีกครั้ง เพื่อให้คู่กรณีทำการแก้ไขภายในกำหนดระยะเวลาเดียวกันกับหนังสือแจ้งเตือน ฉบับลงวันที่ 16 ส.ค. 65 แต่เมื่อครบกำหนด คู่กรณีก็ยังไม่แก้ไขหรือมารับสินค้าคืนเช่นเดิม ดังนั้น ในวันที่ 25 ต.ค. 65 ข้าฯ จึงได้ฟ้องคู่กรณีต่อศาลแพ่งกรุงเทพใต้ ในข้อหาผิดสัญญาซื้อขาย เลิกสัญญา และขอให้คู่กรณีรับสินค้าทั้งหมดคืน
ซึ่งหลังจากที่ข้าพเจ้าได้ยื่นฟ้องคดีจนถึงปัจจุบัน คู่กรณีก็ยังคงไม่มารับสินค้าดังกล่าวคืน นอกจากนี้ ศาลชั้นต้นก็ได้มีคำพิพากษาแล้วว่า เป็นเพียงกรณีการผิดสัญญาซื้อขายสินค้า โดยขณะนี้คดีอยู่ในระหว่างพิจารณาของศาลอุทธรณ์
ด้วยเหตุผลข้างต้น จึงเป็นเพียงการผิดสัญญาทางแพ่ง โดยข้าพเจ้าไม่ได้มีเจตนาฉ้อโกงแต่อย่างใด ข้อมูลดังที่ปรากฏในข่าว จึงไม่มีมูลความจริง ซึ่งปัจจุบันสินค้าดังกล่าวก็ยังอยู่ในคลังสินค้าของข้าพเจ้าจำนวน 4,904,202 ซอง หากข้าพเจ้ามีเจตนาฉ้อโกงโดยการหลอกให้คู่กรณีส่งมอบสินค้า และนำไปขายแล้ว ก็คงไม่ปรากฏสินค้าดังกล่าวแต่ประการใด ขอแสดงความนับถือ นายธนาตรัยฉัตร ภูโชคอนันต์ กรรมการบริษัท