
กวนมึนโฮ
ถ้าพล็อตแบบ Boy Meet Girl และมุก ความบังเอิญ ที่เกิดขึ้นในหนัง จะกลายเป็นความสำเร็จครั้งมโหฬารของ รถไฟฟ้ามาหานะเธอ รอยทางแห่งความสำเร็จ กำลังจะเดินย้อนกลับมาอีกครั้งในหนังรักที่ชื่อ กวนมึนโฮ
ถ้าสาวหมวยหน้าตาธรรมดาๆอย่าง ‘เหมยลี่’ จะมาพบรักกับ ‘ลุง’ วิศวกรหนุ่มหล่อลากไส้ในค่ำคืนหนึ่งภายใต้เมืองใหญ่อย่างกรุงเทพมหานครได้ ก็ไม่ต้องแปลกใจว่า ไอ้หนุ่มหน้าตาและนิสัยเถื่อนๆ ก็มีโอกาสมาพบรักกับหญิงสาวหน้าตาสดใสน่ารัก ณ ใจกลางกรุงโซล เกาหลีใต้ได้เช่นกัน
ทั้งนี้ทั้งนั้น ‘ความบังเอิญ เกินคาดเดา’ ของ “รถไฟฟ้ามาหานะเธอ” นี่แหละ ที่พาฝันของคนดูล่องลอยกระเจิดกระเจิงไปไกลลิบ จนกวาดรายได้ไปร่วมร้อยล้านบาท (แน่นอนว่า อาจจะรวม “กวนมึนโฮ” เข้าไปอีกเรื่องก็ได้)
สูตรสำเร็จของหนังรักในแบบ GTH อีกอย่างคือ จังหวะและมุกตลกในหนังที่เล่าออกมาแบบทีเล่นทีจริง มีลีลากระเดียดไปทางการ์ตูนในบางจังหวะ เห็นชัดๆก็ในฉาก ‘เหมยลี่’ ตะลึงกับความหล่อของ ‘ลุง’ ใน “รถไฟฟ้ามาหานะเธอ” พอมาถึง “กวนมึนโฮ” ฉากที่ ‘ชายหนุ่ม’ (‘เต๋อ’ ฉันทวิชช์ ธนะเสวี) สรรหาสารพัดอุปกรณ์มาทำลายกุญแจรักของ ‘หญิงสาว’ (‘หนูนา’ หนึ่งธิดา โสภณ) ก็มีลีลาออกมาในทางเดียวกัน คือเอาสนุก เน้นฮา ไม่จำเป็นต้องหาเหตุผลที่มาที่ไปให้รกสมอง
ตลอดเวลาร่วมชั่วโมง ที่หนังเล่นเอาล่อเอาเถิดกับการตระเวนท่องเกาหลีเพียงลำพังของคู่หนุ่มสาว ที่ต่างใช้ชีวิตซึ่งหวุดหวิดจะเรียกว่า ‘หลุดโลก’ ไปแล้ว โดยไม่สนใจใคร ที่สำคัญทั้งเขาและเธอต่างปฏิเสธที่จะทำความรู้จักกันและกัน หนังจึงออกอาการเมามันที่ทั้งห่าม ทะเล้น เต็มไปด้วยสีสัน และครั้นเมื่อความสัมพันธ์ของทั้งสองกระชับเกลียวจากแค่คนร่วมทาง มาเป็นเพื่อนสนิท และลามเลียถึงขั้นคู่รัก ก็กลับมีเหตุให้ต้องจากลากันไปเสียก่อน
ในช่วง 30 นาทีสุดท้าย “กวนมึนโฮ” ดูเหมือนจะออกอาการ ‘มึน’ เหมือนชื่อเรื่อง เมื่อหาทางจบไม่ลง แต่สุดท้าย ‘มุก’ บางอย่างที่หนังทิ้งไว้ระหว่างทาง ก็ถูกนำกลับมาใช้ประโยชน์อีกครั้ง และนำไปสู่บทสรุปลงเอยได้อย่างสวยงาม ลงตัว จนหลายคนแอบถอยหายใจเฮือกใหญ่
นี่คือหนังที่ใช้ประโยชน์จากสองนักแสดงหลักได้อย่างเต็มศักยภาพและคุ้มค่าที่สุดครับ ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อล่ะว่า ตัวละครแค่สองคนคือ ‘เต๋อ’ กับ ‘หนูนา’ จะกุมน้ำหนักและทิศทางในหนังได้อยู่หมัด สามารถนำพาหนังไปได้ตลอดรอดฝั่งอย่างงดงาม แถมยังสนุกเอาเรื่อง เสน่ห์ของทั้งคู่มากจนถึงขั้นล้น เชื่อว่าไม่มีใครที่ไม่หลงรักคนคู่นี้ นั่นหมายถึงว่าอนาคตทางการแสดงของทั้งคู่ น่าจะไปได้ไกลทีเดียว
แม้จะสร้างตัวละครที่มีบุคลิกต่างกันสุดขั้ว แต่ต้องมาตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกัน ซ้อนทับด้วยการตั้งเงื่อนไขในแบบ ห้ามทำความรู้จักกัน(แม้กระทั่งชื่อ-แซ่) ก็ไม่อาจทำให้ “กวนมึนโฮ” เดินห่างออกจากคำว่า ‘เชย’ ไปได้แต่อย่างใด และแม้ความสัมพันธ์ในแบบพ่อแง่แม่งอนจะยังซ้ำรอยกับหนังอีกหลายร้อยพันเรื่อง แต่การแสดง จังหวะของหนัง มุกตลกหลายๆ อย่าง กลับทำให้เรามองข้ามความซ้ำซากเหล่านั้น บรรยากาศของสภาพบ้านเมืองที่แตกต่าง ผู้คนที่รายล้อม ล้วนขับเน้นให้คนแปลกหน้าระหว่างกันคู่นี้ โดดเด้ง ดึงดูด จูงคนดูให้ใกล้ชิดผูกพันกับพวกเขามากขึ้น (แน่นอนว่า ต้องได้นักแสดงที่เก่ง ผู้กำกับที่ฝีมือถึง จึงจะเอาอยู่)
หลายๆเหตุการณ์ในหนัง แม้ดูเหมือนจะจงใจใส่เข้ามาให้เกิดความ ‘บังเอิญ’ จนดูไม่น่าเชื่อ แต่พอผ่านไปสักพัก รายละเอียดที่ประเคนตามมา ก็ทำให้คนดูคล้อยตามจนอินไปด้วยในที่สุด มองเผินๆดูเหมือนหนังจะพยายาม ‘เกาะ’ กระแสเกาหลีฟีเวอร์ แต่เอาเข้าจริง ความแข็งแรงทางการแสดง การวางจังหวะจะโคน และพล็อตที่เน้นความสัมพันธ์ของตัวละครมากกว่ามุ่งทัศนาความแปลกตาของการอยู่ต่างบ้านต่างบ้านเมือง รวมทั้งความแม่นยำของงานกำกับ ก็ทำให้หนัง “กวนมึนโฮ” ไปได้ไกลกว่าหนังรักโรแมนติคธรรมดาๆ หรือหนังรักขายวิวสวยๆ ทั่วไป ซึ่งเป็นข้อพิสูจน์ได้ว่า กระแสเกาหลีฟีเวอร์ใช่ว่าจะขายได้เสมอไป เพราะถ้าบทหรือการแสดงไม่แข็งแรงก็จบ (เหมือนตัวอย่างที่เกิดขึ้นกับหนังไทยเรื่องหนึ่ง ที่เพิ่งออกฉายก่อนหน้านี้ไม่นาน แม้จะยกกองไปถ่ายทำที่เกาหลีเกือบทั้งเรื่อง ชื่อหนังก็ล้อมาจากภาษาเกาหลี มีดารานักร้องเกาหลีร่วมแสดง แต่หนังกลับไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร) แต่สำหรับ “กวนมึนโฮ” แล้ว หนังเรื่องนี้น่าจะเจาะคนดูได้ถึงสองกลุ่มในเวลาเดียวกัน หนึ่งคือเหล่าสาวกเค-ป๊อป สองคอหนังรักตลก อาจรวมไปถึงแฟนคลับของจีทีเอชด้วย
พล็อตกวนๆ ของหนัง บวกกับการแสดงอันโดดเด่น ประกอบภาพสวยๆ คลอเคล้าด้วยเสียงเพลงเพราะๆ จึงไม่ใช่เรื่องเกินความคาดหมายเท่าใดหนัง หาก “กวนมึนโฮ” จะประสบความสำเร็จในเวลาอันรวดเร็วเรื่องหนึ่งของปีนี้ และน่าจะขึ้นแท่นหนังไทยที่ทำรายได้ทะลุร้อยล้านเรื่องแรกของปี (จริงๆ ซะที)
ชื่อเรื่อง : กวนมึนโฮ
ผู้เขียนบท : บรรจง ปิสัญธนะกุล, ฉันทวิชช์ ธนะเสวี, นนตรา คุ้มวงศ์
ผู้กำกับ : บรรจง ปิสัญธนะกุล
นักแสดง : ฉันทวิชช์ ธนะเสวี, หนึ่งธิดา โสภณ
เรตติ้ง : น. 15+ ภาพยนตร์ที่เหมาะสมกับผู้ชมอายุ 15 ปีขึ้นไป
วันที่เข้าฉาย : 19 สิงหาคม
"ณัฐพงษ์ โอฆะพนม"