บันเทิง

Meet The Parent 3 “กร่อย” และ “เสียฟอร์ม”

04 ก.พ. 2554

ปีเสือดุที่ผ่านไปนั้น เวลาต้องจัดอันดับหนัง สรุปภาพยนตร์ในตอนสิ้นปีนั้น ผมจำได้ว่าตัวเองเลือกหนังไทยอย่าง “สุดเขตสเลดเป็ด” เป็นหนังเรียกเสียงฮาที่สุด เหมือนกับที่เมื่อ 2-3 ปีก่อน ผมเลือก “กังฟู แพนด้า” เป็นการ์ตูนที่สนุกสนาน มากกว่าหนังค่ายดิสนีย์หลายเรื

 น่าสนใจว่าทั้งๆ ที่สองภาคแรกนั้น ตัวพล็อตวางตัวเองอย่างชัดเจนให้เป็น pattern comedy แบบที่สุดเขตสเลดเป็ดใช้ แต่มันสามารถทำให้คนดูฮากลิ้งได้ตลอดเวลา จนผมรู้สึกว่าเอาการแสดงของ เบน สติลเลอร์ ภาคแรกมาประกบกับ แจ๊ค แบล็ค ใน school of rock แล้ว

 “เบน” ก็กิน “แจ๊ค” อยู่ดีในความตลก

 นี่เป็นเหตุผลที่ว่าทำไมแฟนๆ ของ Meet The Parent 3 ถึงรู้สึกว่าอยากดูหนังภาคที่สามของซีรีส์ลูกเขยพ่อตา และไม่แปลกใจเลยว่า ในวันที่ฉายรอบสื่อเรื่องนี้ แม้จะมีหนังเรื่องอื่นๆ เป็นตัวเลือก แต่คนทำงานสื่อหลายคนก็เลือกไปดูเรื่องนี้แทน

 หลังจากการแต่งงานผ่านพ้น หลังจากการผูกสัมพันธ์ผ่านไป ทีนี้พล็อตก็ต้องมาสนุกกับการอยู่ร่วมกันระหว่างคนสามรุ่นในเทศกาลคริสต์มาส (ดังที่เราจะเห็นได้ว่า ในหนังมีเรื่องของเทศกาลอยู่อย่างชัดเจน ซึ่งเป็นความผิดพลาดเหมือนกัน ที่หนังฉายในไทยเอาเกือบจะตรุษจีน)


 พล็อตหนังใช้เวลาอยู่นานมากที่จะเข้าสู่เนื้อหา แต่มันไม่สำคัญว่า ชั้นเชิงที่คมคายและมุกที่แหลมคมซึ่งเคยเป็นจุดขายของหนัง กลับไม่มีในหนังเรื่องนี้ เมื่อพิจารณาทีละส่วนจะพบว่า โครงสร้างของหนังมีความผิดพลาดที่สามารถทำให้คนดูเดาได้

 อีกทั้งฉากที่ต้องการใช้เป็นไม้ตายอย่าง “เข็มฉีดยา” ไม่ส่งแรงสั่นสะเทือนในวงกว้างแบบที่หนังทะเล้นๆ บางเรื่องเคยทำได้ (แม้แต่เทียบกับตัวเองในภาคแรก คนดูก็ยังขำเต็มที่)

 Meet The Parent 3 มีแต้มต่ออยู่มาก เมื่อเทียบกับหนังในตลาดเดียวกัน อย่าลืมว่า
เดอ นีโร ซึ่งเป็นจอมยุทธ์ในการเล่นหนังตลก ก็เคยพิสูจน์ตัวเองมากับ the king of comedy เพราะเขาต้องการหนีออกจากงานดราม่าหนักๆ หรือการมีนักแสดงอย่าง ดัสติน ฮอฟแมน มาถึง ฮาร์วีย์ ไคลเทล แค่นักแสดง 2-3 คนนี้น่าจะเป็นทีเด็ดของหนัง เพราะทั้งสามคนเป็นเซียนในการแสดง หรือเป็นพวกสินค้าเกรดเอ

 แต่แทนที่ “มือดี” จะช่วยกอบกู้หนัง มันกลายเป็นว่า นี่คือการรวมตัวของนักแสดงเกรดเอถึง 3 คน เพื่อเล่นหนังเกรดบีอันที่จริง เค้าโครงของเรื่องมีลักษณะของ sit-com สูง คือมีการแบ่งสัดส่วนของเนื้อหาออกมาอย่างกระจัดกระจาย ตั้งแต่ แจ๊ค เริ่มป่วน คิดมาก หนังก็สามารถเล่นกับสถานการณ์ได้ แต่มันตลกที่ว่าในการซอยออกของหนังนั้น จู่ๆ ความเป็น sit-com ก็เหลือแต่คำว่า com แต่ไม่มี sit
และเมื่อบทสนทนาขาดการเกลาคำที่ดี เลยทำให้อารมณ์ของหนังจืดชืด ไม่มีความสนุกสนานใดๆ ตลอดการดูหนัง และทำให้แง่มุมที่เหมือนจะแอบอยู่อย่างมีชั้นเชิง เช่นตัวเทศกาลเอย หรือคำพูดเกี่ยวกับศัพท์บางคำนั้น ถูกมองข้ามไปอย่างรวดเร็ว

 อย่างที่บอกแหละครับ ผมว่าการที่หนังได้ฉายไปแล้วในอเมริกาช่วงปลายปี และมันมีเรื่องคริสต์มาสอยู่ด้วย และเลทมาฉายในบ้านเราเอาปลายมกราคมนี้ มันทำให้อารมณ์ร่วมของคนดู หดหายไปด้วยผลประกอบโดยรวมจึงกลายเป็นว่า ขณะที่สองภาคแรกไปได้ถึงจุดที่น่าจดจำหนังภาคสามของเรื่องนี้ ถูกค่อนแคะจากคนดูบางคนว่า น่าจะได้ชิงราสเบอรีแห่งปี 2011 และเป็นหนังที่ผิดหวังเรื่องแรกของปีนี้

"นันทขว้าง สิรสุนทร"