สรุปให้แล้ว ปมดราม่า "ดาฮยอน Twice" - "ลิซ่า Blackpink" เหตุเพลง LALISA ซื้อ ads
สรุปให้แล้ว ปมดราม่า "ดาฮยอน Twice" VS "ลิซ่า Blackpink" เหตุเพลง LALISA ซื้อ ads งานนี้เสียงแตกออกเป็น 2 ฝั่ง ผุดแฮชแท็กร้อน #BlinkApologizetoDAHYUN
สำหรับดราม่าร้อนเกิดขึ้น เมื่อ "ดาฮยอน Twice" สมาชิกวงเกิร์ลกรุ๊ปชื่อดัง ถูกทัวร์ลงอย่างหนักจากบรรดา บลิ้ง แฟนคลับทางฝั่งเกิร์ลกรุ๊ปอีกวงอย่าง "Blackpink" เนื่องจากเพลง LALISA ของ "ลิซ่า Blackpink" เล่นขึ้นมาบนยูทูปขณะที่ดาฮยอนกำลังไลฟ์อยู่ โดยเธอดาได้บอกกับคนดูว่ามันเป็นโฆษณา ต้องรอจึงจะกดข้ามเพลงได้ เพราะเธอไม่ได้สมัครยูทูบพรีเมียม แต่บลิ้งทั้งหลายไม่เชื่อว่าเพลงนี้จะมีการยิงโฆษณา จึงคิดว่าไอดอลสาวนั้นกุเรื่องกล่าวขึ้นมา จากนั้นก็พากันไปถล่มไอจีของดาฮยอนจนระอุไปทั่วโซเชียล
เรียกว่าเหตุการณ์ดราม่าเริ่มต้นเมื่อ ดาฮยอน Twice กำลังไลฟ์ถ่ายทอดสดบนแพลตฟอร์มแฟนแชท Bubble ซึ่งในระหว่างการไลฟ์จู่ ๆ เพลง LALISA ของลิซ่า Blackpink ก็ดังขึ้นมาจากโทรศัพท์ของดาฮยอน แม้จะมีท่าทีตกใจ แต่ไอดอลสาวก็เริ่มโยกตามจังหวะเพลง ก่อนอธิบายกับคนดูว่าเธอไม่มี YouTube Premium เพลงดังขึ้นเพราะเป็นโฆษณา YouTube ซึ่งหลังจากรอให้ปุ่มข้ามปรากฏขึ้น ดาฮยอนก็กดเพื่อข้ามโฆษณา
หลังเหตุการณ์นี้ ทำให้บรรดา บลิ้ง (Blink) แฟนคลับฝั่ง Blackpink หลายคนเกิดอาการไม่พอใจ เนื่องจากเข้าใจผิดว่าลิซ่าโดนกล่าวหาเรื่องยิงแอด (Ads) และแย้งว่าที่ดาฮยอนเจอเป็น auto play ไม่ใช่แอด งานนี้แฟนคลับที่อารมณ์ร้อนบางส่วนจึงไปถล่มด่าต่อว่าดาฮยอนบนอินสตาแกรมส่วนตัวของเธอ
งานนี้จึงกลายเป็นสงครามออนไลน์ขนาดย่อมระหว่างแฟนคลับทั้งสองด้อมที่โต้กันไปมา ต่อมาเหล่า วันซ์ (Once) แฟนคลับทางฝั่ง Twice รวมกับบลิ้งอีกส่วน ก็ออกมาโต้กลับพร้อมหลักฐาน ว่ามีคนยิงแอด เพลง LALISA จริง จนเกิดเป็นกระแส #BlinkApologizetoDAHYUN ขึ้นมา เพื่อให้เหล่าบลิ้งที่ไปโจมตีดาฮยอน ออกมาขอโทษที่เข้าใจเธอผิด เรียกได้ว่าต้องขอนับถือใจของเหล่าบลิ้งอีกส่วน ที่ช่วยออกมาแสดงจุดยืน ตักเตือนเพื่อนร่วมแฟนด้อม (Fandom) หลายคนที่ทำเกินเหตุ
โดยส่วนหนึ่งของทวิตในแฮชแท็กร้อนนี้คือ "สรุปเรื่องดาฮยอนตอนนี้มีคน ยิง ads เพลง lalisa จริง มีหลายแอคเจอจริง และคลิปนี้ทั้งหมุนกล้องทั้งพูดขณะถ่ายถ้าบลิ้ง/ลิลลี่ท่านไหนที่เจอว่าคลิปนี้ตัดต่อสามารถชี้แจงมาได้เลยค่ะพร้อมจะขอโทษและลบคลิป แต่ถ้าไม่มีข้อมูลที่สมเหตุสมผลขอปัดเป็น “เฟคนิวส์” นะคะ"