ดาราดัง เป็นอิสระ รุ่งหรือร่วง ขณะที่ดาราหน้าใหม่ เกิดขึ้นเป็นดอกเห็ด | คมชัดลึก

หลังจากที่ คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) เปิดให้สถานีโทรทัศน์ เปลี่ยนผ่านระบบการรับ–ส่งสัญญาณโทรทัศน์ จากระบบ "อนาล็อก" เป็นระบบ "ทีวีดิจิทัล" เมื่อปี 2555 โดยมีผู้ประมูลทั้งหมด 24 ช่อง ส่งผลให้วงการสื่อ และวงการบันเทิงไทย รวมถึงวงการอื่นๆ มีการเปลี่ยนแปลง เพื่อให้สอดรับ กับสิ่งที่เกิดขึ้น

 

เช่นเดียวกับ ศิลปิน ดารา นักแสดง หลายคน ที่มีการปรับเปลี่ยนรูปแบบการทำงานของตัวเอง ผันตัวเป็นนักแสดงอิสระ เผื่อเพิ่มช่องทางให้กับตัวเอง ในการรับงานละคร พรีเซนเตอร์ การออกรายการโทรทัศน์ต่างๆ ทั้งที่ในสมัยก่อนนั้น ดาราหลายคนมองว่า การเป็นนักแสดงอิสระนั้นค่อนข้างเสี่ยง ที่จะไม่มีงาน การที่มีสังกัดดูแลนั้น จะมั่นคงกว่า มีรายได้ที่แน่นอน

ซึ่งจะเห็นได้ว่า หลายปีหลังมานี้ ตั้งแต่กำเนิด "ทีวีดิจิทัล" มีดาราตัวพ่อ ตัวแม่ ระดับต้นๆของช่อง หลายคน ผันตัวเป็นนักแสดงอิสระ อาทิ "ยุ้ย จีรนันท์" ที่พอประกาศตัวเป็นนักแสดงอิสระ มีผลงานละครกับช่องอื่น ก็มิวายเจอด่า เนรคุณ ซึ่งเธอออกมาพูดถึงเรื่องนี้ว่า "ยุ้ยอยู่วงการนี้มานานก็เข้าใจ และเป็นธรรมดามากๆ ที่จะเจอทั้งคนที่รักและคนที่เกลียด ยุ้ยว่ามันเป็นเรื่องปกติ จริงๆ จะบอกว่ามีหลายคอมเมนต์ที่แรงกว่านี้อีก  แต่ว่าอาจจะไม่ได้เป็นข่าว บางทีมาด่าด้วยถ้อยคำที่รุนแรง 

 

แต่สำหรับยุ้ยมีความรู้สึกว่าไม่เป็นไร ยุ้ยก็ปล่อยผ่านไม่เอามาใส่ใจ เรายังต้องใช้เวลาในการทำมาหากิน ยังต้องใช้เวลาคิดปัญหาต่างๆ เพราะฉะนั้นเรื่องแบบนี้ไม่เอามาเป็นปัญหาดีกว่า คำว่าเนรคุณแรงสำหรับเราไหม ยุ้ยก็เคารพการตัดสินใจความคิดเขานะ เขาก็มีสิทธิ์ที่จะคิด แต่สำหรับยุ้ย ยุ้ยว่ามันไม่น่าจะใช้คำนี้ด้วยกับใครก็แล้วแต่ ไม่ใช่เฉพาะกับยุ้ย เราไม่ควรจะไปด่าใคร ถามยุ้ยว่าชอบไหม ยุ้ยไม่ชอบหรอก มีใครมาด่าเรา เป็นใคร ใครก็ไม่ชอบ แต่ก็ขอบคุณที่มาดูมาคอมเมนต์ให้ ยังเสียเวลามาดูยุ้ย

 

เขาอาจจะผิดหวัง อาจจะคิดว่ายุ้ยต้องเล่นละครให้ช่อง 7 ทำไมอยู่ๆ มาเล่นละครให้ช่อง 8 ซึ่งมันก็ว่ากันไม่ได้ มันเป็นสิทธิของแต่ล่ะบุคคล เขาก็มีสิทธิ์ที่จะคิด จริงๆ เราเป็นอิสระมา 2 ปีแล้ว เราโตขึ้น บทบาทที่เราได้รับมันก็แทบจะไม่มีอะไรให้ยุ้ยเล่นแล้ว ยุ้ยก็เข้าใจช่อง 7 ที่เขาก็ต้องปั้นนักแสดงใหม่ๆ เพราะฉะนั้นที่เราออกมาแบบนี้ยุ้ยก็ต้องมีงานที่หลากหลายขึ้น ได้รับบทที่โตขึ้น ยุ้ยก็อยากให้ทุกคนเข้าใจการตัดสินใจของยุ้ย เราก็ต้องเลี้ยงตัวเอง เลี้ยงครอบครัว ยังต้องทำมาหากิน เพราะฉะนั้นยุ้ยก็ต้องเลือกที่ไหนมีงานให้เราทำ ยุ้ยเป็นลูกจ้าง ใครที่จ้างยุ้ย ยุ้ยไปหมด"

เช่นเดียวกับ "ใหม่ ดาวิกา" ที่เคยออกมาเปิดใจ พร้อมผู้จัดการส่วนตัว อีกด้วยว่า "ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา อย่างที่น้องใหม่เคยตอบไว้ ก่อนหน้านี้น้องยังไม่สามารถพูดได้ น้องหมดสัญญาอย่างเป็นทางการวันที่ 31ธันวาคม 2558 แต่ 2-3 เดือนก่อนหน้า ได้เข้าไปคุยกับทางช่องเรียบร้อยแล้ว เกล้าตกลงจะเป็นคนคุยทุกอย่างแทนน้องใหม่ตั้งแต่แรก ทางช่องก็ถามปกติว่าจะต่อสัญญาไหม เราก็บอกตามตรงว่าอยากเป็นนักแสดงอิสระ ย้ำนะคะ ว่าอิสระ ยังไม่อยากให้ใช้คำว่าย้ายช่อง เพราะยังไม่มีแพลนจะไปไหน เราสามารถร่วมงานกับทุกที่ได้ แม้แต่ช่อง 7 เอง ทางช่องก็ยินดี จดหมายนั้นทางช่องได้ส่งให้เราดูก่อนว่าโอเคไหม เราก็บอกโอเคค่ะ เรามีปัญหาอะไรเราคุย ปรึกษากับช่องประจำอยู่แล้ว

 

เราทำงานมานาน และเห็นน้องอยู่ตรงนี้มานานแล้ว 7 ปี เราอยากให้น้องเปลี่ยนสถานที่ทำงานบ้าง อยากให้ทำหลายๆ อย่างดู ยืนยันยังไม่ได้มีเซ็นที่อื่นแน่นอน ตอนนี้ทางช่องให้โอกาสเราเริ่มคุยงานกับที่อื่นได้เลย ช่องไม่ได้รั้งอะไรมากมาย เพราะมีสัญญาเป็นตัวกำหนด ผู้ใหญ่ให้สิทธิ์การตัดสินใจของเราเต็มที่ คำว่าเนรคุณ มันเป็นเรื่องปกติอยู่แล้วที่ต้องโดน ต้องมีคนที่รับไม่ได้และผิดหวัง แรกๆ เราก็อ่าน แล้วสงสารน้อง ไม่อยากให้เก็บมาใส่ใจ คิดซะว่าเป็นเพียงเสียงรอบข้าง"

ในขณะที่ "นุ่น วรนุช" ที่เคยออกมาให้สัมภาษณ์ถึงเรื่องนี้ว่า "ตอนนี้ก็หมดสัญญากับทางช่อง 7 แล้ว มีหลายช่องติดต่อเข้ามา แต่ยังไม่ได้ตัดสินใจอะไรเลยค่ะ คือ มันเพิ่งหมดสดๆ ร้อนๆ คือ อย่างช่อง 7 เองก็อยากให้ลงละครด้วย เอาเป็นว่า ถ้ามีการเปลี่ยนแปลงอะไรเดี๋ยวจะบอก เพราะนุ่นก็ยังไม่รู้ว่าจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร ตอนนี้นุ่นถือว่าเป็นนักแสดงอิสระ

 

นุ่นอยู่กับช่องมา 15 ปีแล้ว ซึ่งที่ไม่ต่อสัญญา เพราะว่าโตแล้ว เราทำงานมาขนาดนี้ เราก็รู้สึกว่าเราไม่เหมือนก่อน เรามีครอบครัว แล้วก็มีงานอื่นๆ อีก ถ้าคิดว่าเราเกิดจะทำอะไร สิ่งที่จะเลือกรับต่อไป คือ สิ่งที่เราอยากเล่น ตอนนี้เลยเป็นนักแสดงอิสระ โอกาสที่เราเลือกรับงานมันก็มีมากขึ้น ไปได้ทุกช่อง ถ้ามีบทดีของช่องไหนนุ่นก็รับได้หมด ก็ยังไม่ได้เข้าไปคุยกับช่องไหน แต่ก็มีคนโทร.มาถามบ้าง ซึ่งมันก็เป็นเรื่องปกติเหมือนนักแสดงคนอื่น 

 

ถามว่า มันเป็นการยากไหม เพราะนุ่นเองก็ติดโลโก้ช่อง 7 คือ ถามตอนนี้นุ่นก็ตอบไม่ได้ค่ะ ตอนนี้นุ่นก็ไม่ได้เล่นละครมาครึ่งปีแล้ว จะต้องเป็นนางเอกหรือเปล่า นักแสดงไม่ว่าจะได้รับบทไหนที่มีความหมายของเรื่องนั้น นุ่นยินดีหมดค่ะ คือ เราอยู่ในวงการมานาน แล้วเด็กรุ่นใหม่ที่มาเรื่อยๆ นุ่นก็เลยไม่ซีเรียส นุ่นทำใจไว้อยู่แล้ว มันเป็นเรื่องปกติของวงการบันเทิง เราก็ไม่ซีเรียสกับสิ่งที่เราต้องหารายได้ต่อ ถามว่า เกี่ยวไหมที่ช่อง7 ไม่มีคุณแดง เลยไม่ต่อสัญญา ไม่เกี่ยวค่ะ จริงๆ แล้วทางช่องติดต่อให้เซ็นตั้งแต่ปีก่อน แต่เราขอเป็นนักแสดงอิสระดีกว่าค่ะ"

ด้าน "แพนเค้ก เขมนิจ" ช่วงหลังออกจากช่อง 7 มีข่าวว่าไปเซ็นสัญญากับทางช่องทรูโฟร์ยู ด้วยค่าตัวสูงถึง 20 ล้าน โดย เจ้าตัวออกมาชี้แจงตอนนั้นว่า "ได้เซ็นสัญญาเข้าสังกัดทรูโฟร์ยูเป็นระยะเวลา 3 ปี ไปเมื่อวันที่ 12 มกราคม 2559 เป็นที่เรียบร้อย ถือเป็นโอกาสดีที่ตนได้มีโอกาสร่วมงานกับทรู แต่ไม่เกี่ยวกับข่าวเรื่องที่ค่ายทุ่มเงินให้กว่า 20 ล้านบาท เพื่อดึงมาร่วมงาน เรื่องตัวเลขมันเป็นความพอใจของทั้ง 2 ฝ่าย เรื่องงานทางทรูไม่ได้มีข้อจำกัดในส่วนนั้นอยู่แล้ว ก็คงมีโอกาสได้ช่วยทุกที่เหมือนเดิม เพียงแต่งานละครสามารถติดตามผลงานได้ทางทรูโฟร์ยู"

 

ก่อนภายหลัง หมดสัญญากับทางช่องทรูโฟร์ยู ช่วงกลางปี 2565 "แพนเค้ก" ได้ออกมาให้สัมภาษณ์ว่า "หมดแล้วค่ะ เป็นอิสระตั้งแต่ช่วงต้นปี ตอนนี้ก็มีโอกาสได้ลองชิ้นงานที่หลากหลาย ได้ลองเป็นพิธีกรที่เวิร์คพอยท์ ยังมีซีรีส์กับทรูด้วย GMM ด้วย ได้มีอะไรที่ท้าทายเป็นประสบการณ์ใหม่ค่ะ เป็นช่วงเวลาที่เราเลือกสิ่งต่างๆ ทำงานที่หลากหลายขึ้นค่ะ เป็นอิสระไปก่อนค่ะ"

 

และนอกจากนี้ ก็ยังมีดาราคนอื่น เป็นอิสระด้วย อย่างล่าสุดเร็วๆนี้ ที่เป็นข่าว ก็คือ โก้ วศิน , แบงค์ อาทิตย์ , ทับทิม อัญรินทร์ , อั๋น อัครพรรฒ , มินนี่ ภัณฑิรา , แพรว เฌอมาวีร์ , บัว นลินทิพย์ เป็นต้น 

 

สุดท้ายแล้ว การที่จะเป็นนักแสดงอิสระ หรือ นักแสดงที่มีสังกัดนั้น ก็ไม่ได้สามารถการันตีได้ว่า อันไหนจะดีกว่า หรือมั่นคงกว่ากัน เพราะงานจะปังหรือไม่ปังนั้น ขึ้นอยู่ที่ชื่อเสียง ฝีมือการทำงาน การแสดง ร่วมถึงลักษณะนิสัย และโชคชะตาของดาราคนนั้นๆด้วย เพราะในปัจจุบัน ดาราหน้าใหม่เกิดขึ้นเยอะ แถมเทรนคนดู ก็มีการเปลี่ยนไป ตามยุคสมัย ทั้งซีรีส์วัยรุ่น ซีรีส์สายวาย ซึ่งดาราใหม่ๆสามารถทำได้ดี บางคนโด่งดังเป็นพลุแตก บางคนดังไปไกลถึงต่างประเทศ ทำให้มีการแข่งขันที่ค่อนข้างสูง ฉะนั้น ดาราทุกคนจะต้องมีการพัฒนาฝีมืออยู่เสมอ ถ้ายังอยากโล่ดแล่นอยู่ในวงการบันเทิงต่อไป