สงสารลูกสาว ตลกดัง "นก วนิดา" ทุกข์ใจ อดีตถูกจำคุก คดียาเสพติด
อดีตตลกดัง "นก วนิดา" เล่ามรสุมชีวิต ถูกจำคุก คดียาเสพติด เมื่อ 13 ปีก่อน ทำชีวิตพัง ไม่เคยคิดสั้น เพราะนึกถึงหน้าแม่กับลูกสาว เยียวยาสภาพจิตใจ 2 ปี ถึงกล้าออกไปเจอคน เข้าใจสังคมไม่ยอมรับ
หากย้อนไปในอดีต เมื่อวันที่ 21 กรกฎาคม 2552 นักแสดงตลกหญิง "นก วนิดา" ถูกตำรวจจับ หลังซื้อ กัญชา-ยาไอซ์ มาเสพ บริเวณข้างร้านเซเว่น อีเลฟเว่น ระหว่างซอยรามคำแหง 42-44 ถนนรามคำแหง หลังติดต่อขอซื้อยาไอซ์ โดยตำรวจได้ของกลาง ยาไอซ์ 2.5 กรัม กัญชาแห้ง 1 ถุง กัญชาผงผสมยาสูบบรรจุในกล่องลูกอม 1 กล่อง กัญชายัดในมวนบุหรี่ 6 มวน และอุปกรณ์การเสพจำนวน 1 รายการ
จนโดนสั่งปลดจากละคร และรายการทั้งหมด ไม่เหลืองานในวงการบันเทิง จากนั้นอดีตสามี "ชูศรี เชิญยิ้ม" ก็นำเงินสด 3 แสนบาท ที่หยิบยืมมาจากเพื่อนตลก มาช่วยประกันตัวออกไป ทำเอา "นก วนิดา" ถึงกับร้องห่มร้องไห้ เผยสาเหตุที่เสพเพราะรู้สึกเครียดที่มีงานน้อย เพื่อนจึงแนะนำให้ลองเสพ ซึ่งก็เสพมาได้เพียง 5 เดือน หลังจากพ้นโทษออกไปรับปากจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติดอีก
และเมื่อวันที่ 24 ธันวาคม 2552 ศาลก็ได้ตัดสินว่าตลกหญิงชื่อดังมีความผิดจริง โดยความผิดฐานมียาไอซ์ไว้ครอบครอง มีโทษให้จำคุก 1 ปี ปรับ 20,000 บาท ส่วนฐานมีกัญชาไว้ในครอบครอง จำคุก 3 เดือน ปรับ 3,000 บาท แต่เนื่องจากจำเลยให้การรับสารภาพจึงลดโทษเหลือกึ่งหนึ่ง คงจำคุก 7 เดือน 15 วัน ปรับ 11,500 บาท แต่เนื่องจากจำเลยไม่เคยต้องโทษจำคุกมาก่อน โทษเลยเหลือให้รอลงอาญา 2 ปี และให้บำเพ็ญประโยชน์ต่อสังคม
จากนั้น 3 มีนาคม 2553 "นก วนิดา" ถูกจับเรื่องยาไอซ์ เป็นครั้งที่ 2 ที่อรัญประเทศ สระแก้ว หลังจากเดินทางไปเล่นการพนันในบ่อนที่ ปอยเปต กัมพูชา พบยาไอซ์ชนิดเกล็ดสีขาว น้ำหนัก 0.56 กรัม ซ่อนอยู่ในยกทรงด้านซ้าย และพบกัญชาอบแห้ง น้ำหนัก 0.58 กรัม พร้อมอุปกรณ์การเสพยาไอซ์และการสูบกัญชา ซุกซ่อนอยู่ในกระเป๋าถือ
ตอนนั้นเธอสารภาพว่า "เสียพนันไปกว่า 15,000 บาท จึงเครียดจัด ไปซื้อยาไอซ์และกัญชาแห้งเสพในบ่อน และนำติดตัวกลับมาด้วย ยอมรับว่าครั้งนี้คงไม่รอด ต้องติดคุกแน่นอน" จากที่ครั้งก่อน ที่ถูกจับยาไอซ์ ศาลยังปรานี แค่ปรับ ส่วนโทษจำคุกให้รอลงอาญาไว้ 2 ปี ด้าน "บอย ถกลเกียรติ" จึงตัดสินใจ ถอดบทละครเป็นการถาวร โดยเขียนบทว่า ขโมยของในบ้านของรัก และถูกรถชนเสียชีวิต ขณะหนีตำรวจ
ล่าสุด "นก วนิดา" เปิดใจ ในรายการโต๊ะหนูแหม่ม ถึงเรื่องราวชีวิตว่า "ถือเป็นวิกฤติสำหรับตัวเองสุดๆ แล้ว คิดว่าไม่มีอะไรสุดกว่านั้นแล้ว แต่มันเป็นการที่เราทำร้ายตัวเอง และตอนนั้นเราโดนตัดสิน 14 เดือนแต่รอลงอาญา จริงๆแล้วโทษตอนนั้นไม่ได้เยอะ แต่ว่าข่าวมันหนัก ข่าวมันออกมาว่าเราถึงกับค้าและจำหน่ายเลย ซึ่งเราก็ยอมรับว่าแค่เสพตามที่มันเกิดขึ้น
ชีวิตตอนนั้นมันกระทบทุกอย่าง ไม่มีแสงอะไรเลยไม่รู้จะเริ่มต้นยังไง โทษแต่ตัวเองว่าทำไมถึงเป็นแบบนี้ ในเมื่อเราอยากพยายามทำทุกอย่างให้ดีที่สุด แต่มันกลายเป็นเลวร้ายที่สุด โชคดีที่มีครอบครัวแม่และลูก เข้าใจห่วงจิตใจของคนในครอบครัว ซึ่งตอนนั้นเราทำงานหนักถึงขนาดต้องใช้ยา และตอนนั้นแม่หนูครึ่งปีต้องผ่าตัดสามครั้งทำให้เราเครียด จนพยายามจะหาเงิน และทำคนเดียวทุกอย่าง ที่มาใช้ยาเพราะว่าเราต้องทำงานหาเงิน จนลืมไปเลยว่ามันเป็นสิ่งที่ผิดมากๆ และทำร้ายตัวเองด้วย
ตอนนั้นเราก็ทำงานอยู่ และทำให้ผู้จัดบางท่านเขาเสียหายไปด้วย ซึ่งเขาทำไปแล้วทุนมันลงไปแล้วกับเรา แต่เรามาทำให้งานเขาออนไม่ได้ เราเข้าใจ ในตอนนั้นไม่กล้าออกจากบ้านเลย คิดแต่ว่าเราจะดำเนินชีวิตต่อไปยังไง แม่และลูกสิ่งที่เรารับผิดชอบจะต้องทำยังไงต่อไป และต่อไปนี้เราจะเอาเงินที่ไหนมาให้เขา ซึ่งเราก็ทำให้แม่เครียดด้วย เพราะทุกคนไม่คิดว่าเราเป็นแบบนี้ทุกคนช็อกหมด ไม่กล้ามองแม้แต่หน้าลูก
ถึงขั้นคิดสั้นไหม ไม่มีเลยค่ะรู้ แต่อย่างเดียวว่าวันนี้ล้มขนาดนี้แต่เราต้องลุกให้ได้เพราะเรามีแม่และลูก โดยมีลูกให้กำลังใจแม่ก็บอกให้เราออกไปข้างนอก อย่าพึ่งไปคิดว่าคนข้างนอกจะรู้สึกยังไงกับเรา และพอเราได้ลองออกไปก็เลยรู้ว่ามันก็เป็นอย่างที่ลูกพูดเพราะคนข้างนอกที่เข้ามาหาเราเขาให้กำลังใจเรา ยิ่งเราเจอคนให้กำลังใจเรา ทุกคนอ้าแขนรับ เรามันยิ่งรู้สึกผิดหนักเข้าไปใหญ่ เหมือนเราทำร้ายจิตใจเขาด้วยกับคนที่เขารักเรา
ใช้เวลาในการรักษาความรู้สึกเป็นปี 2 ปีเลยค่ะกว่าจะกลับมาได้เหมือนเดิม ถึงเราจะออกไปพบคนได้แต่ความมั่นใจเราน้อยลง เพราะเรารู้ดีว่าบางคนอาจจะคิดไม่ดีกับเรา แต่เขาอาจจะมาแสดงออกกับเรา ซึ่งเราเข้าใจว่าสังคมมันไม่ยอมรับเราอยู่แล้ว แต่ลูกทำให้เราพยายามผ่านมาได้ ลูกก็พยายามจะหาพลังบวกเอาเรื่องดีๆ มาเล่าให้ฟัง
ซึ่งเขาบอกว่าเขาไม่เคยอายมีแต่เขาภูมิใจที่มีแม่เป็น "นก วนิดา" เธอเป็นยาชูกำลังใจให้กับเรา ต้องขอบคุณลูกที่ให้ชีวิตใหม่กับเรา ถ้าไม่มีเขา เราก็ไม่สามารถกลับมายืนได้แบบทุกวันนี้ และแทนที่ลูกจะมีความสุขในชีวิตวัยรุ่น กลายเป็นว่าเขาต้องมาทำงานแทนเรา เหมือนพรากชีวิตในวัยเรียนของเขาไป ซึ่งตอนนี้ลูกเรียนจบปริญญาโทเป็นที่เรียบร้อยแล้ว"