"แหวนแหวน" เคยเป็นมะเร็งเต้านม รักษาหมดหลายล้าน อยากมีลูก แต่เสี่ยง
"แหวนแหวน" เล่าอดีต ป่วยเป็นมะเร็งเต้านม ตั้งแต่อายุ 23 ปี รักษาหมดหลายล้าน ปัจจุบันแต่งงานอยากมีลูก แต่ก็เสี่ยงเป็นมะเร็งซ้ำ เพราะมีเรื่องของการใช้ฮอร์โมน จนพ่อบอกถ้าชีวิตแลกชีวิตก็ไม่เอา
ใช้เวลารักษาตัวมานานกว่า 5 ปี สำหรับ "แหวนแหวน-ปวริศา เพ็ญชาติ" หลังเคยป่วยเป็นมะเร็งเต้านมสมัยวัยรุ่น โดยเจ้าตัวเผยในงาน "ความก้าวหน้าในการรักษามะเร็งเต้านมระยะเริ่มต้น" ว่า "แหวนเป็นหนึ่งในผู้ที่มีประสบการณ์มะเร็งเต้านม ตั้งแต่อายุ 23 ปี ต้องบอกว่าเป็นความโชคดีที่เจอเร็วและรักษาได้ทันท่วงที จนทุกวันนี้พูดได้ว่าหายแล้ว 99.99% ทำให้รู้เลยว่าโรคมะเร็งเต้านมนั้นอยู่ใกล้ตัวเรามาก และเจอในคนอายุเด็กลงทุกวัน
อยากบอกผู้หญิงทุกๆ คนว่าอย่ากลัวการตรวจมะเร็งเต้านม อย่ามองเป็นเรื่องที่ไกลตัว เพราะถ้าคุณยิ่งเจอช้า การรักษายิ่งยากและโอกาสในการหายน้อยลง แต่มางานวันนี้ก็ทำให้รู้ว่าเดี๋ยวนี้มะเร็งเต้านมก็เหมือนเป็นหวัด สามารถรักษาให้หายขาดได้ แม้กระทั้งเป็นขั้น 3 ก็สามารถรักษาให้หายขาดได้ถึง 74%
ซึ่งการรักษามักจะประกอบไปด้วย การรักษาด้วยยาฮอร์โมน ยาเคมีบำบัด รังสีรักษา และการรักษาด้วยยาพุ่งเป้า ( Targeted Therapy ) โดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญจะพิจารณาถึงความเสี่ยงของผู้ป่วยรายบุคคล สมัย 20 ปีที่แล้ว ตอนที่แหวนตรวจเจอ คือเหมือนโลกแตก รู้สึกว่าเราจะตายแล้วเหรอ
ตอนนั้นการเป็นมะเร็งเต้านมเป็นอะไรที่น่ากลัวมาก นอกจากการกลัวตาย ยังเสียความมั่นใจด้วยที่ต้องโดนตัดหน้าอก โดนตัดไปเกือบเท่าลูกเทนนิส ก็มีความกังวลว่าหน้าอกเราจะเป็นยังไง มันจะเหมือนเดิมไหม สรุปคือไม่ได้เสียทรงไปมาก ทุกวันนี้ก็อยู่กับมันได้ แต่ก็กลัวว่าจะกลับมาเป็นอีก ก็คอยเช็กอัปมันตลอดปีละครั้ง ยุคนี้เทคโนโลยีไปไกลมาก
อย่างตอนนี้เราจะทำ IVF ก็ต้องตรวจเช็กเยอะ คุณหมอที่ทำลูกเขาก็จะซีเรียสเรื่องของการใช้ฮอร์โมน เพราะฮอร์โมนคือตัวกระตุ้นมะเร็ง อย่างแหวนจะทาครีมอะไร ทานอะไร ฉีดฮอร์โมนอะไรต้องระวังหมด เพราะมีผลกับมะเร็งเต้านมหมด เวลาจะกระตุ้นไข่ทีต้องมีทีมหมอมานั่งปรึกษากันเลย ค่อนข้างจะเป็นเรื่องใหญ่จริง ๆ
เราตั้งใจ อยากได้มีน้อง 2 คน แต่ตอนนี้เอาให้ได้ 1 คนก่อน เราอยู่กับกระบวนการนี้มานานแล้วเหมือนกัน เดี๋ยวคงจะต้องลองอีกรอบ ทั้งในไทยและต่างประเทศ ถ้าไม่ได้จริงๆ คงจะถอดใจแล้ว เพราะคุณหมอก็ไม่กล้าให้ฮอร์โมนเยอะ มันเสี่ยง อายุเท่านี้แล้ว มันก็ต้องอัดกันสุดตัว เรียกว่าเป็นเคสพิเศษเลยสำหรับการทำ IVF คุณพ่อก็บอกขึ้นมาแล้วว่าชีวิตแลกชีวิตไม่เอานะ ได้หลานแต่ลูกเป็นมะเร็งเต้านมอีกรอบ ก็คงไม่ไหว
ส่วนคุณสามี เขาก็กลัวเราเป็นมะเร็งอีก ลูกก็อยากมีแหละ ครอบครัวไม่มีฝ่ายไหนกดดันเลย เพราะเขาก็รู้ว่าเราพยายาม ถ้ามันไม่ได้จริงๆ เราก็พยายามที่สุดแล้ว ที่สำคัญลูกจะมีหรือไม่มี ไม่เป็นไร แต่เราต้องไม่ตาย ต้องมีเราอยู่ต่อไป เท่าที่ฟังโอกาสมันก็ 50:50 เพื่อน ๆ ก็ให้กำลังใจกันหมด วิทยาศาสตร์เราก็สู้มาสุดตัว สงสัยคงต้องไปสายมูบ้าง ตอนนี้ค่าใช้จ่ายหมดไปหลายล้านแล้ว
ยังพูดกับพ่อแม่เลยว่าหลายล้านก็ส่วนนึงนะ แต่ร่างกายเรา ฮอร์โมนที่เทคเข้าไปนี่ก็ไม่รู้ว่าจะมีผลอะไรที่ไปสะสมไว้ข้างในหรือเปล่า คือที่ผ่านมาเราต้องตรวจแล้วตรวจอีก วนๆไปจนรู้สึกว่าไม่ไหวแล้ว โดนเยอะเหลือเกิน ก็เข้าใจคุณหมอว่าต้องเอาความปลอดภัยขอเราไว้ก่อน ไม่อยากให้มีผลข้างเคียงอะไรในอนาคต"