'เอส กันตพงศ์' ความทรงจำหายไป ต้องรื้อฟื้น
“เอส กันตพงศ์” เปิดใจฟื้นฟูร่างกายเต็มที่ แต่ความทรงจำยังไม่กลับมาหายไปกว่า 80 เปอร์เซ็นต์ หลายช่วงที่คุยกับคนที่บ้านไม่รู้เรื่อง คุณหมอแนะวิธีให้ย้อนกลับไปที่เก่าๆ และพบเจอกับคนเก่า ๆ เพื่อรื้อฟื้นความจำ
แม้จะหมดสัญญาอย่างเป็นทางการกับช่อง 7HD นานแล้ว แต่พระเอกคุณภาพ "เอส กันตพงศ์ บำรุงรักษ์" ก็ไม่ลืมที่จะแวะเวียนเข้ามาอัปเดตชีวิตให้แฟน ๆ ช่อง 7HD ที่ติดตามมาโดยตลอด ได้รับข่าวสารอย่างต่อเนื่อง โดยล่าสุดในรายการ เที่ยงบันเทิง สด เอสได้มาเปิดใจอีกครั้ง นับว่านี่เป็นครั้งแรกที่เอสให้สัมภาษณ์สด โดยได้มีการอัปเดตเรื่องสุขภาพ รวมถึงความพร้อมที่จะกลับมาเริ่มทำงาน เพื่อทำตามความฝันที่เคยตั้งไว้
“วันนี้ได้กลับมาดีใจครับ เหมือนได้กลับมาบ้านตัวเอง ตั้งแต่รอบแรกที่ผมกลับมาที่นี่ หลังจากออกจากโรงพยาบาล มันดีใจ และความจำบางส่วนก็กลับมา เหมือนกับที่คุณหมอบอกเอาไว้จริง ๆ ว่าถ้าเรากลับไปในที่ ๆ เราเคยไปเราจะมีความจำเก่ากลับมา แล้วภาพของพี่ ๆ ที่ช่อง 7HD ภาพการทำงานที่สนุก มีความเป็นกันเอง มีความเฮฮา แม้กระทั่งก่อนจะเข้ารายการเที่ยงบันเทิง สด ก็ยังมียิงมุกกันบ้าง มันคือความน่ารักของช่อง 7HD ของทุกคนในช่อง 7HD คือมันเป็นบ้าน เป็นครอบครัวกันจริง ๆ ครับ ผมมีความสุขมาก
ครั้งก่อนที่ออกจากโรงพยาบาลผมก็มาช่อง 7HD ก่อนเป็นที่แรกเหมือนกัน คือต้องยอมรับเลยว่าตั้งแต่ออกจากโรงพยาบาลก็มีหลาย ๆ ที่ติดต่อผมมา ซึ่งถ้าเป็นรายการสด ผมก็จะรู้ตัวเลยว่าตัวเองยังไม่พร้อม ต้องคุยไม่รู้เรื่องแน่ ๆ เพราะขนาดคุยกับคนในบ้านยังไม่รู้เรื่องเลย แต่ว่าตอนนี้รู้สึกตัวแล้วว่า ตัวเองใกล้เคียงเดิมแล้วแน่ ๆ คิดว่าพร้อมแล้วเลยมาออกรายการสดที่ช่อง 7HD ก่อนเลย ผมอยากมาเริ่มพูดทุกอย่างที่นี่ รวมถึงเป็นการได้กลับมาที่บ้าน คือเราได้พูดคุยกับญาติพี่น้องที่ใกล้ชิดเราเป็นครั้งแรก"
สุขภาพตอนนี้เป็นอย่างไรบ้าง?
“อาจจะต้องแบ่งแล้วกันครับ ถ้าร่างกายปกติ สมองในการใช้งานประจำวันโอเค ปกติ แต่ถ้าถามว่าความจำในอดีตกลับมาไหม เอาตรงๆ ผมว่ากลับมาแค่ 20 เปอร์เซ็นต์ ความจำในอดีตแทบจะไม่กลับมาเลย แต่บางเรื่องกลับมา 100% บางเรื่อง 80% ถ้าเรื่องที่ผมสนใจมากๆ จะกลับมา เรื่องที่จะต้องสนใจแต่ไม่กลับมา บัญชีธนาคาร หุ้น อินสตาแกรม เฟซบุ๊ก รหัสมือถือก็จำไม่ได้เลย แล้วข้อเสียคือความที่เป็นคนเพอร์เฟ็กต์ตั้งรหัสไว้ไม่เหมือนกันสักอัน (หัวเราะ) ก็ต้องค่อยๆ เรียนรู้กันไป อย่างสตูดิโอที่นั่งคุยอยู่ผมก็เคยทำงาน พี่ๆ ทีมงานก็ถามว่าจำได้ไหม เอาจริงๆ จำไม่ได้ เพราะก่อนออกจากโรงพยาบาลคุณหมอให้เวลาประมาณ 3 เดือน ให้รีบไปสถานที่เก่าๆ ไปเจอพี่ๆ เพื่อนๆ ที่เคยร่วมงาน ไปพูดคุยจะช่วยได้พอสมควร แต่นี่เกือบปีแล้ว ในอดีตก็เลยไม่ค่อยกลับมา ตอนนี้ก็เลยรู้สึกว่าในอดีตเราไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้ ไม่มีใครบนโลกนี้เปลี่ยนแปลงได้เลย ก็เลยทำให้ผมรู้สึกเข้าใจว่าอาจจะไม่มีความสำคัญที่จะให้มันกลับมาเท่าไหร่ แต่ทำปัจจุบันให้ดีที่สุดดีกว่า"
มีอะไรที่อยากทำไหม ?
"ผมเป็นคนที่มีความฝันและความรักของตัวเอง ผมจำไมได้ว่าคิดและฝันอะไรไว้บ้าง พอนึกขึ้นมาได้ก็จะถามญาติๆ ถามคนที่รู้จักว่าผมเคยมีความฝันแบบนี้ไหม เขาบอก “ใช่ เหมือนเดิม” โชคดีทีห้องทำงานของผมใหญ่มาก ผมก็เขียนการวางแผนไว้ปี 2578 แล้วเขียนเป็นภาษาอังกฤษ แล้วข้อเสียอีกอย่างนึงคือ ญาติๆ พยายามตามหาข้อมูลให้ แต่ผมเขียนทุกอย่างเป็นภาษาอังกฤษหมดเลย ผมกลับไปดูล่าสุดผมเขียนไว้ถึงปี 2578 ว่าจะทำอะไร แต่เป็นสิ่งที่ผมเขียนไว้ตั้งแต่ปี 2560 หรือ 2561 นี่แหละ เขียนไว้ล่วงหน้าพอสมควร
พอผมดูก็คือใช่ มีสิ่งที่ผมชอบเหมือนเดิมอยู่ ความฝันสูงสุดเหมือนเดิม แต่แนวทางจะไปถึงความฝันของผมมีเปลี่ยนบ้าง เร็วๆ นี้อาจจะมาปรึกษาพี่ๆ (ทีมงาน) ว่าจะทำยังไง ก็คงยังมีเกี่ยวกับวงการบันเทิง อย่างที่ผมเคยพูดไปแล้วว่า ผมไม่อยากให้คนแค่เสพสื่อบันเทิงเพื่อความบันเทิง แต่อยากให้เสพสื่อบันเทิงแล้วได้ประโยชน์
ตอนนี้เวลาไปไหนมาไหนคนก็มาให้กำลังใจ ผมดีใจมาก หลังจากออกจากโรงพยาบาลผมก็รีบไปวัดก่อนเลย สถานที่ที่ผมเคยไปปฏิบัติธรรม แล้วทุกคนก็บอกว่าทำบุญไว้ให้พี่เอส แฟนคลับทุกคนทำบุญ ขอพรให้ นี่เป็นความดีใจมากที่รู้สึกขอบคุณแฟนคลับ ขอบคุณผู้ใหญ่ ขอบคุณพี่ๆ ทุกคน พอรู้ว่าทุกคนรักเราแบบนี้ทำให้รู้สึกไม่อยากยอมแพ้
เพราะเอาจริงๆ นะครับ เป็นความลับ คือตอนอยู่โรงพยาบาลผมน้อยใจว่าทำไมมันเกิดขึ้นแบบนี้ รู้สึกยอมแพ้เลยจริงๆ เคยมีช่วงที่คิดแบบนั้นแล้วคิดหนักกว่านั้นเยอะด้วย สติไม่มี สมาธิไม่มีเลย พอออกมาแล้วมาเจอทุกคนที่หวังดี ทำให้รู้สึกว่าความฝันที่เราเคยมีตั้งใจทำต่อดีกว่า เพราะไม่อยากยอมแพ้ คนหวังดีกับผมเยอะขนาดนี้ ยอมแพ้ไม่ได้จริงๆ
ผมอยากจะขอบคุณบุคลากรทางการแพทย์ และอยากขอโทษด้วยครับ คุณแม่เล่าให้ฟังว่าตอนที่อยู่โรงพยาบาล กว่าผมจะรู้เรื่องพอสมควรก็เกือบเดือน คุณแม่บอกว่าผมฟื้นมาแล้วพูดภาษาอังกฤษอย่างเดียว แล้วพูดอย่างเดียวเลยว่า ‘ผมต้องออกไป ผมต้องไปทำงาน’ แล้วตอนนั้นผมกล้ามใหญ่มาก พยาบาลกับเจ้าหน้าที่เอาไม่อยู่ ห้องผมต้องมี รปภ. 10 คน ผมไม่รู้ตัวจริงๆ อันนี้เป็นสิ่งที่ต้องขอบคุณพยาบาล คุณหมอ รปภ. ทุกคนมากๆ ที่ช่วยดูแลและเข้าใจคนที่สมองหยุดไปแล้วไม่รู้เรื่องเลย ก็ต้องเหนื่อยพอสมควรที่ต้องมาพูดคุย ทำความเข้าใจกับผม
ตอนที่มาช่อง 7 คนแรกที่เจอ “นิวหนวด” (พิธีกร) ผมจำได้ ผมเลยรู้สึกว่าที่คุณหมอแนะนำไว้จริง เพราะถ้าถามผมตอนอยู่ที่บ้าน แล้วถามว่าจำคนนี้ได้ไหม ผมจำไม่ได้เลย แม้กระทั่งทุกวันนี้เจอพี่ๆ น้องๆ ร่วมงานทุกคน ผมจำชื่อไม่ได้เลย แต่ผมจำหน้าได้
ซึ่งกับเรื่องธุรกิจก็มีคนที่คุยไว้ติดต่อมาทางครอบครัวผม ผมก็ต้องไปหาข้อมูล แต่ก็มีข้อเสียตัวเองอีกเป็นคนความลับเยอะจัด ไม่ค่อยบอกใคร จนภรรยาบอกว่าเป็นยังไงล่ะ ได้เรียนรู้หรือยังว่าข้อด้อยของคุณคืออะไร (หัวเราะ)
ส่วนแพลนละคร จริงๆ ละครเป็นสิ่งแรกๆ ที่ผมคิดด้วยซ้ำ ฉากที่ชอบคือฉากบู๊ แต่ตอนนี้ผมฝังเครื่องกระตุ้นหัวใจ ฉากที่ยากที่สุดคือฉากบู๊แน่ๆ เหตุผมที่อยู่โรงพยาบาลนานเพราะผมไม่ยอมฝังเครื่องกระตุ้นหัวใจ จนสุดท้ายก็ต้องยอม
ในส่วนของสัญญา กับช่อง 7HD มันเหมือนเป็นสัญญาใจกันไปแล้วครับ กับพี่ๆ ทุกคนในช่อง คือผมเป็นคนที่ใครที่ร่วมงานกันแล้วใกล้ชิดกัน ผมจะรู้สึกว่าเขาเป็นเหมือนครอบครัว ผมไม่รู้ว่ามันเป็นบุคลิกที่ถูกหรือไม่ถูก แต่มันเป็นสไตล์ของผมจริง ๆ ต่อให้สมมุติว่าเราจะย้ายไปแต่ละที่แล้ว พี่คนนี้ น้องคนนี้ คุณลุง คุณป้าคนนี้ที่อยู่ในช่อง 7HD ก็ยังเป็นครอบครัวของผมอยู่ดี
สุดท้ายผมขอขอบคุณแฟน ๆ อีกครั้งนะครับ ซึ่งตอนนี้ถ้าอยากจะติดตามผม ทางภรรยาของผมเขาทำโซเชียลให้ผมทางอินสตาแกรมอยู่ครับ คือ @s_kantapong_b ซึ่งก็จะมีการอัปเดตเรื่อย ๆ รวมถึงติดตามผ่านอินสตาแกรมของภรรยาผม @thekittyway คือถ้าเป็นอินสตาแกรมเก่าของผม ผมจำพาสเวิร์ดไม่ได้เลยครับ และหากจะเข้ามาติดต่อ ก็ขอให้เป็นผ่านทางช่องทางภรรยาของผมนะครับ จริง ๆ ผมมีกลุ่มแฟนคลับในกรุ๊ปไลน์ด้วย ซึ่งผมก็เพิ่งมีโอกาสได้กลับไปเข้ากลุ่มเมื่อวาน (25 เมษายน 2567) นี้เอง หลังจากได้โทรศัพท์ใหม่ เพราะเครื่องเก่าผมจำพาสเวิร์ดไม่ได้แล้ว แฟน ๆ เขาก็เซอร์ไพรส์ มีถามกันมาเลยว่าใช่ผมจริงๆ ไหม ผมก็บอกว่า ใช่ตัวผมจริง ๆ ครับ”