บันเทิง

"เจมีไนน์" อีกมุมชีวิต ทั้งกดดัน ต้องแบกรับความหวัง อดีตที่หลั่งน้ำตา

"เจมีไนน์ นรวิชญ์ "กับความกดดันที่ต้องแบกไว้โดยไม่มีใครรู้ เล่าจุดเปลี่ยนชีวิตเข้ามาในวงการแบบไม่ตั้งใจ ถามความสัมพันธ์กับคู่จิ้น "โฟร์ท ณัฐวรรธน์" ในสถานะแปลกๆ แต่คลิ๊ก ?

"เจมีไนน์ - นรวิชญ์ ฐิติเจริญรักษ์"นักแสดงหนุ่มดาวรุ่ง จากบ้าน GMMTV มีแฟนสนับสนุนซัพพอร์ตมาตลอด อีกหนึ่งลูกรัก ที่งานชุก โดนใจเหล่าผู้ร่วมงาน มีโปรเจกต์ไหนที่สามารถก็จะเห็นหน้า เห็นตาหนุ่มคนนี้แบบไม่หนีหาย

 

แต่...ทว่า พอได้มาพูดคุยเปิดใจกันจริงจัง เห็น "เจมีไนนท์" เป็นคนร่าเริง อารมณ์ดีแบบนี้ พอย้อนเล่าชีวิตวัยเด็กนั้น กลับมีความกดดันที่ต้องแบกไว้โดยไม่มีใครรู้ แถมยังเล่าว่า "เป็นคนไม่มั่นใจในตัวเอง" จนเป็นจุดเปลี่ยนชีวิตเข้ามาในวงการบันเทิงแบบไม่ตั้งใจ ในรายการ WOODY FM 

 

\"เจมีไนน์\" อีกมุมชีวิต ทั้งกดดัน ต้องแบกรับความหวัง อดีตที่หลั่งน้ำตา

สำหรับ "เจมีไนน์" นั้นปี 2567 ก็อายุ 20 ปี บริบูรณ์ในวันที่ 13 มิถุนายน 2567 ที่ผ่าน เจ้าตัวกลายเป็นซุปตาร์ชั่วข้ามคืนจากการร่วมงานซีรีส์วายของบ้าน GMMTV จากวันนั้นถึงวันนี้ก็ผ่านมาร่วม 2 ปี แล้ว

 

"เจมีไนน์"เล่าว่า  "รู้สึกว่าโตขึ้นมาก (หัวเราะ) เร็วมากๆ เพราะว่าด้วยความที่ทำงานด้วยครับ แล้วก็ต้องมีความรับผิดชอบเข้ามาเยอะขึ้น มากขึ้นเรื่อยๆ ทุกวันครับ ก็เลยรู้สึกว่าจะโตกว่าเพื่อนในวัยเดียวกัน"

 

ครอบครัวของคุณเป็นครอบครัวใหญ่ไหม ?

  • เจมีไนน์ : ไม่ใหญ่ครับ จะมีพ่อแม่แล้วก็ผม ผมเป็นลูกคนเดียว ตอนเด็กๆ ก็จะมีเหล่าม่าเป็นทวดมาอยู่ด้วย แต่ว่าตอนนี้เสียไปแล้วครับ

 

\"เจมีไนน์\" อีกมุมชีวิต ทั้งกดดัน ต้องแบกรับความหวัง อดีตที่หลั่งน้ำตา  

ด้วยความที่เป็นลูกคนเดียวก็อาจจะมีความคาดหวังประมาณหนึ่งจากพ่อแม่ใช่ไหม ?

  • เจมีไนน์ : ใช่ครับ ด้วยความที่เป็นลูกคนเดียว เขาก็จะมีความคาดหวังที่สูงมาก ๆ ในสิ่งที่เขาอยากให้เราเป็น เราเป็นความหวังเดียวของเขา ซึ่งผมว่าพ่อแม่ทุกคนอยากให้ลูกได้ดีที่สุดอยู่แล้ว แต่ผมรู้สึกว่ามีความกดดัน โดกดดันมาตั้งแต่เด็กว่าจะต้องเป็นคนที่ดีที่สุดในบางอย่าง เช่น ถ้าผมเล่นกีฬาก็ต้องเก่งที่สุดในทีมนี้ ถ้าเรียนผมก็ต้องได้ดีที่สุดในห้อง

 

แม่ของผมเป็น Perfectionist อยากให้ทุกอย่างออกมาเพอร์เฟคตามที่เค้าต้องการ ซึ่งมันก็กดดันมากๆ "ตั้งแต่ตอนผมเด็กๆ ก็รู้สึกว่าทำไมเราจะต้องทำขนาดนี้ อายุแค่นี้ทำไมเราต้องกดดันตัวเอง ทำไมไม่เป็นแบบคนอื่นชิลล์ๆ กลับมาบ้านเล่นกับเพื่อนอะไรแบบนี้" แต่ผมช่วงกลับมาจากโรงเรียนก็ต้องไปเรียนพิเศษ เรียนดนตรี เรียนร้องเพลงเรียนพิเศษในวิชาหลัก เรียนตลอดครับ

 

\"เจมีไนน์\" อีกมุมชีวิต ทั้งกดดัน ต้องแบกรับความหวัง อดีตที่หลั่งน้ำตา

 

เคยตั้งคำถามไหมว่าทำไมต้องมานั่งเรียนสิ่งนี้ที่เราไม่ชอบ ?

เจมีไนน์ : เคยครับ แล้วก็ถามพ่อแม่ด้วยว่าทำไมต้องทำขนาดนี้เพราะคนอื่นก็ไม่เห็นจะทำกันเลย ทำไปแล้วได้อะไร มันเสียเวลาหรือเปล่า เพราะว่าผมเป็นคนขี้เกียจคนหนึ่ง ท่านก็บอกว่าทำไปเดี๋ยวก็รู้เองว่าได้อะไร ซึ่งตอนนี้ผมรู้แล้วว่ามันควรที่จะเรียนจริงๆ คือตอนเรียนอะไรเด็กๆ มันจะเก็บพื้นฐานได้ แล้วตอนนี้ผมรู้สึกว่าทำอะไรผมเรียนรู้เร็วกว่าคนอื่นค่อนข้างเยอะอยู่เหมือนกัน เพราะว่าเรามีพื้นฐานตั้งแต่เด็กๆ อยู่แล้ว พอกลับมาทำมันก็เลยรู้สึกว่าง่ายขึ้น

 

แต่ก่อนคุณอยากเรียนเป็นอะไรนะ ?

  • เจมีไนน์ : เป็นหมอครับ ซึ่งตอนแรกผมยังไม่รู้เลยว่าผมอยากเป็นอะไร ไม่ใช่เรื่องผิดนะที่ยังไม่รู้ว่าอยากเป็นอะไร ตอนนี้เอาจริงๆ ผมก็ยังไม่รู้ว่าผมจะไปทางไหนดีถ้าไม่ใช่ทางวงการบันเทิง พ่อแม่ก็เลยให้ผมลองทำโน่นทำนี่ลองเข้าวงการดู ลองเรียนหมอ ลองเรียนโน้นนี่ดู ซึ่งในตอนแรกผมไม่เอาเลยกับวงการบันเทิง เพราะว่าผมเป็นคนไม่ค่อยมั่นใจในตัวเอง เป็นคนที่กลัวว่าคนอื่นจะคิดยังไงกับเรามากๆ ในตอนนั้นผมไปประกวดเข้า GMM TV  ซึ่งตอนนั้นผมปล่อยเลยผมไม่อยากเข้า ผมร้องเพลงของพี่เบิร์ด ชื่อว่าเพลงแฟนจ๋า แต่สรุปว่าได้เข้า แล้วก็ได้เซ็นต์สัญญา

 

"ถึงวันที่ผมจะต้องเซ็นต์สัญญาเข้าออฟฟิศที่ GMM TV แล้วผมอยู่ตรงลานจอดรถกับพ่อแม่ เราก็บอกเขาว่าไม่เอา ไม่อยากทำ ไม่เซ็นต์ก็ได้ เพราะผมกลัวมาก เราไม่รู้ในวงการบันเทิง ไม่มั่นใจในตัวเองมากๆ ผมอยากใช้ชีวิตเหมือนคนอื่น"

 

"พ่อแม่ก็เลยบอกว่าถ้าไม่ไปเซ็นต์ลงจากรถไปเลยแล้วหาทางกลับบ้านเอง" ซึ่งตอนนั้นผมไม่รู้อะไรเลยไม่มีเงินสักบาทติดตัว แล้วยังหาทางกลับบ้านเองไม่ได้ ไม่รู้ว่าบ้านอยู่ตรงไหน ก็เลยต้องจำใจยอมไปเซ็นต์สัญญา แบบที่กล้าๆกลัวๆ ซึ่งเราไม่รู้ว่าข้างหน้ามันคืออะไร พ่อแม่ก็บอกว่าลองทำดูมันเป็นสิ่งที่ดี มีโอกาสเข้ามาก็ลองทำดู มันไม่ได้มีอะไรผิดแล้วเราก็ร้องเพลงที่โรงเรียนอยู่แล้ว ทางนี้ก็เป็นอีกที่หนึ่งที่เราจะได้มาร้องเพลง ซึ่งเป็นที่ๆ คนอื่นจะได้เห็นเราเยอะขึ้น จำได้ว่าร้องไห้เลยตอนที่อยู่ในรถ

 

 

หลังจากนั้นไม่กี่ปีก็น่าจะเป็นสิ่งที่ดี เป็นจุดเปลี่ยน ตอนไหนที่คุณรู้สึกว่ามาถูกทางแล้ว ?

  • เจมีไนน์ : น่าจะตอนหลังจากซีรีส์แฟนผมเป็นประธานนักเรียนจบ ซึ่งตอนนั้นก็เกือบจะไม่รับซีรีส์แฟนผมเป็นประธานนักเรียน เพราะรู้สึกไม่มั่นใจแอคติ้งตัวเอง ตอนเรียนอยู่ที่โรงเรียนผมตกคลาสแอคติ้ง ผมก็เลยไม่กล้าทำแอคติ้งมาหลังจากนั้นเลย ไม่มั่นใจการแสดงเลยแล้วหลังจากนั้นพอเข้ามาที่นี่ก็ได้มีโอกาสได้แสดงซีรีส์เยอะมากขึ้น ตอนนั้นก็คิดอยู่ว่าจะรับหรือไม่รับดี ตอนนั้นเป็นช่วง ม. 5 ขึ้น ม. 6 พอดี ก็เลยลองดู ซึ่งเป็นการตัดสินใจที่ถูกมากๆ ตอนแรกทำไปก็เหนื่อยมาก แต่พอผลตอบรับออกมาดีมากๆ ก็รู้สึกว่าหายเหนื่อย เริ่มมีกระแสมากขึ้น แล้วก็รู้สึกว่าทางนี้เราก็ไปได้เหมือนกันนะ

 

ได้มีโอกาสกลับไปขอบคุณคุณพ่อคุณแม่ไหม  ?

เจมีไนน์ : อาจจะไม่ได้ขอบคุณแบบต่อหน้า แต่ว่าขอบคุณผ่านรายการซึ่งผมขอบคุณบ่อยๆ พูดขอบคุณในตอนจบคอนเสิร์ตก็บ่อย แต่ว่าไม่เคยกล้าพูดต่อหน้าเลย เพราะผม Keep Cool กับพ่อแม่มาตลอด ผมไม่เคยให้เค้าเห็นในมุมที่ผมอ่อนไหว หรือว่าในมุมที่ผมบอกรักพ่อแม่น้อยมากๆ ซึ่งจริงๆ อยากบอกมากๆ นะ ผมแค่รู้สึกว่าผมไม่กล้าบอก

 

\"เจมีไนน์\" อีกมุมชีวิต ทั้งกดดัน ต้องแบกรับความหวัง อดีตที่หลั่งน้ำตา

 

ความสัมพันธ์กับ โฟร์ท ณัฐวรรธน์ ตอนนี้เป็นยังไง ?

  • เจมีไนน์ : ดีครับ เจอกันทุกวันเลย มีงานทุกวันก็จะเจอกันบ่อย แต่ว่าช่วงนี้เริ่มมีงานเดี่ยวด้วย น่าจะเป็นคนหนึ่งที่ผมเจอเยอะที่สุดในชีวิตแล้ว เป็นความสัมพันธ์ที่แปลกเหมือนกันนะ เพราะเราแทบไม่ค่อยคุยกันในไลน์เลย โทรก็ไม่เคย อินสตาแกรมก็ไม่เคย DM หากัน แต่ว่าทุกครั้งที่เรามาเจอกันในงาน มันคลิกกัน มันมีเคมีบางอย่างที่เชื่อมกันได้แบบที่มองตาก็รู้ใจ ซึ่งมันเป็นกับคนอื่นไม่ได้  

 

\"เจมีไนน์\" อีกมุมชีวิต ทั้งกดดัน ต้องแบกรับความหวัง อดีตที่หลั่งน้ำตา

 

\"เจมีไนน์\" อีกมุมชีวิต ทั้งกดดัน ต้องแบกรับความหวัง อดีตที่หลั่งน้ำตา

ข่าวยอดนิยม