เครียด "ต้าห์อู๋ - ออฟโรด" หวิดแยก ความกดดันทำเกือบตัดใจหันหลังงานแสดง
Exclusive "ต้าห์อู๋ พิทยา - ออฟโรด กันตภณ" 2 นักแสดงคู่จิ้นดัง ที่โคจรมาเจอกันอีกครั้งกับ Century of Love ปาฏิหาริย์รักร้อยปี งานนี้เบื้องหลังมีทั้งน้ำตา ความกดดันที่แบกรับ เสียงรอบข้างที่พูดถึง ความไม่เข้าใจ จนเกือบหันหลังให้งานแสดง
พร้อมออกอากาศให้ชมกันแล้ว สำหรับซีรีส์ Century of Love ปาฏิหาริย์รักร้อยปี งานแสดงเรื่องล่าสุดของคู่จิ้นคนสนิทอย่าง #ต้าห์อู๋ออฟโรด "ต้าห์อู๋ พิทยา (ซาน) - ออฟโรด กันตภณ (วี)" ซีรีส์ที่เรียกว่าต้องแลกมาด้วยทั้งน้ำตา ความเครียด จุดความคิดที่เกือบหันหลังให้งานแสดง แต่นั่นก็อีกหนึ่งด้านพิสูจน์ความสามารถ และมั่นคงที่จะเดินทางในฐานะ "นักแสดงอาชีพ" ของ "ต้าห์อู๋ - ออฟโรด" ทั้ง 2 หนุ่มเปิดใจผ่านบทสัมภาษณ์สุด Exclusive ในหลากเรื่องราว
Exclusive "ต้าห์อู๋ - ออฟโรด"
ปาฏิหาริย์รักร้อยปี( Century of Love ) เป็นซีรีส์ที่จะเห็นความจิ้นฟิน?
ต้าห์อู๋ - ออฟโรด : เรื่องซีนต่างๆ นั้น เติบโตขึ้นและทำงานกันหนักมาก ในแต่ละพาร์ทที่มีความละเอียดและมิติของงานแสดงที่ลึกลงไปอีก ซีรีส์เรื่องนี้เป็นเรื่องราวความรัก เรื่องเลิฟซีน มันเขินมาก ตอนแรกคงไม่เล่นเยอะ แต่ไม่น่าเชื่อ เยอะกว่าเรื่องที่แล้วอีก เรื่องนี้มีความสมเหตุสมผล ตรงนี้มีความเข้าใจได้ว่าทำไมต้องทำแบบนี้ และมีความฟินไปกับเรื่อง ไม่ใช่แค่เลิฟซีน
คนจะมองว่าเลิฟซีนคือ ฉากเข้าพระ เข้านาง ผมรู้สึกว่าบางทีซีนแบบนั้นอาจจะเป็นซีนดราม่าก็ได้ แต่ว่าที่จะได้เห็นคือจะมีการเล่าเรื่องเป็นภาพ เป็นฟิวมีนนิ่งของซีน เกือบทุกซีนที่มีดีเทลเข้าไป ความละเอียดเลิฟซีนคือการปล่อยฟรี การแสดงความรักของคน 2 คนในตัวละครนั้นๆ ปล่อยให้ตัวละครทำไปในการแสดงความรัก
การมีเจอกันอีกครั้งของ "ต้าห์อู๋ - ออฟโรด" อยู่บนความคาดหวังของแฟน?
ต้าห์อู๋ - ออฟโรด : มันไม่ได้กดดันจากคนรอบข้าง เพราะว่าแฟนคลับเขาเชื่ออยู่แล้วว่าสิ่งที่ทำออกไปเต็มที่ ต้าห์อู๋ กล่าวเสริมว่า อย่างตนเอง เริ่มจากตัวเอง ที่รู้สึกว่าอยู่ในช่องที่ผลิตนักแสดงออกมา เป็นหนึ่งในอาชีพที่หลายคนร่ำเรียนมาและอยากอยู่จุดนี้ เราที่ได้โอกาสไม่ได้แค่อยากเป็นนักแสดงที่คุณเป็นคนที่มีชื่อเสียง และเข้ามาในโปรเจกต์หนึ่ง ตอนแรกๆ ก็มีความว่า "เด็ก 2 คนนี้มันจะแสดงได้เหรอ? มาจากบอยแบนด์ได้เหรอ" เรารู้สึกว่าพอได้ยินแบบนี้อยากทำให้เต็มที่ และตั้งคำถามว่า "วันนี้เรียกตัวเองว่านักแสดงได้หรือยัง?"
ตอนแรกๆ ที่ได้ยินก็เข้าใจ เข้าใจได้ และต้องทำให้ดีที่สุด และมีช่วงที่ท้อ เพราะเรารู้สึกว่าเราจะ give up จากงานแสดงไปเพราะว่ายังไม่ได้ไปทำหน้าเซ็ทจริงๆ ซึ่งมีการเรียนที่มีเรื่องที่ไม่เข้าใจเต็มไปหมด เพราะเราไม่ได้ลงมือทำ จนกระทั้งได้เรียนรู้ด้วยตัวเองถึงจะเข้าใจว่าเป็นอย่างไร ช่วงแรกๆ แทบจะยอมแพ้เลย เรียนไปไม่เข้าใจ ตอนนั้นเพราะความไม่เข้าใจเราเรียนแค่ในห้อง และคิดว่าทำไม่ได้เนื่องจากเรามีการหวังผล ยอมรับว่าอยู่กับการประเมิน การหวังผลมาตลอดว่าสิ่งที่ทำได้ ไม่ได้อย่างไร พอได้ทำงานจริงๆ แล้วก็ไปได้ค่อยทำความเข้าใจ ต้องขอบคุณพี่หวอ ที่ทำให้เราเข้าใจและรักงานแสดง
ต้าห์อู๋ เล่าต่อว่า "จริงๆ ตนเองกดดันหลายอย่าง ถ้าโปรเจกต์นี้ไม่ได้มันลำบาก ไปต่อยากในเส้นทางนักแสดง มีเสียงทีมงานมาว่า ได้ทีมเขียนบทดีมากเลยนะ ต้องออกมาดีแน่ๆ ได้ผู้กำกับดีมากๆ เลย ทุกอย่างอาจจะเป็นการพูดเพื่อให้กำลังใจเรา แต่มันคือสิ่งที่บอกว่า "ต้องทำให้ดี ต้องทำให้ได้" มันเลยกดดัน ด้วยคนทำเป็นคนช่องวัน แทบจะทุกกระบวนการ มันเลยเครียดมาก ผมเข้าโรงพยาบาลมา 2 - 3 รอบ
มันรู้สึกว่าไม่มีความสุข มันไม่เข้าใจว่าในการเข้าเรียนแสดงแต่ละครั้ง ทำไรก็ไม่ถูกผิดหมดเลย มีความพยายาม คาดหวัง หวังผล การแสดงมันหวังผลไม่ได้ เราเครียดกระทั้งเปิดกองวันแรก พอเข้ากองถึงจะเข้าใจว่าสิ่งที่เรียนมาเป็นอย่างไรก็ตอนอยู่ในกอง ในการอยู่กับปัจจุบัน หลังจากที่เข้ากองคิว 2- 3 เริ่มเข้าใจแล้ว เริ่มเข้าขาละ รู้สึกสบายใจมากขึ้นที่ผู้กำกับเข้ามา เปลี่ยนวิธีคิดไปเลยเอาไปมิกซ์กับอย่างอื่นไปเลย
ณ วันนี้ผ่านงานแสดงกับพี่หวอ มาผมแฮปปี้ผมโอเค ส่วนผลงานเป็นอย่างไรอยู่ที่คนดูผู้ชม จะเป็นอย่างไรต่อค่อยมาปรับพัฒนากันต่อไป
"ออฟโรด" ยอมรับว่าตัวเองกับ ต้าห์อู๋ เหมือนกัน พอเจอสถานการณ์จริงจะเจอมากกว่า เราใหม่ทั้งคู่แรงกดดันเยอะจริง ก็ได้แต่คอยให้กำลังใจกัน เขาบอกว่า "จะเล่นดีมั้ย จะทำได้มั้ย แต่ต้องแลกกับสิ่งที่ไม่มีความสุข ณ ตอนนั้นที่เขาบอก" เราทำได้แค่ให้กำลังใจเขา และเราเชื่อมั่นมาตลอด
ปัญหาของ "ออฟโรด" เกิดขึ้นตอนเข้ากองไปแล้ว คือสิ่งที่เราทำมาไม่ใช่ กลายเป็นว่าเปลี่ยนไม่ได้ ทั้งที่เราเปลี่ยนแล้วแต่ดูไม่เปลี่ยน มันกดดันมากๆ เพราะต้องทำงานกันคนจำนวนมาก เมื่อไหร่ที่เราทำไม่ได้สักที ก็เจอขั้นที่ว่าข้ามบางจุดโฟกัสไปเลยที่อยากจะได้เพิ่ม ตอนนั้นเราเสียใจ บางทีมาแค่เสียงเพราะพูดผ่านมอนิเตอร์ เราก็หงุดหงิดตัวเอง เราทำอะไรอยู่ มันใช่หรือไม่ ความมั่นใจหายไปเลย มันยิ่งแย่ไปเรื่อยๆ พออยู่กับสิ่งแบบนี้เรื่อยๆ มันเกิดความกลัว มันปิดกั้นเลยไม่กล้า ผมปิดทุกอย่าง ทำแค่บทที่มี มีเรื่องให้แก้ไข (ทำไมเล่นเป็นหุ่นยนต์)
ความสุขผมหายไปเยอะ ผมไปด้วยความกลัว ผมทำทุกวิถีทางเลย บางทีรู้สึกความสุขมันหายไปแต่อยากทำอยู่ เพราะเคยบอกไว้ว่าเราจะไปด้วยกัน(กับต้าห์อู๋) ทีมงาน พี่อู๋ก็ช่วยรับฟังเรา กว่าจะปรับตัวเข้ากับกองได้ก็หลังๆ เลย
วันหนึ่งถ้า "ต้าห์อู๋"ไม่มี ออฟโรด และ ออฟโรด ไม่มีต้าห์อู๋ มันจะเป็นอย่างไร?
ไม่เคยคิดนะ เพราะว่าต่อให้สักวันหนึ่งเราจะต้องแยกทำงาน ก็ยังใช่ชีวิตได้ต่อไปด้วยกันได้เรื่อยๆ เราไม่ได้ทำงานไป 30 50 ปี อยู่แล้ว ไม่หายไปจากชีวิตของกันและกันแน่นอน เป็นบ้านพักให้เขา เราก็รักกันนี่แหละ