เด่นโซเชียล

หลอนมาก "หมอดื้อ" เล่าประสบการณ์ ขนหัวลุก เมื่อเจอเหตุการณ์นี้

หลอนมาก "หมอดื้อ" เล่าประสบการณ์ ขนหัวลุก เมื่อเจอเหตุการณ์นี้

04 มิ.ย. 2565

ชวนหลอน "หมอดื้อ" บอกเล่าประสบการณ์ชวน ขนหัวลุก เมื่อครั้งเหตุการณ์ สึนามิ บอกเลย ใครไม่เจอด้วยตัวเองไม่รู้

หลายคนคงเคยมีประสบการณ์ชวน ขนหัวลุก มาไม่มากก็น้อย เช่นเดียวกับ "หมอดื้อ" หรือ ศ.นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งปกติแล้วจะโพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ค ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา Thiravat Hemachudha ให้ความรู้เรื่องโควิด และเรื่องโรคภัยต่าง ๆ อยู่เป็นประจำ 

แต่มาคราวนี้ "หมอดื้อ" ได้โพสต์ข้อความ บอกเล่าชีวิตหมอ กับประสบการณ์วิญญาณ โดยระบุว่า คิดอยู่นานเหมือนกันว่าจะมาบอกเล่าเก้าสิบ เกี่ยวกับประสบการณ์วิญญาณหรือไม่ เดี๋ยวจะกลายเป็นเรื่องที่ต้องมาพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์กันต่าง ๆ นานา แต่คงไม่แปลก ถ้าไม่เชื่อก็ไม่เป็นไรนะครับ มาเล่าสู่กันฟัง

 

 

เรื่องแรกที่จะเล่า (ความจริงมีมากมายหลายเรื่อง) น่าจะเป็นประสบการณ์ของหลาย ๆ คน จนถึงกลายเป็นประสบการณ์หมู่ นั่นก็คือเรื่องเหตุการณ์สึนามิ ที่เกิดขึ้นในประเทศไทย ในวันที่ 28 ธันวาคม 2547 ในช่วงแรกถ้าเรายังจำกันได้ทุกคน ไม่ว่าจะเป็นหน่วยงานใด ภาคใด ทั้งหมอและเจ้าหน้าที่กู้ภัย และสาธารณสุข ต่างช่วยกันอย่างพร้อมเพรียง ในการค้นหาผู้ที่รอดชีวิตและในการบริบาลรักษา ช่วยชีวิตผู้ที่ประสบเคราะห์กรรม และในเวลาเดียวกันก็มีการช่วยเหลือเคลื่อนย้ายผู้ประสบภัย ให้ไปอยู่ในทำเลใหม่ที่ปลอดภัยกว่า และมีการสร้างที่พักพิงให้หลายตำแหน่ง 

 

 

ปัญหาความยุ่งยากที่ตามมาก็คือ ผู้ประสบภัยไม่แต่เพียงมีผลกระทบทางจิตใจ ความเครียด วิตกกังวล หดหู่ถึงกับไม่อยากมีชีวิตอยู่ ยังถูกรุมเร้าด้วย โรคประจำตัวที่มีอยู่แล้ว และเคยได้รับการรักษาอย่างต่อเนื่องอยู่แล้ว ทั้งนี้ ไม่ว่าจะเป็นโรคทางสมองโรค ทางอายุรกรรม หัวใจ เบาหวาน ความดัน ไต ตับและโรคเรื้อรังต่าง ๆ ทางข้อและกระดูก เป็นต้น โดยต้องขาดตอนการได้รับยารักษา และหลายคนก็พูดเสียงเดียวกันว่า หมอไปกับน้ำแล้ว

ภาพเหตุการณ์สึนามิ ปี 2547

เมื่อเวลาผ่านไปเป็นสัปดาห์ถึงเป็นเดือน ถึงแม้ว่าจะมีหน่วยงาน ทั้งในประเทศและนานาชาติ อาสาเข้ามาช่วยเหลือ โดยเข้ามาอนุเคราะห์แจกจ่ายยาให้ผู้ประสบภัย แต่ปัญหาใหญ่ที่อาจจะทำให้เกิดผลข้างเคียงเพิ่มขึ้นไปอีกก็คือ ยาชนิดเดียวกัน หรือประเภทเดียวกัน ชื่อต่างกันภาษาต่างกัน ได้ถูกแนะนำให้ทาน ดังนั้น หมายความว่า ยาชนิดนั้น ๆ ที่ควรใช้วันละหนึ่งเม็ด กลับกลายเป็นได้วันละ 3 ถึง 4 เม็ด กลายเป็นยาซ้ำซ้อนเข้าไปอีก คณะเล็ก ๆ ของเรา ที่นำโดยภรรยาของหมอ และเภสัชกรที่สนิทชิดเชื้อกัน จึงได้รวมกลุ่มประมาณ 60 ถึง 70 คน โดยลงไปเยี่ยมที่หมู่บ้านพักพิง เหล่านี้

 

 

ทั้งนี้ โดยเป็นการเยี่ยมในแต่ละบ้าน และทำบันทึกประจำตัวและครอบครัวถึงโรคประจำตัวที่มีอยู่ ยาที่เคยใช้ถ้าจำได้ และโรคที่เกิดขึ้นใหม่ หลังจากเหตุการณ์สึนามิ รวมทั้ง รวบรวมยาทั้งหมดที่ได้รับในแต่ละบ้าน แยกแยะประเภทและจัดคำแนะนำใหม่ และถ่ายรูปชื่อยาที่เป็นภาษาต่างประเทศ ที่ไม่ใช่เป็นภาษาอังกฤษ จะเป็นภาษาทางยุโรป และภาษาญี่ปุ่น อิสราเอล เป็นต้น และส่งไปแปลให้ทราบชื่อและประเภทของยา

 

 

ในกลุ่มนี้ มีหมอและพี่หมออีกท่านหนึ่งที่ร่วมคณะไปด้วย โดยในแต่ละบ้านที่มีการเข้าเยี่ยม ถ้าพบมีปัญหาก็จะโทรศัพท์มาเรียกเราให้เข้าไปตรวจร่างกาย ซักประวัติ และทำบันทึกในกระดาษใส่ซองพลาสติก ทั้งนี้ เพื่อจะได้นำไปแสดงให้น้องหมอและพยาบาลที่โรงพยาบาลในพื้นที่ ที่มีการเข้ามาเยี่ยมหรือพาไปรักษาต่อที่โรงพยาบาล จะได้ทราบอาการเพื่อทำการตรวจวินิจฉัยด้วยเครื่องมือที่จำเป็นต่อไป การเยี่ยมบ้านในพื้นที่ยังได้มีการทบทวน ทุก 2 เดือน เพื่อจะได้ทราบว่าปัญหาที่ได้นำส่งโรงพยาบาลในพื้นที่ ว่าได้รับการแก้ไขแล้ว สำเร็จหรือไม่ หรือจำเป็นต้องส่งต่อไปยังโรงพยาบาลใหญ่ต่อไป

เหตุการณ์สึนามิถล่มปี 2547

"หมอดื้อ" เล่าประสบการณ์ชวน ขนหัวลุก ต่อว่า ที่เล่ามายืดยาวเป็นการปูพื้นเรื่องว่า ในระหว่างที่ทำงานนั้นพบอะไรบ้าง เมื่อคณะของเราเดินทางไปถึงที่เขาหลัก โดยมีที่พักเป็นโรงแรมที่อยู่ที่นั่น ที่หน้าโรงแรมจะมีหน่วยทหารที่น้อง ๆ คอยช่วยรื้อถอนขนย้ายซากปรักหักพัง โดยที่เรายังไม่ทันเข้าในที่พัก น้องทหารก็เข้ามาหาแล้วถามว่า พี่ ๆ เป็นหมอใช่มั้ย พวกผมขอยานอนหลับเยอะ ๆได้ไหม และก็เล่าให้ฟังว่า เวลาโพล้เพล้ ก็จะเห็นกลุ่มคนเดินมาเป็นหมู่ ส่งเสียงที่จับความไม่ได้ แต่ไม่ใช่ภาษาไทย หรือไม่ใช่ภาษาอังกฤษด้วยซ้ำ แล้วก็เดินไปมาทุกเย็น และได้ยินเสียงตอนกลางคืน พวกเราได้ฟัง ก็ดูเหมือนจะตรงกับที่ทราบมาเลา ๆ ก่อนหน้าว่ามีอะไรแบบนี้ ดังนั้น น้องเภสัชกร จึงสมัครใจอยู่ห้องเดียวกัน ห้องละ 4 ถึง 5 คน และแต่ละคน ต่างก็เตรียมบทสวดคาถา ตามศาสนาต่าง ๆ ครบถ้วน ซึ่งเมื่อเข้าที่พักไปแล้ว และกำลังจะเตรียมลงพื้นที่ ยังได้พบกับน้องทหารที่เป็นผู้บังคับการ ได้บอกปัญหาของทหารที่ทำงานอยู่ขณะนี้ว่า อกสั่น ขวัญแขวน และอย่างไรก็คงต้องใช้ยาที่ช่วยให้ผ่อนคลายหรือยานอนหลับนั่นเอง

 

 

จะเป็นวันแรกหรือวันที่สอง ที่พวกเราลงพื้นที่ หมอก็ไม่แน่ใจนัก ตกตอนเย็นประมาณ 6 โมงเย็นกว่า ๆ หมอก็เลยชวนลูกชาย ขณะนั้นน่าจะอายุประมาณ 13 ปี ไปตีเทนนิสที่สนามที่อยู่ข้าง ๆ ที่พัก จำได้ว่าตีไปประมาณสามเกม ไฟที่อยู่ริมสนาม ดับไปหนึ่งดวง เหลือสามดวง ก็มองหน้ากัน ในใจคงไม่ต้องบอกนะครับว่ากำลังคิดอะไรอยู่ แต่ก็เล่นต่อ เล่นไปได้อีกสักพัก ไฟก็ดับไปอีกหนึ่งดวง ถึงตอนนี้เลยพยักหน้ากัน และรีบไปเก็บไม้ใส่ถุง เก็บลูกเทนนิสเรียบร้อย กำลังจะเดินออก เราทั้งคู่ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าตึก ๆ ขึ้นบันไดมา โดยที่สนามเทนนิสจะมีความสูงอยู่ประมาณชั้นสอง เสียงฝีเท้าวิ่งผ่านประตูเข้าสนามเทนนิส ซึ่งครึ่งทางด้านล่างทึบ และน่าจะมีความสูงประมาณ 1 เมตร และก็เห็นศีรษะเด็กโผล่มาให้เห็นเล็กน้อย และเสียงฝีเท้าก็วิ่งลงบันไดอีกทาง ไปชั้นล่าง หมอและลูกตอนนี้ น่าจะอยู่ในสภาวะขนลุกขนชัน แต่ก็เดินไปที่ประตู และเปิดประตูมองไปทางซ้าย ก็คือเป็นบันไดที่ขึ้นมาจะเข้าสนามเทนนิส มองไปทางขวาก็คือบันไดที่ลงไปชั้นล่าง และที่ได้ยินเสียงฝีเท้าลงไป หมอเลยถามลูกว่า จะลงไปดูเขาไหม ตามที่ได้ยินเสียงฝีเท้า ลูกหมอเลยตอบเสียงเบา ๆ ว่า "พ่อ ข้างล่างมันมืดตึ๊ดตื๋อ" และเราก็เห็นลาง ๆ มีของวางระเกะระกะ ลูกบอกว่า.."พ่อไปเหอะ" และแล้ว พ่อกับลูกก็วิ่งแข่งกันกลับไปอย่างรวดเร็ว ไปที่ลอบบี้ของที่พัก ได้เจอเจ้าหน้าที่ เลยถามว่าที่ตรงนั้นเอาไว้ทำอะไร ได้รับคำตอบว่า เป็นที่สำหรับเก็บของที่ได้รับความเสียหายจากคลื่นยักษ์ เลยเอามาเก็บไว้รวมกันที่ชั้นใต้ถุน เราก็เลยถามต่อว่า มีอะไร หรือเห็นอะไรอย่างนี้ไหม น้องเค้าก็อ้อมแอ้มว่า ก็ไม่มีอะไรนะครับ จะยังไงก็ตาม เราสองคนก็เลยวิ่งกลับห้องโดยด่วน และแน่นอนเปิดไฟสว่างจ้าตลอดคืน

 

 

หลังจากที่เราทำงานเสร็จในพื้นที่ครั้งนี้ กลับมาบ้านที่กรุงเทพได้ประมาณหนึ่งสัปดาห์ หมอฝัน ในฝันนั้น เห็นสตรีน่าจะเลยวัยกลางคนไม่ใช่คนไทย เดินอยู่บนสนามหญ้า และข้าง ๆ มีเด็กผู้ชายขี่จักรยานเล่นอยู่ด้วย คุณน้าท่านนั้น เดินเข้ามาหาหมอ และยื่นมือส่งตุ๊กตาเล็ก ๆ ให้ซึ่งหมอรับมา และก็ตกใจตื่น ทั้งนี้ ในช่วงเวลานั้น คงเหมือนกับคนไทยทุกคน ที่ได้ทำบุญแผ่ส่วนกุศล ให้ผู้ประสบเคราะห์กรรมเหล่านี้ได้ไปสู่สุคติ และน่าจะเป็นเครื่องเตือนใจว่า ชีวิตนั้นไม่แน่นอนและเมื่อจากไปแล้วยังคงวนเวียนอยู่ การทำบุญทำกุศลเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ต่อคนอื่น โดยไม่ต้องคิดว่าจะต้องได้รับอะไรตอบแทน เป็นสิ่งประเสริฐที่สุดในชีวิต และไม่น่าจะสายเกินไปที่มนุษย์ทุกคนจะเริ่มต้นชีวิตใหม่ด้วยความรักเข้าใจ และไม่ประหัตประหารกันความจริงยังมีอีกมากมายหลายเรื่องในชีวิตของหมอ และเชื่อว่าหลาย ๆ คน อาจจะมีประสบการณ์คล้ายคลึงกัน ถ้าไม่เบื่อจะได้นำมาเล่าให้ฟังกันอีกนะครับ

หลอนมาก \"หมอดื้อ\" เล่าประสบการณ์ ขนหัวลุก เมื่อเจอเหตุการณ์นี้

 

 

ที่มา ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา Thiravat Hemachudha