เด่นโซเชียล

ทนายธรรมราช ตอบชัด สาเหตุที่ไม่ออกไปคุยกับ หนุ่ม กรรชัย เพราะหิวข้าว

ทนายธรรมราช ตอบชัด สาเหตุที่ไม่ออกไปคุยกับ หนุ่ม กรรชัย เพราะหิวข้าว

05 มิ.ย. 2567

ทนายธรรมราช ตอบชัด สาเหตุที่ไม่ได้ออกไปคุยกับ หนุ่ม กรรชัย ที่ สน.ทองหล่อ เพราะหิวข้าว ยังไม่ได้กิน เลยไม่มีอารมณ์คุย

จากกรณีที่มีกระแสดราม่า หลังจากครอบครัว "เชื่อมจิต" และทนายธรรมราช เข้าเข้าพบพนักงานสอบสวน ตามหมายเรียกในข้อหา "หมิ่นประมาทด้วยการโฆษณา" หลัง "หนุ่ม กรรชัย กำเนิดพลอย" พิธีกรชื่อดัง มอบอำนาจให้ทนายเข้าแจ้งความเอาผิด แต่ก็เกิดความวุ่นวายขึ้น

 

 

เมื่อเจ้าหน้าที่ให้ครอบครัวและกลุ่มเชื่อมจิต พิมพ์ลายนิ้วมือที่ชั้น 1 ของโรงพัก ทั้งที่ปกติขั้นตอนการพิมพ์นิ้วมือจะต้องดำเนินการที่ชั้น 2 ทำให้ "หนุ่ม กรรชัย" พร้อม "ต้นอ้อ เป็นหนึ่ง" และทนายความ ตั้งคำถามถึงการทำงานของตำรวจ เสมือนปฏิบัติ 2 มาตรฐาน พร้อมตั้งคำถามทำไมตำรวจให้อภิสิทธิ์กับครอบครัวนี้

ขณะที่บางช่วงบางตน มีการเผยแพร่ภาพขณะที่ "หนุ่ม กรรชัย กำเนิดพลอย" ตะโกนเชิญ ทนายธรรมราช มาคุยกันใกล้หน่อย แต่ทางด้ารนทนายธรรมราชก็ไม่ได้เดินมาคุยด้วย

 

ทนายธรรมราช ตอบชัด สาเหตุที่ไม่ออกไปคุยกับ หนุ่ม กรรชัย เพราะหิวข้าว

 

ล่าสุด เฟซบุ๊กเพจ ทนายธรรมราช The Lawyer of legality. ของ ทนายธรรมราช สาระปัญญา โพสต์แจงที่ไม่ได้ไปคุยกับ หนุ่ม กรรชัย ระบุว่า ที่ผมไม่ได้คุยกับหนุ่มกรรชัย ตอนที่อยู่ สน. ทองหล่อ​ เพราะว่าผมหิวข้าวครับ ณ​ ตอนนั้นผมยังไม่ได้กินข้าวเที่ยง​ เลยไม่มีอารมณ์คุย​ และไม่ได้กลัวแต่ในฐานะที่อายุมากกว่าผม ก็ให้เกียรติจึงไม่ตะโกนสวนกลับ

 

อีกประการหนึ่ง​ ณ​ เวลานั้นผมต้องตรวจเอกสาร อันเป็นเอกสารสำคัญประกอบสำนวนคดี  จึงต้องให้ความสำคัญ ในเรื่องนั้นมากกว่า เอาเป็นว่าถ้าอยากคุยกับผม เดี๋ยวไปคุยกันที่ศาลครับ ตามวันและเวลานัด ที่ลงในหมายเรียกและสำเนาคำฟ้อง ของศาลจังหวัดสุราษฎร์ธานี​

 

 

ในส่วนวันนี้ ที่สำนักงานพุทธศาสนาแห่งชาติ เดิมทีพ่อแม่และน้องเชื่อมจิต พร้อมพุทธศาสนิกชนผู้ปฏิบัติธรรม กลุ่มนิรมิตเทวาจุติ จะไปยื่นหนังสือด้วยตนเอง​ แต่ด้วย เหตุผลของการเดินทาง เกรงจะขึ้นเครื่องกลับสุราษฎร์ธานีไม่ทัน จึงมีการเปลี่ยนแผนหลังจากที่ผมได้โพสต์ลงใน Facebook เมื่อเช้านี้

 

ในส่วนประเด็นคำถามนั้น ไม่ว่าทางท่าน​ ผอ. สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ จะดำเนินการไปในทางใด ย่อมมีผลทางกฎหมายแน่นอนครับ แต่จะมีผลไปในทางใด นั้นขึ้นอยู่กับ ดุลยพินิจของท่าน ผอ.สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ เป็นผู้กำหนด