
งาแดงพันธุ์ใหม่'สารต้านมะเร็งสูง'
งาแดงพันธุ์ใหม่ 'อุบลราชธานี 84-2' จุดเด่น 'ผลผลิต-สารต้านมะเร็งสูง' : โดย...ดลมนัส กาเจ
ประเทศไทยมีพื้นที่ปลูกงาปีละประมาณ 4.2 แสนไร่ ส่วนใหญ่ภาคเหนือและภาคอีสาน มีทั้งงาแดง งาขาว งาดำ ให้ผลผลิตรวมปีละราว 5 หมื่นตัน ในจำนวนนี้งาแดง เกษตรกรนิยมปลูกมากที่สุด เนื่องจากมีความทนทานต่อความแปรปรวนของสภาพภูมิอากาศและให้ผลผลิตต่อไร่สูง ทำให้นักวิจัยกรมวิชาการเกษตร "สายสุนีย์ รังสิปิยกุล" นักวิชาการเกษตรชำนาญการพิเศษ ศูนย์วิจัยพืชไร่อุบลราชธานี เป็นหัวหน้าทีมวิจัยและปรับปรุงพันธุ์งาแดงจนประสบผลสำเร็จ ได้งาแดงพันธุ์ใหม่ "อุบลราชธานี 84-2" ที่โดดเด่นด้านให้ผลผลิต มีสารต้านอนุมูลอิสระสูง (antioxidants) เป็นทางเลือกใหม่แก่เกษตรกรที่จะนำไปปลูกเพื่อสร้างอาชีพและสร้างรายได้เพิ่มมากขึ้น
ทั้งนี้ จากการเปิดเผยของ นายดำรงค์ จิระสุทัศน์ อธิบดีกรมวิชาการเกษตร ว่า ขณะนี้ศูนย์วิจัยพืชไร่อุบลราชธานีได้ปรับปรุงพันธุ์งาแดงพันธุ์ใหม่สำเร็จเพิ่มอีกหนึ่งพันธุ์ คือ พันธุ์ เอ 30-15 (A30-15) กำลังอยู่ระหว่างการเสนอให้คณะกรรมการวิจัยปรับปรุงพันธุ์พืช พิจารณาประกาศเป็นพันธุ์แนะนำของกรมวิชาการเกษตร ตั้งชื่อใหม่ว่า “งาแดงพันธุ์อุบลราชธานี 84-2” (Ubon Ratchathani 84-2) เพื่อร่วมเฉลิมพระเกียรติเนื่องในโอกาสที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงเจริญพระชนมพรรษา 84 พรรษา
"เมล็ดงามีคุณค่าทางโภชนาการสูง มีโปรตีน 21-27% มีน้ำมันที่มีคุณภาพดีและมีธาตุอาหารเกือบครบถ้วน อาทิ ธาตุแคลเซียม ฟอสฟอรัส โพแทสเซียม แมงกานีส และแมกนีเซียม นอกจากนี้ ยังมีสารต้านอนุมูลอิสระ จึงมีการนำงาไปใช้เป็นอาหารเพื่อสุขภาพและใช้ป้องกันและรักษาโรค โดยมีรายงานวิจัยระบุว่า การบริโภคเมล็ดและน้ำมันงาจะช่วยชะลอความแก่ ลดระดับคอเลสเตอรอลในเลือด ลดความดันโลหิต ช่วยลดอัตราการเต้นและบีบตัวของหัวใจ ทั้งยังช่วยลดปฏิกิริยาทางเคมีที่จะชักนำให้เกิดโรคมะเร็งและลดการเสื่อมสภาพของสมองด้วย ปัจจุบันงาเป็นพืชที่มีศักยภาพด้านการตลาด มีการขายอยู่ที่กก.ละ 35-40 บาท เพิ่มจากปี 2554 ที่มีราคา กก. 20 บาทเท่านั้น" ดำรงค์ กล่าว
ด้าน น.ส.สายสุนีย์ รังสิปิยกุล หัวหน้าทีมวิจัยและปรับปรุงพันธุ์งาแดงฯ กล่าวเพิ่มเติมว่า งาแดงพันธุ์ใหม่นี้ได้จากการคัดเลือกสายพันธุ์บริสุทธิ์ของสายพันธุ์ 30-15 ซึ่งรับมาจากองค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ หรือเอฟเอโอ ปี 2528 โดยศูนย์วิจัยพืชไร่อุบลราชธานีได้ปลูกคัดเลือกสายพันธุ์บริสุทธิ์ช่วงระหว่างปี 2532-2534 จากนั้นปลูกเปรียบเทียบเบื้องต้น 1 แปลง แล้วปลูกเปรียบเทียบมาตรฐานจำนวน 3 แปลง ปลูกเปรียบเทียบในท้องถิ่น 23 แปลง และปลูกทดสอบในไร่เกษตรกรในพื้นที่ จ.พิษณุโลก และสุโขทัย ศรีสะเกษ ลพบุรี เพชรบูรณ์ และนครสวรรค์ รวม 13 แปลง
กระทั่งได้พันธุ์งาแดงพันธุ์อุบลราชธานี 84-2 ที่มีลักษณะเด่น ให้ผลผลิตสูงเฉลี่ย 134 กก./ไร่ สูงกว่าพันธุ์อุบลราชธานี 1 ประมาณ 6% และให้ผลผลิตในเขตปลูกงา จ.ลพบุรีและเพชรบูรณ์ เฉลี่ย 142 กก./ไร่ อีกทั้งยังมีปริมาณสารต้านอนุมูลอิสระจำนวน 10,451 มก./ กก.สูงกว่าพันธุ์อุบลราชธานี 1 ประมาณ 15% ที่สำคัญงาแดงพันธุ์ใหม่นี้สามารถปลูกได้ทั่วไปในสภาพการผลิตงาในประเทศไทย โดยเฉพาะแหล่งปลูก ได้แก่ จ.เพชรบูรณ์และลพบุรี จะให้ผลผลิตสูง ปัจจุบันศูนย์วิจัยพืชไร่อุบลราชธานีมีเมล็ดพันธุ์งาแดงพันธุ์อุบลราชธานี 84-2 เป็นเมล็ดพันธุ์คัด 100 กก. และผลิตเมล็ดพันธุ์หลัก 500 กก.สามารถผลิตเป็นเมล็ดพันธุ์ขยายได้ประมาณ 5,000 กก.
งาแดง "อุบลราชธานี 84-2" เป็นอีกหนึ่งทางเลือกใหม่ของเกษตรกร หากสนใจสอบถามได้ที่ศูนย์วิจัยพืชไร่อุบลราชธานี จ.อุบลราชธานี โทร. 0-4520-2187-8
--------------------
(งาแดงพันธุ์ใหม่ 'อุบลราชธานี 84-2' จุดเด่น 'ผลผลิต-สารต้านมะเร็งสูง' : โดย...ดลมนัส กาเจ)