เขียนบันทึกเขียนจดหมาย(๑)
หนังสือที่เธอถือมา : เขียนบันทึก เขียนจดหมาย (๑) : โดย...ไพวรินทร์ ขาวงาม
‘ผมชอบบันทึกประจำวัน บันทึกมาตั้งแต่ปี ๒๕๑๙ บันทึกมาจนถึงวันนี้ และก็สอนเด็กให้รักการบันทึกประจำวัน เพราะนั่นคือการบันทึกประวัติศาสตร์ตัวเอง และประวัติศาสตร์สังคม วันนี้วันว่างจึงเปิดบันทึกประจำวันเดือนสิงหาคม ปี ๒๕๓๐ ผ่านมาแล้ว ๒๖-๒๗ ปี ตอบตัวเองได้ว่า...’ความคิดทางการเมืองไม่เปลี่ยน’ แต่สภาพชีวิตเปลี่ยนไปไม่น้อย...อยากให้เพื่อนครูพานักเรียนตั้งแต่ชั้น ป.๑ เป็นต้นไป บันทึกประจำวัน ผลที่ตามมามหาศาลนัก...มันเป็นการเพิ่มทักษะการเขียน, ทักษะการคิด, ทักษะการบรรยายโวหาร, พรรณนาโวหาร, อุปมาโวหาร, สาธกโวหาร...สิ่งที่บันทึกกลายเป็นหลักฐานส่วนตัว หลักฐานทางประวัติศาสตร์ หลักฐานทางสังคม...สิ่งนี้เป็นพื้นฐานสำคัญที่ทำให้ผมเป็นนักเขียนได้...’
บางวัน ผ่านไปส่องเฟซบุ๊กเพื่อน ที่เขาเป็นทั้งนักเขียนและครู-วีระ สุดสังข์ เขานำลายมือจากสมุดบันทึกเมื่อเดือนสิงหาคม ๒๕๓๐ มาโพสต์แบ่งปันเพื่อนในโซเชี่ยลมีเดีย
คนเห็น และคนอ่านบันทึกลายมือของเขาในเฟซบุ๊ก น่าจะมีทั้งคนรุ่นเก่าที่เคยเขียนบันทึกลายมือ และคนรุ่นใหม่ที่เขียนลายมือน้อยลง เพราะถนัดการเคาะแป้นคอมพิวเตอร์มากขึ้น อย่างไรก็เถอะ บันทึกลายมือของเขาก็ปรากฏเป็นประวัติศาสตร์เล็กๆ อย่างหนึ่งได้ ก่อนที่จะมีคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะ โน้ตบุ๊ก ไอแพด หรือไอโฟน เพื่อใช้เคาะๆ จิ้มๆ ลากๆ นั้น เขาใช้กระดาษกับปากกาเขียนด้วยลายมือมาก่อน และมันยังอยู่ด้วยรูปทรงอักษรเฉพาะ และเสน่ห์ของอารมณ์รู้สึกนึกคิดของช่วงวันเวลาเหล่านั้น
กับ ครูวีระ สุดสังข์-เราเป็นเพื่อนกัน ชอบขีดๆ เขียนๆ ร่วมยุคสมัยเดียวกัน ในยุคนั้น ถ้าไม่ใช้พิมพ์ดีดก็ลายมือนี่แหละ เราเขียนและอยู่กับมันด้วยความรักชอบในการเขียน อยากเขียน อยากบอก อยากเล่า ทั้งต่อสาธารณะ และต่อตัวเอง
ส่งต้นฉบับเรื่องสั้นและบทกวี เพื่อเสนอบรรณาธิการนิตยสารต่างๆ ถ้าไม่มีพิมพ์ดีด ก็ใช้ลายมือที่ตั้งใจคัดให้อ่านออกได้ง่าย ถ้าเขียนจดหมายถึงเพื่อนก็ใช้สมาธิเขียนอย่างสม่ำเสมอ แม้เขียนบันทึกส่วนตัวก็จดจ่อเขียนในสิ่งที่ตัวเองอยากบันทึก ลายมือในสมุดบันทึกอาจคัดๆ หวัดๆ หรือหวัดแกมบรรจงบ้างตามอารมณ์ในแต่ละขณะ
เวลาอ่านบันทึกส่วนตัวของพระ หรือนักเขียนมีชื่อเสียง ที่นำมาตีพิมพ์เผยแพร่ต่อสาธารณะแล้ว จะเห็นลายมือหลายแบบของบุคคลเดียวกัน เป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งในเส้นสายลายมือของคน
‘ไดอารี่’ ‘อนุทิน’ ‘สมุดบันทึก’ เป็นชื่อที่แล้วแต่จะเรียกจะใช้ มันดูเป็นส่วนตัวอย่างยิ่ง แต่การเขียนของคนซึ่งดำเนินชีวิตอยู่ในสังคมนั้น บางทีเรื่องส่วนตัวก็เป็นเรื่องไม่ส่วนตัว อย่างที่เรามักได้อ่านข้อเท็จจริงหรืออารมณ์ความรู้สึกส่วนบุคคลในทางสาธารณะ เพียงแต่ในทางเริ่มต้นเขียน เราไม่ได้คิดไปไกลถึงขนาดนั้น การเขียนก็คือการเขียน เขียนด้วยความอยากเขียน สมุดบันทึกของแต่ละคน อาจไม่มีใครอ่านเลยก็ได้นอกจากผุ้เขียนเอง แต่สิ่งที่เขียนนั้นคือความคิด ความอ่าน ความรู้สึก ความครุ่นคำนึง ความรำพึงรำพัน กับสิ่งที่ตัวเองมีต่อโลก
โลก-สำหรับแต่ละคน อาจหมายถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ บิดา มารดา ครูบาอาจารย์ มิตรสหาย คนชัง คนรัก ผู้มีพระคุณ เทวดาฟ้าดิน ชาติบ้านเมือง ข้าวปลาอาหาร ต้นไม้ใบหญ้า สัตว์เลี้ยง ฯลฯ
สิ่งที่สมุดบันทึกส่วนตัวเล่มหนึ่งบันทึกไว้นั้น เป็นเรื่องสวนตัวที่มีเส้นสายใยโยงไปไม่มีที่สิ้นสุด เขาไม่ได้เขียนเพราะเป็นคนมีชื่อเสียง ไม่ได้เขียนเพราะหาทางอยากจะมีชื่อเสียง หากเขียนเพราะอยากเขียน การเขียนเพราะอยากเขียนนี่เอง คือการเขียนที่นำพาให้คนได้เป็นนักเล่าเรื่อง หรือนักเขียน บางคนเริ่มต้นเขียนด้วยการสื่อสารกับสิ่งที่ไม่มีตัวตนจริงด้วยซ้ำ อาจเขียนคุยกับคนรักที่ไม่เคยมี อาจเขียนคุยกับความเชื่อ อาจเขียนคุยกับความฝัน อาจเขียนคุยกับสิ่งที่มีอยู่จริงแต่จากโลกนี้ไปแล้ว
ไดอารี่ที่รัก! อนุทินที่รัก! สมุดบันทึกที่รัก! บางทีก็เขียนพร่ำเพ้อไปตามประสาของวันวัย เขียนวันต่อวัน คืนต่อคืน ตั้งแต่เริ่มเขียนหนังสือเป็นอ่านหนังสือออก ผมชอบเขียนสมุดบันทึก กระทั่งบางวันไม่มีอะไรจะบันทึก ก็เขียนว่า ‘วันนี้ไม่มีอะไรจะบันทึก’ สมุดบันทึกของผม เป็นเพียงสมุดปกแข็งราคาถูกเท่านั้น ตอนนี้มันมีเป็นตั้งเหมือนหนังสือ ไม่เคยพิมพ์เผยแพร่ หรือได้ค่าตอบแทนจากมัน แต่เวลาเปิดอ่านเห็นลายมือและเรื่องราวเล็กๆ น้อยๆ ที่เขียนไว้ มันไม่ได้ยิ่งใหญ่อะไรเลย แต่มันรู้สึกดี ที่เห็นลายมือดูดี และภาษาไทยอ่านได้
นี่แหละ-ความสุขโฉมหน้าหนึ่งของคนชอบเขียน!
--------------------------
(หนังสือที่เธอถือมา : เขียนบันทึก เขียนจดหมาย (๑) : โดย...ไพวรินทร์ ขาวงาม)