![MG6ต้องลอง:ขับไว้จะไปจอง MG6ต้องลอง:ขับไว้จะไปจอง](https://media.komchadluek.net/media/img/size1/2014/07/12/eaaiejecd7dfdd7j5hkgf.jpg?x-image-process=style/lg-webp)
MG6ต้องลอง:ขับไว้จะไปจอง
MG6ต้องลอง : ขับไว้จะไปจอง
ต้องยอมรับว่าอุตสาหกรรมรถยนต์ยุโรป ครั้งหนึ่งที่มีศูนย์กลางความเจริญอยู่ที่อังกฤษ ได้ล่มสลายลงไปนานแล้ว การผลิตโดยเฉพาะแบรนด์รถอังกฤษเองตกต่ำจนถูกเปลี่ยนเจ้าของไปสู่ต่างชาติ ไม่ว่า ยี่ห้อมินิ โรลสรอยซ์ เบนทลีย์ แลนด์โรเวอร์ จากัวร์ อุตสาหกรรมรถที่อังกฤษยังเหลือความเก่งอยู่อย่างเดียวคือ ความเชี่ยวชาญในงานพิเศษ รถทำมือ การพัฒนาตัวถังรถแข่งตระกูลเอฟ 1 หลายสำนัก ยังต้องใช้มันสมองและโรงงานเฉพาะด้านของอังกฤษ นิสสัน จู๊ค อาร์ ที่มี 4 คันทั่วโลก ก็ทำที่อังกฤษ เนื่องจากรากเหง้าทางวิศวกรรมของประเทศนี้สั่งสมมานาน มีความละเอียดและก้าวหน้าเพียงแต่ในเชิงธุรกิจมันแข่งสู่คนอื่นๆ เขาไม่ได้
พูดถึง เอ็มจี (MG) ค่ายรถที่เปิดโรงงานไปหมาดๆ ต้องบอกว่าเป็น "รถอังกฤษ" ไม่ใช่รถ "จีน" เว็บไซต์บางแห่งที่มีคนดูเยอะๆ มั่วข้อมูลจั่วหัวว่ารถจีน จนคนไม่รู้สับสนไปหมด มีบรรดาสื่อที่นั่งย่อยข่าวชาวบ้านเขามาเป็นบทความตัวเองไม่รู้อีโหน่อีเหน่ ไม่ทำการบ้าน ก็เป็นช่องทางฉีดยาพิษกระจายเรื่องผิดพลาดนี้ กลายเป็นการบ้านค่ายเอ็มจีไปโดยปริยายต้องมานั่งอธิบาย "รถจีน หรือไม่ใช่ จีน" คิดแบบนั้น จากัวร์ คงเป็นแบรนด์อินเดีย มินิ จากแบรนด์อังกฤษต้องเป็นเยอรมันเพราะบีเอ็ม เป็นเจ้าของ ตลกร้ายกว่านั้น คงต้องบอกว่านิสสันเป็นแบรนด์ฝรั่งเศสไปด้วย เพราะว่า เรโนลต์ คุมอยู่ และด้วยความที่ภาพลักษณ์รถจีน มีชื่อเสียงแย่ๆ ในเรื่องคุณภาพ แบรนด์ใดเข้าไปก็เหมือนจะภาพลักษณ์แย่ไปด้วย
ผมคงจะเขียนเรื่องของเอ็มจี 6 เป็นสื่อรั้งท้าย เพราะว่า ให้เขาวิจารณ์กันก่อนดีไหมบอกได้เลยว่า เอ็มจี 6 ไม่ได้เลวร้ายอะไรมากมายหรอก ผมเชื่อว่า แค่จับรถกรุงเทพหัวหินเที่ยวเดียว (ไป-กลับ) ไม่พอบอกเรื่องต่างๆ ในรถรุ่นนี้ได้ (ในขณะที่รถยอดนิยม แทบไม่ต้องรอให้ถึงสามสิบโลวิ่ง ผมก็บอกได้แล้วว่า ดีไม่ดีมีอะไร ใหม่อะไรเก่า สมควรคบหาหรือไม่และคุณภาพขับอย่างไร)
ก่อนอื่นๆ รู้จักเอ็มจีเล็กน้อย เอ็มจี (MG) มาจาก คำว่า " Morris Garages" ถือกำเนิดขึ้นในปี 2467 ดำเนินกิจการทำรถสปอร์ต รถเก๋งเล็ก ประเภทไม่มีเงินซื้อ ลัมโบ หรือ เฟอร์ หันมาขับเอ็มจี ได้ความสนุกย่อส่วนลงมากอย่างรถยนต์สปอร์ตเปิดประทุน 2 ที่นั่ง เอ็มจีมาเปลี่ยนมือเจ้าของ โดยบริษัท SAIC จากประเทศจีนได้ ซื้อกิจการในปี 2548 ก็ราว 10 ปีการดำเนินงานยังคงอยู่ที่เมืองเบอร์มิงแฮม ประเทศอังกฤษ
สำหรับรถรุ่นแรกของเอ็มจี ที่ทำการประกอบในไทยเป็นแบบระบบเซมิ น็อกดาวน์ คือ นำเข้าชิ้นส่วนกึ่งสำเร็จรูปมาประกอบ ซึ่งเซมิ น็อกดาวน์นั้นสามารถเริ่มการผลิตรถได้เร็วและง่ายกว่า แต่ว่าก็ว่าเถอะในเชิงลึกแล้วแทบจะไม่ได้ให้อะไรกับสังคมยานยนต์ไทยเลยนอกจากค่าจ้างแรงงานระดับปวส.ในไลน์การขันน็อก บีเอ็มและเบนซ์ก็เป็นแบบเซมิมานานแล้ว โรงงานของแซค-ซีพี มอเตอร์ (SAIC-CP) ประกาศเปิดโครงการถ้าผมจำไม่ผิดราว พฤศจิกายน 2556 ใช้เวลาไม่นานก็คลอดรถออกมาแล้ว
ส่วนการประกอบแบบ Complete Knock Down (CKD) จะเน้นการใช้ชิ้นส่วนในประเทศลงลึกไปถึงการหาโรงงานรองๆ ลงไปเพื่อผลิตชิ้นส่วนอันนี้ได้ผลดี ในวงกว้างสำหรับสังคมยานยนต์ทั้งนี้ทั้งนั้น เซมิ ก็อาจจะขยับมาเป็นซีเคดีได้ แล้วแต่นโยบายและความพร้อมของแผนกค้นหาชื้นส่วน โรงงานโตโยต้า ฮอนด้า นิสสัน เอเอที จีเอ็ม มิตซูฯ ฟอร์ด เป็นแนวหลังนี่ ซึ่งเอ็มจี 6 เป็นรถเรือธงของค่ายนี้ ในไลน์การผลิตเอ็มจียุคใหม่ (หลัง SAIC จากจีนเข้าซื้อกิจการ) การฟื้นตัวของเอ็มจี ก็เริ่มขึ้นด้วยในเมืองไทย นอกจากเอ็มจี 6 แล้วยังเตรียมพัฒนารถเอ็มจี 3 และเอ็มจี 5 ด้วย
สำหรับเอ็มจี 6 คันที่ลองขับ คือ เอ็มจี 6 1.8 เอ็กซ์ เทอร์โบ ซันรูฟ ดีซีทีราคาจำหน่าย 1.128 ล้านบาท จะเห็นว่าพื้นฐานของเครื่องยนต์ เป็นไซส์ 1.8 ลิตรที่สืบทอดมาจากสายพันธุ์โรเวอร์เป็นเครื่องยนต์ เบนซิน เทอร์โบ อินเตอร์คูลเลอร์ 1.8 ลิตร กำลังสูงสุด 161 แรงม้าที่ 5,500 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 215 นิวตันเมตรที่ 2,000-4,500 รอบต่อนาที ระบบส่งกำลัง เกียร์อัตโนมัติ ดูอัลคลัตช์ 6 สปีด ความเร็วสูงสุด ล็อกด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ที่ 193 กิโลเมตรต่อชั่วโมง อัตราสิ้นเปลืองน้ำมันเฉลี่ย 7.5 ลิตรต่อ 100 กิโลเมตร
หน้าตารถ ไม่ต้องวิจารณ์กันมาก ลางเนื้อชอบลางยาแต่ มีข้อสังเกตว่า ไม่มีเส้นสายอะไรที่ล้ำสมัยจะว่าแต่นำสมัยเลย เอ็มจีตัวนี้อยู่แค่ร่วมสมัยมากกว่า ภายในออกแบบให้เห็นรสนิยม แบบยุโรป คือ เรียบง่ายของจุกจิกน้อย จะเรียกร้องเอาที่วางแก้วหลายๆ ใบคงต้องซื้อมาเสริมเอง เอ็มจี 6 วางวัสดุแน่นๆ กระจกน้อยๆ นั่งแล้วเหมือนอยู่ในรถเกราะต่างไปจากญี่ปุ่นที่กระจกเยอะๆ ขนาดห้องโดยสารสะท้อนไม่ได้ใหญ่โตโอ่โถงแบบรถญี่ปุ่น สะท้อนให้เห็นถึงรถนิยมที่ยุโรปเขานิยมกันคือ ใช้รถเป็นรถไม่ได้ประกับอะไรมากนอกจากนี้ เอ็มจีก็ติดกับข้อจำกัดในเรื่องวิศวกรรมที่แพทฟอร์มนี้ออกมาแล้ว 2-3 ปีในตลาดยุโรป สิ่งใหม่ๆ เร้าใจจึงมีไม่มาก
มาถึงเรื่อง คุณภาพการขับซึ่งมันควรเป็นหัวใจสำคัญในการถกเถียงกันมากกว่าจำนวนแก้วน้ำหรือต่ำแหน่งของพอร์ตยูเอสบี มีข้อสังเกตว่า การตอบสนองของคันเร่ง ในรอบต่ำช้าพอสมควร ก็เป็นธรรมชาติของเครื่องเบนซิน ยิ่งเกียร์เยอะๆ แบบนี้มันคิดนานแต่พอคิดได้แล้ว ขอโทษเถอะไปไหนไปกัน 150-160 กม./ชม.เหยียบกันสนุก ขึ้นเร็วต่อเนื่องได้อารมณ์สปอร์ต (แม้เสียงท่อมันจะไม่ให้มาเลย) ที่ติอีกอย่างคือน้ำหนักพวงมาลัยที่ความเร็วต่ำหนักเอาเรื่องพวกขับรถมือที่มีทักษะ ข้อแข็งๆ เขาสนุกแน่เพราะรถมั่นจะนิ่งแต่ผู้หญิงอาจไม่ชอบถามว่า หลักมันควรเป็นอย่างไร รถที่คำนึงถึงความปลอดภัยเขาทำให้หนักเข้าไว้ครับ เวลาตกใจหักหลบมันสะท้อนอาการจริงๆ ของรถ เมื่อเราได้สัมผัสแล้ว การตอบสนองอาการของได้แม่นยำ และเร็วกว่าประเภทพวงมาลัยเบาหวิว จับแค่สองนิ้วก็ขับได้
ระบบเบรกหยุดของรถไว้ใจได้ให้สภาพเหมือนจริงตัวรถไม่ดีดดิ้นเลย รถล้านกว่าของเอ็มจีน่าค้นหาตรงที่ว่า ออปชั่นต่างๆ ที่จำเป็นในเรื่องคุณภาพความปลอดภัย ให้มาเป็นมาตรฐานของยุโรป สิ่งอำนวยความสะดวกก็มีไม่น้อยเช่น รีโมทกุญแจ กดค้างแล้วเปิดปิดกระจก 4 บานได้ เพียงแต่ที่วิจารณ์แล้วคุยกันขรมว่า คันนี้เยอะนั้นมาจากความไม่คุ้นเท่านั้น แค่เปิดปิดไฟตัดหมอก บางคนยังไม่คุ้นกันเลยว่าเปิดอย่างไร นอกจากนั้นสิ่งเล็กๆ น้อยเท่านั้นที่ไปทำให้คุณภาพการขับมันถูกภาพอื่นๆ กลบไป ไม่ต้องเชื่อผมไปลองขับเอ็มจี 6 ดูก่อน