ไลฟ์สไตล์

ทำไมถึงบอกว่า 'น้ำมันหมู' ดีที่สุด

ดูแลสุขภาพ : ทำไมถึงบอกว่า 'น้ำมันหมู' ดีที่สุด

 
                            พืชพันธุ์ตามธรรมชาติทั้งหลายที่ปรากฏอยู่ในหนังสือเล็กๆ เล่มนี้ ดูเหมือนจะมีแต่เรื่องดีๆ แต่ที่จริงแล้ว ก็ไม่ใช่อย่างนั้นเสมอไป  ถ้าเราได้รู้ความจริงบางอย่างของน้ำมันพืชที่ทุกวันนี้หลับหูหลับตาใช้ประกอบอาหารกันเป็นหลักอยู่ในครัว ทั้งที่แต่ก่อนแต่ไรประเทศไทยไม่ได้เป็นแบบนี้ ในครัวปู่ย่าตายายของเราเคยใช้แต่น้ำมันหมูปรุงอาหารกันอย่างเอร็ดอร่อยมาตลอด กี่ร้อยปีมาแล้วที่ไม่เคยต้องเผชิญกับโรคต่างๆ เช่น โรคความดัน เบาหวาน หัวใจ หรือ ไตวาย  จนกระทั่งในยุคนี้ 
 
                            ย้อนกลับไป เมื่อสมัยผมเป็นเด็ก ยังไม่มีอุบัติการณ์ของโรคต่างๆ ที่กล่าวมามากมายเหมือนวันนี้ ที่หากใครสักคน เป็นมะเร็งขึ้นมานั่นถือว่าได้รับเกียรติ โด่งดังกันไปทั้งตำบลเลยทีเดียว แต่ทุกวันนี้ไม่ใช่อีกแล้ว ความเปลี่ยนแปลงนี้เกิดขึ้น เมื่อประเทศมหาอำนาจทางเศรษฐกิจประเทศหนึ่งของโลกในสมัยที่ประเทศของเขายังเลี้ยงปศุสัตว์อยู่มาก และต้องปลูกถั่วเหลืองเพื่อนำมาทำอาหารสัตว์เป็นจำนวนมากเช่นกัน ปัญหาในขณะนั้น คือในถั่วเหลืองมีน้ำมันมากเกินไปเมื่อให้สัตว์กินแล้วจะทำให้ไขมันที่แทรกอยู่ในเนื้อสัตว์มีคุณภาพต่ำไม่ได้คุณภาพของเนื้อตามที่ตลาดต้องการ
 
                            เพราะฉะนั้น เลยมีคนหัวใสใช้วิธีรีดน้ำมันออกจากถั่วเหลืองทิ้งไปก่อนแล้วถึงจะนำกากที่เหลือไปให้สัตว์กิน ถั่วเหลืองที่ถูกรีดน้ำมันออก พอนำไปใช้เลี้ยงสัตว์ก็จะทำให้ไขมันเลวที่แทรกในเนื้อลดลง แต่น้ำมันถั่วเหลืองซึ่งรีดออกมาแล้วก็จะมีเหลือทิ้งอยู่เยอะแยะ น้ำมันถั่วเหลืองเหล่านี่ก่อให้เกิดเป็นปัญหามลพิษระดับประเทศ เพราะไม่รู้จะเอาไปทิ้งที่ไหน เดือดร้อนถึงคนหัวใสที่ไม่ประสงค์ดี จัดการแปลงน้ำมันถั่วเหลืองเพื่อไม่ให้เหม็นหืนด้วยการเปลี่ยนโครงสร้างโมเลกุล หรือที่เรียกว่า “โฮโมจีไนซ์” คือ การใส่ไฮโดรเจน ลงไปทำปฏิกิริยากับน้ำมันพืช เพราะเมื่อน้ำมันถั่วเหลือง ทำปฏิกิริยากับไฮโดรเจนเรียบร้อยแล้ว ก็จะไม่ทำปฏิกิริยากับออกซิเจนอีกต่อไป จึงสามารถเก็บไว้ได้นาน โดยไม่เหม็นหืน 
 
                            จากนั้นก็สู่ขบวนการปั้นเสริมเติมแต่ง ด้วยหลักการโฆษณาสรรพคุณ โดยการนำน้ำมันหมูกะน้ำมันพืช มาใส่ตู้เย็นคู่กัน  โดยให้เห็นว่าน้ำมันหมูเป็นไข น้ำมันพืชไม่เป็นไข แต่ยังคงใสแจ๋ว พร้อมตั้งคำถามออกมายังผู้บริโภคว่า จะยอมให้ร่างกายของเรารับน้ำมันหมูที่เป็นไขแบบนี้ เข้าสู่ร่างกายอีกหรือ ด้วยเหตุนี้การหันมานิยมบริโภคน้ำมันพืชในครัวไทยก็มีกันตั้งแต่นั้นมา 
 
                            “แต่ความจริง ..นั่นเป็นเพียงการโฆษณา ลองนึกดูว่าในร่างกายของมนุษย์มีอุณหภูมิ 37 องศา ถ้าเปรียบตู้เย็นเป็นร่างกายเรา ก็ต้องเอาตู้เย็นที่ทำให้ได้อุณหภูมิปกติของคนเราที่ 37 องศา และก็โชว์เลยว่า น้ำมันหมู ก็ยังเป็นไข ไม่ใช่ใช้ตู้เย็นที่ทำอุณหภูมิแค่ 5 องศา แล้วมาโชว์ให้ดูว่าน้ำมันหมูเป็นไข เพราะถ้าร่างกายมีอุณหภูมิเท่ากับ 5 องศาอย่างตู้เย็น ป่านนี้ก็คงตายกันไปแล้ว”
 
                            นอกจากน้ำมันหมูจะอร่อยกว่าโดยธรรมชาติแล้ว ร่างกายมนุษย์ก็มิวิธีการกำจัดออกได้โดยอัตโนมัติ เพราะว่าเป็นน้ำมันหมูจากธรรมชาติซึ่งร่างกายรู้จักดี เนื่องจากได้พัฒนาระบบย่อยมานานกว่าล้านปี แต่กับน้ำมันพืชที่ผ่านกรรมวิธีนั้น ร่างกายมนุษย์ ไม่เคยรู้จัก จึงไม่มีวิธีการนำไปใช้หรือแม้แต่กระทั่งวิธีการขจัดน้ำมันพืชเหล่านั้น ให้ออกจากร่างกายไปได้ ร่างกายจึงรักษาตัวเองด้วยวิธี “รักษาตามอาการไปก่อน” โดยการนำไปทิ้งไว้ในหลอดเลือด เพราะพื้นที่ทั้งหมดของเส้นเลือดในร่างกายมนุษย์ที่โตเต็มวัย สามารถนำมาแผ่เพื่อคลุมสนามบาสได้ทั้งสนาม ถือว่าเป็นอวัยวะที่มีพื้นที่มากที่สุดในร่างกายมนุษย์ 
 
                            เมื่อกำจัดไม่ได้ ร่างกายก็เลยเอาไปใว้ในเส้นเลือด เพราะไม่รู้จะเอาไปไว้ที่ไหน พอกินเติมเข้าไปอยู่เรื่อยๆ สักวัน เส้นเลือดซึ่งมีพื้นที่ขนาดนั้นก็เอาไม่อยู่ ในที่สุดเกิดเป็นไขมันอุดตันในเส้นเลือดจากน้ำมันพืช  เป็นโรคอันเกิดจากสิ่งที่ร่างกายไม่สามารถขจัดออกไปได้  
 
                            “น้ำมันหมูสามารถเก็บได้นานเพราะไม่เหม็นหืนเนื่องจากเป็นไขมันที่อิ่มตัวอยู่แต่แรกแล้ว จึงไม่ทำปฏิกิริยากับออกซิเจนให้เกิดกลิ่นหืนได้อีก”
 
                            การบริโภคกรดไขมันอิ่มตัว จะเกิดอันตรายต่างๆ นานากับร่างกายตามที่ว่ากันไว้ จริงหรือไม่ ? ขอตอบว่าไม่จริง เพราะไม่ว่าจะเป็นกรดไขมันแบบไหน ถ้ามาจากธรรมชาติ ก็ล้วนแล้วแต่ให้ประโยชน์กับร่างกายได้ทั้งสิ้น เพราะไขมัน เป็นหนึ่งในอาหารหลักห้าหมู่ของมนุษย์ แต่ในทางตรงข้าม ไม่ว่าจะเป็นกรดไขมันแบบไหน ถ้าผ่านการดัดแปลงมาแล้วก็ล้วนแต่ไม่ดีกับร่างกายทั้งสิ้นเช่นกัน แถมกรดไขมันไม่อิ่มตัวที่เอามาโฆษณาขายกัน ก็เป็นกรดไขมันสังเคราะห์แถมผ่านกรรมวิธีต่างๆ มาแล้วอีกต่างหาก ซึ่งทำให้ร่างกายของเราขจัดทิ้งไม่ได้ตามวิธีการธรรมชาติ
 
                            อีกอย่างหนึ่งที่บอกว่า น้ำมันพืช มีกรดโอเมก้า 3 โอเมก้า 6 ไลโนเลอิก อะไรต่างๆ มากมาย ซึ่งฟังดูชื่อแปลกๆ ก็น่าสนใจดี แต่จงทราบไว้เถอะว่า กรดอะไรต่างๆ ที่ว่านั้นร่างกายของเราไม่สามารถนำไปใช้ได้แบบเดี่ยวๆ ต้องนำไปใช้ร่วมกับอะไรอย่างอื่นที่มากันตามธรรมชาติอีกมากมาย แค่โอเมก้า6 อย่างเดียว ถ้ากินเดี่ยวๆ จะไม่ได้คุณประโยชน์แถมเป็นอันตรายต่อร่างกายอีกด้วย
 
 
 
 
หมอต้น - นิพันธ์พงศ์  พานิช
 
แพทย์แผนไทย - ผู้เชี่ยวชาญด้านสมุนไพรไทย
 
ไทยเฮิร์บ  คลินิกการแพทย์แผนไทยประยุกต์
 
Call  Center :  084 3700 001 - 9
 
 
 
 
 
แท็กที่เกี่ยวข้อง

ข่าวยอดนิยม