ไลฟ์สไตล์

นมเน่าๆ เรื่องเศร้าของชาวไทย

นมเน่าๆ เรื่องเศร้าของชาวไทย

06 ส.ค. 2557

ดูแลสุขภาพ : นมเน่าๆ เรื่องเศร้าของชาวไทย

 
                            โยเกิร์ต เป็นผลิตภัณฑ์ของนมที่ได้มาจากการหมัก (นมบูดนั่นเอง) และถ้าจะมีสิ่งดีๆ อยู่ในนั้นบ้างก็เห็นจะเป็นจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย หรือที่เรียกกันว่าโปรไบโอติกส์ ซึ่งมีอยู่ด้วยกันหลากหลายสายพันธุ์ เช่น สายพันธุ์ lactobacilli  ชื่อว่า Lactobacillusbulgaricus และสายพันธุ์ Streptococci ชื่อว่า Streptococcusthermophilus แต่เดี๋ยวนี้มีการเติม Bifidobacteriaและ lactobacilluscasein เข้าไป เพื่อเพิ่มคุณประโยชน์ในด้านการแก้ท้องเสียด้วย  
 
                            ย้ำอีกเป็นครั้งที่ร้อยว่าคนเอเชีย 80% แพ้โปรตีนในนมวัวแต่คนที่แพ้น้อยๆ อาจจะรู้สึกว่าทานโยเกิร์ตแล้วขับถ่ายดี อันที่จริงเป็นเพราะว่าโปรตีนในน้ำนมเข้าไปทำให้เยื่อบุลำไส้ระคายเคือง เซลล์ เยื่อบุลำไส้จึงต้องสร้างสารคัดหลั่งออกมาเป็นจำนวนมาก เพื่อต่อต้านสารก่อแพ้ที่ปะปนมา ลำไส้ส่วนที่สัมผัสกับโยเกิร์ตจึงเกิดอาการบวมน้ำขึ้นภายในร่างกายก็ต้องรีบกำจัดสารเหล่านี้ ด้วยการขับถ่ายเป็นน้ำเหลวๆ ออกมา มิฉะนั้นจะทำให้ลำไส้เกิดอาการบวมน้ำจนเสื่อมสภาพ ไม่สามารถบีบและคลายตัว เพื่อขับถ่ายได้เหมือนปกติ แต่ถ้าทานโยเกิร์ต หรือนมวัวบ่อยๆ และพอนานๆ เข้า ระบบภูมิต้านทานของร่างกายก็จะแปรปรวน จากที่เคยแค่แพ้น้อยๆ ก็จะค่อยๆ แพ้หนักขึ้น และพัฒนาเป็นลมพิษ ผื่นคัน หอบหืด กรดไหลย้อน และหนักที่สุดก็คือ กลายเป็นโรคกระเพาะ และลำไส้เรื้อรัง 
 
                            ประสบการณ์การตรวจจากคนไข้ เล่าว่าไปเจอสูตรนี้แพร่ระบาดทางอินเทอร์เน็ตและเพื่อนๆ ในที่ทำงานก็บอกต่อกันมาด้วยเท่าที่ทราบ บางคนก็ว่านี่คือตำรับยาที่พระพุทธเจ้าประทานให้พระสงฆ์เอาไว้ฉันในเวลาที่อาพาธ แต่เท่าที่ทราบ ตำรับยาจากพระพุทธเจ้าจะมีอยู่แค่ตำรับเดียวเอง คือ ลูกสมอดองด้วยน้ำมูตรเน่า ถ้าโยเกิร์ตไม่มีจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์อยู่ในโยเกิร์ตบ้างแล้ว โยเกิร์ตก็เป็นเพียงเศษซากของนมที่บูดเน่า เสื่อมสภาพเท่านั้นเอง
 
                            ส่วนน้ำผึ้ง ที่มีคุณประโยชน์มหาศาลอเนกอนันต์นั้น นั่นคือมีสรรพคุณในทางยาระดับสูง ที่สามารถจะฆ่าจุลินทรีย์และเชื้อโรคสายพันธุ์ต่างๆ ได้ เนื่องจากความเข้มข้นที่สูงมากของน้ำผึ้ง จะทำให้เกิดแรงดันออสโมติก (Osmotic Pressure) และแรงดันนี้เอง ที่จะดูดเอาน้ำออกจากเซลล์เชื้อโรคทำให้เชื้อโรคที่สัมผัสกับน้ำผึ้ง ฝ่อตายไป 
 
                            แต่บางคนแย้งกลับมาว่า “ก็สูตรนี้ผสมตั้งหลายอย่าง พอผสมกันเสร็จแล้ว น้ำผึ้งก็คงเจือจาง จนไม่เหลือคุณสมบัติของการดูดน้ำออกจากเซลล์ของเชื้อโรคได้แล้ว”
 
                            ขอบอกว่าอย่าเพิ่งด่วนสรุปไปอย่างนั้น ต่อให้เจือจางแล้วก็เถอะ น้ำผึ้งที่เจือจาง ก็ยังมีฤทธิ์มากมายในการฆ่าเชื้ออยู่ดี เพราะเมื่อเอาน้ำผึ้งมาละลายน้ำ กรดกลูโคนิกที่มีอยู่ในน้ำผึ้ง จะเกิดการทำปฏิกิริยากับน้ำได้ “ไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์” ซึ่งก็คือยาฆ่าเชื้อจุลินทรีย์ชั้นยอด ดังนั้นน้ำผึ้งจึงถูกนำมาใช้เพื่อการฆ่าเชื้อโรค ตั้งแต่สมัยโบราณ  
 
                            ดังนั้นเมื่อโยเกิร์ตเจอน้ำผึ้งเข้าไป เหล่าจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์ในโยเกิร์ตทั้งหมดก็จะสูญสลายตายอย่างอเนจอนาถ ด้วยอำนาจของน้ำผึ้ง ส่วนนมสดอันอุดมไปด้วยโปรตีน ที่ร่างกายมนุษย์ไม่สามารถนำไปใช้งานได้ซะเป็นส่วนใหญ่ เมื่อได้เจอกับน้ำมะนาวที่อุดมไปด้วยกรด เช่น กรดซิตริค (Citric Acid) กรดมาลิค (Malic Acid) และกรดแอสคอร์บิก (Ascorbic Acid)  หรือวิตามินซี หลากชนิดเข้าไป  กรดที่มีอยู่ในน้ำมะนาวหลายๆ ตัว ที่กล่าวมานี้ก็จะเข้าไปทำลายพันธะของโปรตีนในนมให้เสื่อมสภาพ และจับตัวตกตะกอนไป ร่างกายจึงไม่ได้รับโปรตีนใดๆ ที่อาจพึงได้จากนมเลย คงเหลือแต่ฮอร์โมนที่ปนเปื้อนมากับนมเท่านั้น ส่วนสารอาหารและวิตามินต่างๆ  ที่พึงจะได้จากน้ำผึ้งและน้ำมะนาวก็ไม่ได้ เพราะถูกนำไปใช้ในการทำปฏิกิริยาข้างต้นจนหมดแล้ว 
 
                            แต่สุดท้ายแล้ว ขอให้วัดกันที่ระบบตอบสนองของร่างกาย ถ้าทานเข้าไปแล้วรู้สึกไม่ดี...ก็ควรต้องหยุด ส่วนถ้าใครทานแล้ว รู้สึกว่าดี ก็จงทำต่อไป เพราะไม่มีข้อมูลใดๆ ที่สามารถจะชี้ชัดได้ว่าสูตรนี้ จะมีคุณหรือโทษ กับร่างกายของทุกคน “ทั้งหมดทั้งมวล เพราะอยากให้ผู้คน ลด ละเลิก  การบริโภคอาหารที่ไม่จำเป็น และเมื่อเจ็บป่วย ก็รักษากันให้ถูกวิธี  เพื่อจะได้ใช้ชีวิตอย่างมีคุณภาพ อยู่ทำความดีกันให้นานๆ ขึ้น”
 
 
 
 
หมอต้น - นิพันธ์พงศ์  พานิช
 
แพทย์แผนไทย-ผู้เชี่ยวชาญด้านสมุนไพรไทย
 
ไทยเฮิร์บ  คลินิกการแพทย์แผนไทยประยุกต์
 
Call  Center :  08-4370-0001-9