
Canon EOS M3 แข็งแรง แต่งดงาม
30 ส.ค. 2558
ไอทีรีวิว : Canon EOS M3 แข็งแรง แต่งดงาม
ท่ามกลางการเติบโตอย่างรวดเร็วของตลาดกล้องมิเรอร์เลส ที่สามารถเข้ามาเบียดบังพื้นที่ตลาดของกล้อง DSLR ได้อย่างสง่างาม ก็มีกล้องตระกูล EOS M ของแคนนอน ที่ได้รับความนิยมในอยู่ไม่น้อยและเป็นหนึ่งในพลังขับเคลื่อนพลวัตของยอดขายกล้องมิเรอร์เลส ให้ขยายตัวขึ้น
ซึ่งวันนี้กล้องมิเรอร์เลสในตระกูล EOS M ของแคนนอนก็เดินทางมาถึงรุ่นที่ 3 กันแล้ว โดยแคนนอนกล่าวว่าได้นำประสบการณ์ของผู้ใช้กล้องรุ่นก่อนหน้ามาพัฒนาให้ EOS M รุ่นที่ 3 ตอบโจทย์การใช้งานของผู้ใช้มากขึ้นนั่นเอง
จะว่าไปแล้วการเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจนในกล้อง EOS M3 สัมผัสได้ตั้งแต่ขนาดตัวกล้องที่ดูอวบขึ้น จับกระชับมือมากขึ้น ไม่ผอมบางเหมือนกับ EOS M2 รุ่นพี่ที่ออกมาก่อนหน้า ในภาพรวมแล้วตัวกล้องดูใหญ่ขึ้น และมีจอแสดงผลด้านหลังแบบพับขึ้นได้ 180 องศา ช่วยให้การถ่ายรูปเซลฟี่ทำได้สะดวกยิ่งขึ้น

นอกจากนั้นยังมีการเปลี่ยนวัสดุที่ใช้ทำบอดี้ ให้เป็นโลหะมากขึ้น ทำให้กล้องมีน้ำหนักมากขึ้นตามไปด้วย แต่ก็แลกกับความรู้สึกที่มั่นคง คล้ายกับการจับกล้อง DSLR ที่ตัวใหญ่กว่า ซึ่ง ณ จุดนี้เอง ช่างภาพก็คงรู้ดีว่า การจับถือกล้องที่ให้ความรู้สึกว่าหนักจะทำให้การถ่ายภาพมั่นคงกว่าการถือกล้องน้ำหนักเบา เพราะเมื่อกดชัตเตอร์ กล้องที่มีน้ำหนักมากกว่าจะมีอาการ “ไหว” น้อยกว่านั่นเอง
ผมชอบการออกแบบมือจับและตำแหน่งการวางปุ่มใช้งาน ที่รวมกลุ่มกันอยู่ด้านบนค่อนไปทางด้านหน้า ฝั่งขวามือของตัวกล้อง ที่ให้ความรู้สึกว่าควบคุมง่าย แต่ก็ยังมีข้อตำหนิอยู่ที่การหมุนปุ่มไดอัลเปลี่ยนโหมดและปรับชดเชยแสงที่วางอยู่รอบปุ่มชัตเตอร์นั้นค่อนข้างแข็ง และเหมาะกับการใช้นิ้วโป้งในการหมุนเพียงนิ้วเดียว ทำให้รู้สึกไม่ค่อยอยากไปยุ่งกับมันมากนัก
เมนูการตั้งค่าสามารถสั่งการได้บนจอสัมผัสด้านหลัง การออกแบบเมนูทำได้ดีอย่างน่าชื่นชม เพราะเข้าใจง่าย ไม่ซับซ้อน ยิ่งพวกแฟนค่ายหนอน (ชื่อเล่นของแคนนอนในกลุ่มช่างภาพ) ยิ่งใช้งานได้ง่าย
ภายในตัวกล้องนั้นมีสิ่งที่เปลี่ยนไปจากรุ่น EOS M2 คือ การใช้เซ็นเซอร์ CMOS ขนาดใหญ่แบบ APS-C ความละเอียดสูงถึง 24.2 ล้านพิกเซล ชนิดเดียวกับที่ใช้ใน Canon EOS DSLR ให้คุณภาพภาพที่ดีระดับกล้องโปร อีกทั้งยังเก็บรายละเอียด แสง สีสันของภาพได้เหนือกว่าเซ็นเซอร์ปกติ ช่วงความไวแสงที่กว้างมากถึง ISO 100 – 12800 ขยายได้ถึง ISO 25600 ทำให้การถ่ายภาพในสภาพแวดล้อมที่มีแสงน้อยโดยไม่ใช้แฟลชหรือขาตั้งกล้องทำให้ง่ายและให้สีสันสดใสเป็นธรรมชาติ และด้วยประสิทธิภาพการทำงานอันยอดเยี่ยมของชิพประมวลผล DIGIC 6 ลดการเกิด Noise เมื่อปรับ ISO ถึง 25600
ระบบออโต้โฟกัสของกล้อง EOS M3 ใช้ Hybrid CMOS AF III พัฒนาใหม่ล่าสุด ที่ต้องยอมรับว่าทำงานได้ดี จับภาพได้ฉับไว แม้ในที่แสงน้อย เช่นการถ่ายภาพอาหาร ที่มีรายละเอียดเยอะ ระบบโฟกัสก็สามารถจับโฟกัส ณ จุดที่ผมต้องการได้ดีราวกับมีพลังอ่านใจ
กล้องที่ให้มาทดสอบนั้น มาพร้อมกับเลนส์ EF-M 18-55 mm f/3.5-5.6 IS STM ที่ถือเป็นเลนส์คิท ที่อยู่ในชุดกล้องที่จำหน่ายในราคา 22,900 บาท การทำงานระหว่างกล้องกับเลนส์คู่นี้ เหมือนกับคอหอยกับลูกกระเดือกที่สอดคล้องกันดี ไม่มีแตกแถว ตัวบอดี้เลนส์เป็นโลหะให้ความรู้สึกแข็งแรง มั่นคง มีคุณค่า เรียกง่ายๆ ว่าดูดีมีราคากว่าเลนส์คิทของกล้อง DSLR ในระยะเดียวกันหลายเท่า
ก็ไม่น่าแปลกใจเพราะกลุ่มตลาดของกล้องมิเรอร์เลสนั้นจะเน้นที่กลุ่มคนที่มีแฟชั่นในหัวใจอยู่ไม่น้อย ดังนั้นสิ่งใดที่ถืออยู่ในมือย่อมต้องสะท้อนความเป็นตัวตนของเจ้าของออกมาด้วยเช่นกัน
ส่วนคุณภาพของภาพ นั้นออกมาในเกณฑ์ดี ความต่างของสี (Contrast) ทำได้ไม่ชัดเจนเท่ากับกล้อง DSLR เรียกว่าโทนของเจ้า M3 จะค่อนข้างนุ่มนวลมากกว่ากล้องอย่าง EOS 760 D ที่ผมทดสอบไปก่อนหน้า ซึ่งความนุ่มนวลของภาพก็เป็นจุดเด่นของแคนนอนอยู่แล้ว แต่เจ้าตัวนี้ให้ความรู้สึกเป็นผู้ดีขึ้นไปอีกขั้น

อย่างไรก็ตาม เจ้า EOS M3 ก็ไม่ได้เป็นกล้องที่ดีจนไม่มีจุดอ่อน สิ่งที่ผมว่าเป็นข้อด้อยของเจ้าตัวเล็กนี้คือ น้ำหนักที่มาก และการใช้เลนส์คิที่ออกแบบตัวเลนส์ออกมาค่อนข้างยาว ทำให้การพกพาค่อนข้างลำบาก ยิ่งเมื่อเทียบกับคู่แข่งในพิกัดเดียวกันแล้ว จะเห็นได้อย่างชัดเจนว่าคู่แข่งออกแบบให้พกพาได้ง่ายกว่ากัน
ข้อด้อยที่สำคัญอีกประการหนึ่งคือ หน้าจอสัมผัสที่ทำงานค่อนข้างไว บางครั้งมีการสัมผัสโดยไม่ได้ตั้งใจก็ทำให้ค่าที่ตั้งไว้เปลี่ยนแปลง และหน้าจอค่อนข้างสู้แสงจัดไม่ค่อยดี การใช้งานในพื้นที่กลางแจ้งและต้องมองภาพบนจอหลักด้านหลังทำได้ลำบากไปสักนิด
พูดถึงภาพรวมของเจ้า Canon EOS M3 ผมก็จะขอชื่นชมในส่วนของการพัฒนาตัวบอดี้ที่ทำได้ดีขึ้นอย่างน่าประทับใจ ความรู้สึกมั่นคงที่เพิ่มขึ้นราวกับใช้กล้องมืออาชีพ และเซ็นเซอร์ที่ชัดเจน ให้ภาพโทนสีนุ่มนวลเนียนตายิ่งขึ้น กับราคาเริ่มต้น 22,900 บาท