ไลฟ์สไตล์

อีก 10 ปี "มหาวิทยาลัยไทย" 3 ใน 4 ไปไม่รอดแน่!!

อีก 10 ปี "มหาวิทยาลัยไทย" 3 ใน 4 ไปไม่รอดแน่!!

19 พ.ค. 2560

นักสถิติชื่อดังจาก"นิด้า"เชื่ออีก 10 ปี"มหาวิทยาลัยไทย"จำนวน 3 ใน 4 จะไปไม่รอดแน่! หาก"มหาวิทยาลัยต่างชาติ"เปิดในไทย...ติดตามกับ"กมลทิพย์ ใบเงิน"เวบฯคมชัดลึก

 

          กลายเป็นประเด็นร้อนทันที เมื่อวันที่ 16 พ.ค. 2560 ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.)ร่วมกับคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.)มีมติเห็นชอบในหลักการของคำสั่งคสช.ใช้อำนาจตามมาตรา 44 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย(ฉบับชั่วคราว)พ.ศ.2557ให้ต่างชาติเปิดมหาวิทยาลัยในเขตเศรษฐกิจพิเศษเน้นผลิตเฉพาะสาขาวิชาที่ขาดแคลนนั้น....(อ่านต่อ...งัด ม.44 ให้ต่างชาติ "เปิดมหา'ลัย")

         เกี่ยวเรื่องนี้ “ดร.อานนท์ ศักดิ์วรวิชญ์”หัวหน้าสาขาวิชา Business Analytics and Intelligence อาจารย์ประจำสาขาวิชา Actuarial Sciences and Risk Management Director-Ph.D. Program in Applied Statistics คณะสถิติประยุกต์ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ และผู้อำนวยการศูนย์ปัญญาและสารสนเทศ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์(นิด้า)เปิดเผยกับ“คมชัดลึกออนไลน์”ว่า วงการอุดมศึกษาไทยหวาดกลัวแน่นอน เพราะมหาวิทยาลัยต่างชาติต้องบี้มหาวิทยาลัยลัยไทยจนไม่มีที่ยืน ในอนาคตอีก 10 ปีข้างหน้า ฟันธงได้ว่ามหาวิทยาลัยไทยจำนวน 3 ใน 4 จะไปไม่รอดแน่ อาจจะต้องปิดตัว 

          “เพราะตลาดอุดมศึกษาไทยปัจจุบันมีขนาดเล็กมาก อีกทั้งไทยเข้าสู่สังคมผู้สูงวัย จำนวนเด็กเกิดในแต่ละปีน้อยลง จากเมื่อ 30 ปีที่ผ่านมาเด็กไทยเกิดเกิน 1,000,000 คน แต่ปัจจุบันเด็กเกิดปีละประมาณ 600,000-700,000 คน” ดร.อานนท์ กล่าว

          ดร.อานนท์ กล่าวอีกว่า แต่ละปีมหาวิทยาลัยไทย มีที่ว่างรับนิสิตนักศึกษาระดับปริญญาตรีปีละ 150,000 แต่มีเด็กเข้าเรียนเพียง 80,000 คน การแข่งขับเข้าเรียนมหาวิทยาลัยไทยต่ำมาก หากมหาวิทยาลัยต่างชาติเข้ามาจะแข่งขันกับประเทศสิงคโปร์ที่เป็นศูนย์กลางการศึกษาในอาเซียนได้หรือไม่ และจะมาแย่งเด็กกับมหาวิทยาลัยไทยหรือไม่ คำถามคือไทยจะได้อะไร อนาคตอีก 10 ปี ปฏิเสธไม่ได้ว่า มหาวิทยาลัยของรัฐ, มหาวิทยาลัยเอกชน, กลุ่มมหาวิทยาลัยราชภัฏ(มรภ.) และกลุ่มมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล(มทร.)จะอยู่ได้หรือไม่ หากไม่ปรับตัว อาจจะไม่มีเด็กมาเรียน จนถึงขั้นต้องยุบหรือปิดตัวเอง

          ดร.อานนท์ กล่าวอีกว่า  เห็นด้วยที่คสช.จะทำอย่างนี้ แต่เน้นเฉพาะสาขาที่ขาดแคลน  เช่น ด้านวิทยาศาสตร์ ด้านเทคโนโลยี หวังกดดัน และ กระตุ้นให้มหาวิทยาลัยไทยต้องปรับตัว เมื่อมีคู่แข่งตัวจริงมาเปรียบเทียบ เชื่อว่ามหาวิทยาลัยไทยจะต้องปรับตัวครั้งใหญ่ เพื่อก้าวสู่การเป็นศูนย์กลางทางด้านการศึกษา(Hub Education-ฮับทางการศึกษา) เหมือน ประเทศ นิวซีแลนด์ และ สิงคโปร์