
กลัวทหารทำไม?“สมศักดิ์ ปริศนานันทกุล”ประมุขนักรบรวงทอง!
กลัวทหารทำไม?“สมศักดิ์ ปริศนานันทกุล”ประมุขนักรบรวงทอง!
วัฒนธรรมการเมืองสยามประเทศ เมื่อมีทหารยึดอำนาจ “นักเลือกตั้ง” ก็ต้องถอยทัพกลับบ้าน ทำตัวให้น่ารักอยู่ในโอวาททหาร เพื่อรอเวลาเลือกตั้งใหม่
ตอนที่เกิดรัฐประหาร 2557 อดีต ส.ส.ก็เก็บตัวเงียบ แต่ผ่านไป 3 ปี ยังไม่เห็นวี่แววว่าจะเลือกตั้งตามโรดแม็พ คสช. ระยะหลัง นักเลือกตั้งชักไม่ค่อยเกรงใจทหาร ถึงขั้นจะรวมตัวกันสู้กับพรรคทหาร
จุดอ่อนของฝ่ายนักเลือกตั้งคือ มีบาดแผลเยอะ และหลายคนก็มี “ปูมประวัติ” ที่ไม่เป็นบวกมากนัก โดยเฉพาะกลุ่มอดีต ส.ส.ระดับ “ผู้มีอิทธิพล”
สำหรับนักการเมืองที่เป็นร่างทรงและหัวใจของ “มังกรเติ้ง” มายาวนาน อย่าง “สมศักดิ์ ปริศนานันทกุล” ก็เป็นคนหนึ่งที่ทำตัวเป็น “หมูไม่กลัวน้ำร้อน” ออกมาวิพากษ์การทำงานของ คสช.อยู่บ่อยๆ อาจจะเป็นเพราะสมศักดิ์ มีชื่อเล่นว่า “หมู” จึงสวมวิญญาณ “หมูชนรถถัง” อยู่บ่อยๆ
เนื่องจากชื่อ “หมู” เพื่อนๆ จึงเรียก “ตือ” และกลายเป็น “เสี่ยตือ” , “พี่ตือ” ติดปากนักข่า่วมาจนถึงทุกวันนี้
“สมศักดิ์” เป็นชาวตำบลบางม่วงเตี้ย อ.วิเศษชัยชาญ จ.อ่างทอง สำเร็จการศึกษาปริญญาตรี รัฐศาสตรบัณฑิต จากมหาวิทยาลัยรามคำแหง เมื่อเรียนจบ ก็มาช่วยพี่เขยทำโรงสี และได้แต่งงานกับ “รวีวรรณ” ลูกสาวเจ้าของโรงสีวิเศษชัยชาญเจริญกิจ จากนั้นก็ช่วยพ่อตาทำโรงสี
ทั้งคู่มีบุตรและธิดา 4 คนคือ กรวีร์ ปริศนานันทกุล (แชมป์), ภราดร ปริศนานันทกุล (แบด), ภคิน ปริศนานันทกุล (เชน) และธนยา ปริศนานันทกุล
สมัยเรียนรามคำแหง สมศักดิ์ได้สัมผัสกับบรรยากาศยุคทองของขบวนการนักศึกษา หลังเหตุการณ์ 14 ตุลา โดยร่วมกับเพื่อนนักศึกษารามฯ ตั้งพรรคสัตยาเคราะห์ เคลื่อนไหวทางการเมือง กระทั่งเหตุการณ์ 6 ตุลา 2519 สมศักดิ์ต้องหลบภัยเผด็จการ ไม่กลับบ้านอ่างทองอยู่หลายปี จน พล.อ.เกรียงศักดิ์ปฏิวัติล้มรัฐบาลธานินทร์ จึงกลับมาเรียนต่อจนจบ
การได้ซึมซับแนวคิดประชาธิปไตยประชาชน เป็นจุดเปลี่ยนชีวิตที่ทำให้สมศักดิ์ก้าวสู่ถนนกา่รเมือง เมื่อปี 2523 โดยลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาจังหวัด และได้เป็นประธานสภาจังหวัดอ่างทอง
ที่น่าสนใจ สมศักดิ์เล่นการเมืองท้องถิ่น โดยได้รับการสนับสนุนจาก “เสี่ยแหย” สมชัย ฤกษ์วรารักษ์ คนดังเมืองอ่างทอง ที่มีสัมปทานป่าหลายแห่งในภาคอีสาน โดยสมศักดิ์รู้จักมักคุ้นกับเสี่ยแหยมาตั้งแต่เด็กๆ
เวลานั้น “เสี่ยแหย” เป็นกรรมการบริหารพรรคชาติไทย และสนับสนุน ส.ส.พรรคชาติไทยมากกว่า 10 คน เมื่อการเลือกตั้งปี 2529 สมศักดิ์ จึงขยับไปเล่นสนามการเมืองระดับชาติ ได้เป็น ส.ส.สมัยแรก ในโควตาเสี่ยแหย
ปัจจุบัน “เสี่ยยู” อุดม ฤกษ์วรารักษ์ อดีตนายก อบจ.อ่างทอง ลูกชายของเสี่ยแหย เดินคนละเส้นทางการเมืองกับ “เฮียตือ”
เคยมีนักข่าวถามว่า คนหนุ่มที่มีอุดมการณ์ประชาธิปไตยจ๋า ทำไมจึงเลือกมาอยู่กับพรรคชาติไทย ที่สมัยโน้นได้ชื่อว่า เป็นพรรคของกลุ่มขุนศึกซอยราชครู สมศักดิ์บอกว่า คนที่มีอุดมการณ์อยู่ที่ไหนก็ได้ เหมือนเมล็ดพันธุ์ที่ไปตกที่ไหน ก็แตกดอกออกช่อ
ด้วยวิธีคิดแบบนี้ ทำให้สมศักดิ์ยืนเคียงบรรหาร ศิลปอาชา ขับเคลื่อนพรรคชาติไทยยุคสุพรรณบุรี หลังจาก พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ แยกตัวออกไปก่อตั้งพรรคชาติพัฒนา
สมศักดิ์ เป็น ส.ส.อ่างทอง มาทุกสมัย ประสบความสำเร็จทางการเมืองมากมาย ได้เป็นรองประธานสภาผู้แทนฯ และเป็นรัฐมนตรีอีกหลายกระทรวง
นอกจากตัวเขาเอง ลูกชายทั้งสามคนคือ ภราดร, กรวีร์ และภคิน เดินตามรอยพ่อสู่สนามเลือกตั้ง ได้เป็น ส.ส.อ่างทอง เวลานี้ ลูกชายทั้งสาม กลายเป็น “เลือดใหม่” ของพรรคชาติไทยพัฒนา ที่จะก้าวเดินต่อไป โดยมี ท็อป วราวุธ ศิลปอาชา เป็นผู้นำพรรค
การเมืองท้องถิ่นอ่างทอง สมศักดิ์ ได้วางตัวให้ “กำนันตี๋” สุรเชษ นิ่มกุล นายก อบจ.อ่างทอง ดูแลในนามกลุ่ม “สำนึกรักบ้านเกิด” และกำนันตี๋นั้น เคยเป็นประธานสาขาพรรคชาติไทยที่อ่างทอง
ตามสูตรสำเร็จนักการเมืองไทย คุมการเมืองระดับชาติและท้องถิ่นได้ ก็ต้องทำทีมฟุตบอล ครอบครัว “ปริศนานันทกุล” จึงก่อตั้ง “สโมสรอ่างทอง เอฟซี” ฉายา “นักรบรวงทอง” ปี 2553 ภายใต้การดูแลของ ภราดร ปริศนานันทกุล ร่วมกับ สุรเชษ นิ่มกุล ต่อมา ได้จดทะเบียนเป็นบริษัท อ่างทอง เอฟซี จำกัด กำลังเล่นอยู่ในไทยลีก 2
จริงๆ แล้ว ครอบครัวของสมศักดิ์ มีความชื่นชอบกีฬาฟุตบอล จึงตั้งใจที่จะปั้นทีมอ่างทอง เอฟซี ให้ก้าวขึ้นมาสู่ลีกสูงสุดให้ได้
ระหว่างบ้านเมืองวุ่นวายด้วยสงครามสี สมศักดิ์เจอวิบากกรรมอยู่ 2 เรื่องคือ ปี 2551 ถูกตัดสิทธิทางการเมืองเป็นเวลา 5 ปี เนื่องจากเป็นกรรมการบริหารพรรคชาติไทย ซึ่งถูกศาลรัฐธรรมนูญตัดสินยุบพรรค
ปี 2559 ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง มีมติเอกฉันท์ให้บ้านใน จ.อ่างทอง ของสมศักดิ์ ที่สร้างปี 2541 มูลค่า 16 ล้านบาท ตกเป็นของแผ่นดิน หลัง ป.ป.ช.ชี้มูลเมื่อปี 2558 ว่าเขามีพฤติการณ์ร่ำรวยผิดปกติ
อย่างไรก็ตาม สมศักดิ์ได้วางทายาทการเมืองไว้พร้อมแล้ว และตัวเขาก็ยังรับบท “พี่เลี้ยง” คนสำคัญของทีมสุพรรณบุรี เอฟซี
--------
อ่านเรื่องที่เกี่ยวข้อง