ไลฟ์สไตล์

เข็มทิศ "ครูอ้อย"  ที่แท้ก็ลูก "ผู้มีบารมี"  ถึงได้ไม่ธรรมดา

เข็มทิศ "ครูอ้อย" ที่แท้ก็ลูก "ผู้มีบารมี" ถึงได้ไม่ธรรมดา

19 มิ.ย. 2560

ต่อ อีพี.2 กันเลยรออะไร กับเรื่องราวของ "ครูอ้อย" ฐิตินาถ ณ พัทลุง ที่พอรู้ประวัติของเธอ มีอันจะต้อง"ขนลุกซู่" กันอีกรอบ!

          ต่อ อีพี.2 กันเลย รออะไร กับเรื่องราวของ “ครูอ้อย” ฐิตินาถ ณ พัทลุง ที่ไหนๆ ก็กำลังร้อน งานนี้เลยต้องจัดต่อให้จบ

          เพราะลำพังการขุดคุ้ยของสื่อมวลชนเกี่ยวกับราคาค่าอบรมจนได้รับรู้พร้อมกันว่า "แพงมาก!!”  ยังไม่ทำให้ขนตั้งเท่าไหร่ แต่พอขุดลงไปอีกถึงชีวิตของครูอ้อย สุดท้ายก็ต้องมีอัน “ขนลุกซู่” กันอีกรอบ เพราะชีวิตของเธอนั้น อ่านแล้วรู้เลยว่าทำไมเธอถึงมาได้ขนาดนี้

         

ฐิตินาถ ณ พัทลุง หรือที่เราเรียกเธอว่า “ครูอ้อย” เกิดวันที่เกิด 23 มีนาคม 2512 เป็นบุตรของ ไสวและอารีย์ ณ พัทลุง เป็นบุตรคนโตในจำนวนพี่น้อง 3 คน ชาย 1 คน หญิง 2 คน

          น้องชายคือ ณรงค์พร ณ พัทลุง หรือปลัดแป้น ผู้กว้างขวางในแวดวงราชการท้องถิ่น วนเวียนรับราชการอยู่ในหลายพื้นที่ของภาคใต้ ขณะที่น้องสาว คือ ศิริรัตน์ ณ พัทลุง ต.สุวรรณ ผู้เขียนหนังสือเรื่อง “เข็มทิศหัวใจ” หลายคนน่าจะเคยผ่านตากันไปแล้ว

          ครูอ้อยมีระดับการศึกษาที่ดีมาก เนื่องจากฐานะทางบ้านค่อนข้างมีอันจะกิน โดยไสวนั้น เป็นเจ้าสัวใหญ่แห่งจังหวัดสงขลา บางคนจะรู้จักเขาในฐานะอดีตนายกสมาคมธุรกิจจังหวัดสงขลา และเจ้าของโรงแรมพิงค์ เลดี้ หาดใหญ่ หรือบางคนจะรู้จักเขาในฐานะเจ้าของธุรกิจบันเทิงที่คนในพื้นที่รู้จักกันดี

          แต่ในทางการเมือง บิดาของครูอ้อยยังกว้างขวางขนาดเคยเป็นถึงผู้อำนวยการศูนย์ประสานงาน “พรรคเพื่อไทย” ภาคใต้อีกด้วย

          เขามองเห็นอนาคตลูก ถึงขนาดตัดสินใจส่งครูอ้อย ทั้งที่ยังเป็นเด็กผู้หญิงวัยเพียง 11 ไปศึกษาต่อยังประเทศอังกฤษ และสิ่งที่เธอได้รับกลับมาก็คือปริญญาตรีและโทจากยูนิเวอร์ซิตี้ ออฟ ลอนดอน สาขาเศรษฐศาสตร์และบริหารธุรกิจ ด้วยวัยเพียง 20 ปีเท่านั้น

          เรียนจบกลับมาบ้านเกิดไทยแลนด์ เธอก้าวสู่ธุรกิจอัญมณี แม้ว่าหน้าที่ของเธอจะเป็นการดึงนักลงทุนต่างประเทศให้มาลงทุนในเมืองไทย ทำแผนวิเคราะห์การลงทุน การตลาด แต่เธอก็เรียนรู้ธุรกิจอัญมณี บ่มเพาะองค์ความรู้และประสบการณ์ จนเข้าปีที่ 5 จึงออกมาทำร้านเพชรของตนเอง

          งานนี้ครูอ้อยลงทุนร่วมกับเพื่อนอีก 2 คน ชื่อร้านว่า Diamond Today ซึ่งภายหลังพัฒนามาจนประสบความสำเร็จในชื่อ “Working Diamond” ด้วยวิสัยทัศน์ของตัวเองที่เน้นตลาดเพชรของคนชั้นกลางถึงรายได้น้อย ราคาตั้งแต่ 2,000-20,000 บาท แต่ต้องเป็นเพชรแท้ที่ใครๆ ก็ใส่ได้

          ตรงนี้ชีวิตของครูอ้อยกำลังเดินเข้าสู่จุดเปลี่ยน ที่แม้แต่ตัวเองก็ยังตั้งตัวไม่ทัน เมื่อ Working Diamond ซึ่งไปได้ดีมาก โดยเปิดตัวอย่างเป็นทางการ 5 ธันวาคม 2539 กำลังผลิดอกออกผล มีสาขาแรก 3 ที่ ตามห้างใหญ่ทั่วกรุงเทพฯ ต่อมายังเปิดเพิ่มอีกเป็น 7 สาขาถาวร และ 2 สาขาสัญจร ที่จะไปจัดโปรโมชั่นตามศูนย์การค้าต่างๆ

          แต่อยู่ๆ ข่าวร้ายก็จัดหนักตามมาติดๆ โดยช่วงวันปีใหม่ 2540 สามีของครูอ้อย ซึ่งทำธุรกิจบ้านจัดสรรและโรงแรมทางภาคใต้ และเพิ่งแต่งงานได้ปีเดียว เกิดประสบอุบัติเหตุจนเสียชีวิต ซึ่งขณะนั้นครูอ้อยเพิ่งมีอายุเพียง 28 ปีเท่านั้น และเพิ่งมีบุตร 1 คน อายุเพียง 11 เดือน ชื่อ ด.ช.ธฤต ณ พัทลุง (น้องทะเล) 

          และที่เหมือนอาฟเตอร์ช็อก คือ มรดกที่สามีทิ้งไว้ให้คือ หนี้ 100 ล้าน โดยในวันสวดศพเจ้าหนี้พากันมารุมทวงหนี้จนพิธีเกือบล่ม เธอเล่ากับ Women mthai team ว่า วันที่ทราบว่าสามีเสียชีวิต เธอได้แต่ร้องไห้จนแทบขาดใจ แต่แล้วก็มีมือน้อยๆ ของลูกวัยเพียง 11 เดือน ที่แม้จะยังเดินไม่ได้ แต่เขาพยายามยืดจนสุดตัวเพื่อปาดน้ำตาให้แม่ วินาทีที่ลูกเช็ดน้ำตาให้ เธอรู้เลยว่าเธอตายไม่ได้และเธอจะต้องเป็นแม่ที่ดีที่สุดเพื่อลูกคนนี้!!

          หลังจากนั้น แม้ครูอ้อยจะมีผู้ใหญ่ใจดี อย่าง เนตร จันทรัศมี เจ้าของห้างสรรพสินค้าไดอาน่า หาดใหญ่ และมานิต อุดมคุณธรรม เจ้าของห้างสรรพสินค้าโรบินสัน ชี้แนวทางให้ปฏิบัติธรรม นั่งสมาธิ เดินจงกรม เจริญสติ

          แต่ตัวครูอ้อยเองก็พร้อมที่จะซึมซับแนวทางและปฏิบัติได้ดี มีการวางแผนไปอบรมด้านธุรกิจเรื่องการบริหารโครงสร้างหนี้ วิธีการต่อรอง และการบริหารบัญชี จนใช้หนี้ได้หมด 100 ล้านบาท ไม่เป็นหนี้ใครแม้แต่บาทเดียวในเวลา 2 ปี และวิธีจัดการหนี้ของเธอเวลานั้นก็เป็นที่กล่าวขาน จนรายการโทรทัศน์และสื่อมวลชนพากันนำเสนอออกสู่สังคมทั่วกัน

          หลังจากนั้นคนไทยก็เริ่มรู้จักเธอมากขึ้น โดยเฉพาะจากหนังสือที่เธอเขียนขึ้น คือ เข็มทิศชีวิต เล่มแรกเมื่อปี 2547 ที่ติดอันดับขายดีที่สุดในประเทศไทย จนต้องเขียนเข็มทิศชีวิตเล่ม 2 อีกใน 3 ปีต่อมา ชื่อตอน “กฎแห่งเข็มทิศ”

     

     ระหว่างนั้น ช่วงปี 2551 หรือขณะที่ครูอ้อยอยู่ในวัย 35 เธอประกาศวางมือจากธุรกิจ ระบุจะขอใช้ชีวิตกับ “น้องทะเล” ลูกชายหนึ่งเดียว โดยได้ขายกิจการเวิร์คกิ้ง ไดมอนด์ และโรงเรียนแฮปปี้คิดส์ และหันมาเป็นวิทยากรบรรยายธรรมะสำหรับคนทำงานในองค์กรรัฐ เอกชน และสถานปฏิบัติธรรม รวมถึงเป็น “ครูอ้อย” ของเด็กๆ ในหลักสูตรปฏิบัติธรรม

          กระทั่งปี 2552 เขียนเข็มทิศชีวิตเล่มที่ 3 ตอน “กฎแห่งความสุข” ซึ่งแน่นอนเส้นทางตามเข็มทิศของครูอ้อยมีเนื้อหาที่เป็นหลักธรรมคำสอนตามพุทธศาสนา ด้วยเพราะเธอนั้นจะใช้เวลาในการปฏิบัติธรรมที่ยุวพุทธิกสมาคมแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ อยู่เสมอ

           จนกระทั่งครูอ้อยมามีข่าวดังเกี่ยวกับพระรูปหนึ่ง เลยอาจทำให้ศรัทธาของบางคนหล่นหายไปบ้าง แต่ครูอ้อยก็บ่ยั่น ปี 2554 ก็ยังปล่อยเข็มทิศเล่มที่ 4 ออกมา ตอน “จิตใต้สำนึก”

          โดยเล่มนี้ว่ากันว่าเธอใช้วิชาที่ไปเรียนกับฝรั่ง สาขาวิทยาศาสตร์ทางจิตใจมาถ่ายทอดเลยทีเดียว พอปี 2555 ก็ยังปล่อยเข็มทิศชีวิตเล่มที่ 5 ตอน “มั่งคั่ง” ออกมาอีก!

          ระหว่างนั้นเอง เธอก็เกิดบิ๊กโปรเจกท์ คือ คอร์สอบรมแสนแพงที่กำลังเป็นข่าวอยู่ในขณะนี้ และทำให้เธอถูกจับตามองในฐานะผู้ทรงอิทธิพล ทั้งทางพอร์ตหุ้น และพอร์ตจิต คนหนึ่งของเมืองไทย เพราะคอร์สอบรมของเธอนั้น แพงอย่างเดียวยังไม่พอ แต่มันต้องมีอะไรมากกว่านั้นแน่ๆ