แนะพ่อแม่เลี้ยงลูกสมองดีโตไปไม่ติดจอ
ไขเคล็ดลับสู่พัฒนาการที่สมวัยเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่มีคุณภาพ
การเลี้ยงดูลูกในยุคดิจิทัลท่ามกลางข้อมูลข่าวสารรอบตัวและการเชื่อมต่อแบบไร้พรมแดน แถมสังคมยังมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วเป็นโจทย์ที่ท้าทายคุณพ่อคุณแม่อยู่ไม่น้อย มาดูคำแนะนำของ นพ.พรเทพ สวนดอก กุมารแพทย์ โรงพยาบาลกรุงเทพ เพื่อไขเคล็ดลับสู่พัฒนาการที่สมวัยเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่มีคุณภาพ
นพ.พรเทพ สวนดอก
นพ.พรเทพ กล่าวว่า สังคมมีการเปลี่ยนแปลงจากเทคโนโลยีที่อยู่ใกล้ตัวเด็กๆ และเข้าถึงทุกคนมากขึ้น ดังนั้นการเลี้ยงดูแบบไม่ปิดกั้นเทคโนโลยีโดยที่ลูกไม่มีพฤติกรรมติดจอ คุณพ่อคุณแม่จะต้องนำเทคโนโลยีมาใช้เสริมสร้างการเรียนรู้ให้ลูกอย่างมีประสิทธิภาพและเหมาะสมตามวัย ดังนี้
พ่อแม่ควรเลือกใช้สื่อที่สามารถเล่นด้วยกันกับลูกได้
2 ขวบปีแรกเน้นสื่อสารแบบอินเตอร์แอ็กทีฟ พ่อแม่ควรเลือกใช้สื่อที่สามารถเล่นด้วยกันกับลูก อาทิ สมุดภาพ ของเล่นที่มีเสียง เพื่อเสริมสร้างความสัมพันธ์ในครอบครัวและพัฒนาการพื้นฐานตามช่วงวัย ซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญมาก ประกอบด้วย “พัฒนาการด้านภาษา” ตั้งแต่แรกเกิด พ่อแม่สามารถชวนลูกพูดคุย ร้องเพลง เพื่อให้เด็กมีพัฒนาการการฟังและการเปล่งเสียงอ้อแอ้จนถึงพัฒนาการพูดประโยคที่ยาวและมีความซับซ้อนขึ้น “พัฒนาการด้านร่างกาย” ตั้งแต่ฝึกใช้กล้ามเนื้อมัดเล็กสัมผัสร่างกายของพ่อแม่ จับขวดนม ใช้ช้อนตักข้าว ต่อบล็อก ขีดเขียนหนังสือ จนถึงการใช้กล้ามเนื้อมัดใหญ่ในการชันคอ พลิกคว่ำ คลาน ยืนและเดิน
พ่อแม่ไม่ควรไม่ควรปล่อยให้อยู่หน้าจอตามลำพัง
สำหรับการนำเทคโนโลยีมาเลี้ยงดูเด็กในวัยที่มีอายุน้อยกว่า 2 ขวบเป็นสิ่งที่ไม่แนะนำ หรือถ้าจะใช้เป็นเครื่องมือในการดึงดูดความสนใจของลูกน้อยควรจะเป็นระยะเวลาสั้นๆ และมีผู้ใหญ่คอยดูแลอย่างใกล้ชิด อาทิ การเปิดการ์ตูนในยูทูบให้เด็กดูตลอดเวลา ซึ่งเด็กในวัยนี้ยังไม่สามารถเรียนรู้ด้วยตัวเองจึงมีผลต่อพัฒนาการทางด้านภาษา ทำให้เด็กพูดช้า ขาดการโต้ตอบ ซึ่งหากมีการสะสมเรื้อรังจะยิ่งส่งผลต่อพัฒนาการทางความคิดและพัฒนาการตามวัย ทำให้พัฒนาการช้ากว่าวัย มีแนวโน้มแยกตัวจากโลกภายนอกหรือมีพฤติกรรมที่ไม่รู้จักการรอเป็นเด็กสมาธิสั้นได้
2 ปีขึ้นไปจนถึงเด็กโต ไม่ควรปล่อยให้อยู่หน้าจอตามลำพัง การนำสื่อดิจิทัลมาเสริมการเลี้ยงลูกไม่ควรปล่อยให้เด็กอยู่หน้าจอเป็นชั่วโมง อาทิ เด็กอายุ 2-5 ปีควรใช้เวลาอยู่หน้าจอวันละไม่เกิน 1 ชั่วโมง เพราะทำให้ขาดการเคลื่อนไหวหรือออกกำลังกายที่เหมาะสมตามวัย มีแนวโน้มเป็นโรคอ้วนได้และไม่ควรปล่อยให้เด็กอยู่หน้าจอตามลำพัง เช่นเดียวกับเด็กโตที่เริ่มคิดอย่างมีเหตุผล แต่ยังขาดการคิดไตร่ตรองแบบผู้ใหญ่ ผู้ปกครองจึงต้องดูแลอย่างใกล้ชิดเพื่อสามารถให้คำแนะนำและคัดกรองสื่อ โดยเฉพาะการจำกัดสื่อที่มีการใช้ความรุนแรง
พ่อแม่ไม่ควรไม่ควรปล่อยให้อยู่หน้าจอตามลำพัง
ทั้งนี้ นพ.พรเทพ กล่าวเพิ่มเติมว่า ครอบครัวมีส่วนสำคัญที่สุดในการสร้างพื้นฐานการเรียนรู้ที่ดีและเสริมสร้างพัฒนาเด็กให้เติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่มีคุณภาพ ด้วยการทำกิจกรรมร่วมกันเป็นการช่วยเสริมสร้างความสัมพันธ์ภายในครอบครัวให้แนบแน่น สร้างภูมิคุ้มกันทางจิตใจให้ลูกท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงของสังคมยุคดิจิทัล