ปาเจโร สปอร์ต ช่วงล่างโดนใจ รถสำหรับคนเดินทาง
ปาเจโร สปอร์ต ช่วงล่างโดนใจ รถสำหรับคนเดินทาง คอลัมน์... ยานยนต์
มิตซูบิชิ ปาเจโร สปอร์ต เพิ่งปรับไมเนอร์เชนจ์ครั้งใหญ่ไปเมื่อไม่นานมานี้ ปรับเปลี่ยนหลายอย่างทั้งภายนอก ภายใน รวมถึงรูปทรงไฟท้ายที่ขัดใจใครหลายคนในรุ่นก่อนหน้านี้ และให้อุปกรณ์มาตรฐานมาไม่น้อยทีเดียว รวมถึงระบบที่เพิ่งเพิ่มเข้ามา เช่นเบรกมืออัตโนมัติ (Auto Parking Brake) ซึ่งเป็นระบบที่ผมชอบใช้ในการขับขี่ในเมืองที่ต้องหยุดบ่อยครั้ง ทำให้ไม่ต้องเปลี่ยนเกียร์และเหยียบเบรกค้างไว้ เพราะระบบจะเบรกให้แม้ยังอยู่เกียร์ D และยกเท้าออกจากแป้นเบรกก็ตาม นอกจากนี้ยังมีเบรกมือไฟฟ้าระบบสัญญาณเตือนจุดอับสายตา พร้อมระบบส่งสัญญาณเตือนขณะเปลี่ยนเลน ทำงานโดยเรดาร์ที่ติดตั้งบริเวณกันชนหลังตรวจจับรถคันหลังที่วิ่งอยู่ในช่องจราจรถัดไป
ฟังก์ชันกล้องมองภาพรอบคัน ระบบเตือนด้านหลังขณะถอยออกจากช่องจอดช่วยเตือนผู้ขับขี่เมื่อมีรถคันอื่นอยู่ด้านหลังขณะถอยออกจากช่องจอด ซึ่งก็มีประโยชน์ดี
ระบบความบันเทิงในรถโดยเฉพาะคนนั่งด้านหลังคงจะถูกใจขึ้น เพราะแต่เดิมแม้จะดูได้ส่วนตัวผ่านหูฟังอินฟราเรด แต่ก็ดูใช้งานได้เฉพาะดีวีดีกับซีวีดีเท่านั้น แต่รุ่นไมเนอร์เชนจ์สามารถเชื่อมต่อกับยูเอสบี และสมาร์ทโฟนผ่าน เอชดีเอ็มได รวมถึงระบบสะท้อนภาพ หรือมิเรอร์ ที่ส่งภาพจากสมาร์ทโฟนยิงขึ้นจอ 12.1 นิ้ว ที่แขวนอยู่บนเพดานได้เลย โดยไม่ต้องเชื่อมต่ออะไร
และก็ยังเอาใจคนยุคโซเชียลด้วยช่องเชื่อมต่อยูเอสบี ด้านหน้า 3 ช่อง ด้านหลัง 2 ช่อง และติดตั้งอยู่ด้านนอก ไม่ได้ซ่อนอยู่ในกล่องเก็บของตรงกลางให้ใช้งานยุ่งยากอีกต่อไป รวมถึงช่องชาร์จไฟ 12 โวลต์ บริการผู้นั่งเบาะหลังอีกด้วย
ส่วนด้านหน้ามีจอทัชสกรีน 8 นิ้ว สามารถเชื่อมต่อสมาร์ทโฟนและแอปเปิล คาร์เพลย์ พร้อมฟังก์ชันสั่งงานด้วยเสียงรวมถึงมีระบบเอ็มคอนเน็กเป็นครั้งแรกอีกด้วย
ขณะที่จอแสดงข้อมูลสำหรับผู้ขับเป็นจอแอลซีดี ทำให้สามารถเปลี่ยนรูปแบบการแสดงข้อมูลได้ 3 รูปแบบ แล้วแต่จะเลือกเอาว่าถนัดแบบไหน ทำให้สามารถดูข้อมูลที่อยากรู้ เช่น ความเร็วรถ รอบเครื่องยนต์ อัตราสิ้นเปลือง การทำงานของรถ เช่น ระบบขับเคลื่อนได้ง่ายขึ้น และดูหรูหรามากขึ้นครับ
ส่วนที่ด้านท้ายรถ ฝาท้ายสามารถเปิดปิดด้วยไฟฟ้า พร้อมปุ่มล็อกรถที่ฝาท้าย กดแล้วฝาท้ายปิด พร้อมล็อกรถไปในตัว ไม่ต้องมาล็อกซ้ำติดตั้งมาให้ ซึ่งเป็นอุปกรณ์ที่หลายคนน่าจะชอบ
และก็ถึงเวลาที่จะต้องลองขับกันอีกครั้ง คราวนี้ใช้เส้นทางกรุงเทพฯ มุ่งหน้าแก่งกระจาน เพื่อหาเส้นทางลองออฟโรดกันเล็กน้อย ก่อนเข้าหัวหิน และกลับกรุงเทพฯ
ปาเจโร สปอร์ต มีให้เลือก 3 รุ่นย่อย ประกอบด้วยรุ่น 2WD GT ราคา 1.299 ล้านบาท รุ่น 2WD GT-PREMIUM 1.469 ล้านบาท และรุ่น 4WD GT-PREMIUM 1.599 ล้านบาท และที่อยู่กับผมวันนี้เป็นรุ่น 4WD
เครื่องยนต์ดีเซล 2.4 ลิตร MIVEC VG Turbo Clean ให้กำลังสูงสุด181 แรงม้า ที่ 3,500 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 430 นิวตันเมตรที่ 2,500 รอบ/นาที ส่งกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติ 8 สปีด สามารถเปลี่ยนเกียร์ได้ด้วยตัวเองที่แป้นหลังพวงมาลัย หรือ แพดเดิลชิฟท์
ช่วงล่างด้านหน้า อิสระ ดับเบิลวิชโบน คอยล์สปริง พร้อมเหล็กกันโคลง ด้านหลังทรีลิงค์ ทอร์คอาร์ม คอยส์ปริง พร้อมเหล็กกันโคลง เบรกเป็นดิสก์เบรกหน้า/หลัง และติดตั้งยาง ออลเทอร์เรน ขนาด 265/60 R 18 เป็นอุปกรณ์มาตรฐาน
พวงมาลัยแร็คแอนด์พิเนียน เพาเวอร์ผ่อนแรง ด้วยไฮดรอลิก ไม่ใช่ไฟฟ้า ซึ่งทางมิตซูบิชิแจงว่าก็มีข้อดีโดยเฉพาะการขับขี่ในนอกถนน หรือออฟโรดที่อาจจะต้องใช้พวงมาลัยในการแก้ไขทิศทางของรถ ซึ่งพวงมาลัยนี้จะบอกอาการของรถ ทิศทางของล้อได้ดี และการขับจริงบนถนนหรือการขับช้าๆ ตามตรอกซอยในเมืองหลวง ซึ่งเป็นจุดปล่อยตัว ก็ไม่มีปัญหาอะไร ไม่ได้หนักหรือไม่คล่องตัวจนต้องร้องขอพวงมาลัยไฟฟ้าครับ
จากย่านสีลม สาทร ผมขึ้นทางด่วนมาลงพระราม 2 พร้อมเตรียมใจรับมือกับสภาพจราจรย่านนั้น แต่โชคดีที่ไม่หนักหนาดังที่คาด แต่ที่หนักกลับเป็นฝนที่กระหน่ำจนแทบไม่เห็นทาง ระบบปัดน้ำฝนอัตโนมัติทำงานได้ดี อ้อ..รถมีระบบฉีดน้ำล้างไฟหน้าให้ด้วยนะครับ
เส้นพระราม 2 ทำความเร็วได้กลางๆ แต่ก็ถือว่าปาเจโร สปอร์ต คล่องตัวใช้ได้ในการซอกแซกไปมา ซึ่งรถรูปแบบนี้ที่มีความสูงพอควรอาจจะดูไม่เหมาะกับการขับแบบนั้น แต่ด้วยความจำเป็นต้องทำแบบนั้น เพราะมีรถกระจายอยู่ทั่วทั้งถนนโดยไม่สนใจระดับความเร็วที่หมาะสมของแต่ละเลนกันเลย
ถือเป็นรถที่มีความคล่องตัว ไปทางแคบๆ ได้ พวงมาลัยก็แม่นยำใช้ได้ แม้จะยังไม่ถึงขึ้นสุด แต่กับการใช้งานที่ต้องหมุนซ้ายหมุนขวารวดเร็วสลับกันไปมา แต่น่าพอใจ เต็ม 10 ได้ 8.5 ประมาณนั้น
จากพระราม 2 เข้าเพชรเกษม ก่อนจะแยกตัวออกจากเข้าเส้นทางรองไปทางหนองหญ้าปล้องต่อไปยังแก่งกระจาน มีทั้งถนนเล็กๆ 2 เลนสวนทาง เป็นทางผ่านทุ่งนาป่าเขา ทางตรง สลับทางโค้ง มีขึ้นลงเนินพร้อมโค้งเขาบางช่วง ท้าทายช่วงล่าง แต่ต้องยอมรับครับว่ากับรถประเภทนี้ที่มีพื้นฐานมาจากปิกอัพทำได้ดี ขับได้สนุก เข้าออกโค้งได้แม่นยำ แม้จะรู้สึกถึงการโยนตัว แต่ก็ยังคงอยู่ในเส้นทาง แม้บางโค้งดูเหมือนว่าชักจะเริ่มเกินขีดจำกัด จนยางส่งเสียงประท้วงดังเอี๊ยดอ๊าดออกมา
จากหนองหญ้าปล้องมาแก่งกระจานมีช่วงที่ทางโล่งๆ ตรงๆ มีเนินขึ้นลงบ้างแต่ไม่ชันนัก มีรถไม่มากนัก ทำให้มีโอกาสลองกำลังของเครื่องยนต์ ซึ่งไต่ขึ้นไปได้ที่ 179 กม./ชม. ก่อนที่จะผ่อน เพราะเริ่มมีรถคันอื่น แต่ก็คาดว่าจะไปสูงกว่านี้ได้อีกไม่มากนัก
ที่ความเร็วสูง รถยังนิ่งน่าแปลกใจทีเดียว ช่วงล่างสอบผ่าน ส่วนความเร็วที่ใช้ปกในการเดินทางซึ่งก็อยู่ในระดับ 80-130 ขับได้สบายๆ ครับ
จุดเด่นของปาเจโร สปอร์ต ก็คือ การมีระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ ฟูลไทม์ (4WD High-Range) ให้เลือก ดังนั้นเมื่อเห็นว่าทางอาจจะลื่นหรือมีฝนตกก็สามารถหมุนปุ่มควบคุมไปตำแหน่งนั้นได้เลย ไม่ต้องจอด ระบบจะกระจายกำลังไปยังล้อต่างๆ อย่างเหมาะสม แต่ไม่เกิน 40/60 (หน้า/หลัง) ซึ่งก็ช่วยให้การทรงตัวดีขึ้น ซึ่งตั้งแต่ย่านสมุทรสาครที่ฝนตกหนักผมก็คาไว้ที่ตำแหน่งนี้ยาวๆ ไป
ส่วนทางออฟโรด ซึ่่งเป็นทางดินที่จมเป็นร่องโคลนตื้นๆ หรือบางช่วงก็แข็งลื่นๆ ที่เรียกว่าหนังหมู มีข้ามลำธารหลายแห่ง ไต่ขึ้นหลายเนิน ทีมงานแนะนำให้เปลี่ยนเป็น
4HLc (4WD High-Range with Locked Transfer) ซึ่งเหมาะกับเส้นทางออฟโรดที่ไม่โหดนัก แต่คันของผมประเมินแล้วว่าไม่ต้องเปลี่ยน ยังคงใช้ 4H เหมือนเดิม และมันก็พาฝ่าฟันอุปสรรคไปได้ไม่ยาก แม้มีบางช่วงจะดิ้นๆ เป็นเด็กดื้ออยู่บ้าง แต่ก็ใช้แค่การเลี้ยงคันเร่งให้เหมาะสมและนิ่งกับการใช้พวงมาลัยค่อยช่วยเท่านั้น
ยกเว้นกลับอยู่ช่วงหนึ่งที่ทางขึ้นชันและลื่นมาก ก็เลยลองใช้ระบบ 4HLc พร้อมจัดการล็อกเฟืองท้าย ซึ่งทำง่ายๆ กดปุ่มที่บริเวณคอนโซลหน้าเท่านั้น ก็ขึ้นไปได้สบายๆ โดยไม่ต้องลงไปที่ 4LLc (4WD Low-Range with Locked Transfer) แต่อย่างใด
โดยรวม ปาเจโร สปอร์ต เป็นรถที่นั่งสบายและมีผลต่อการควบคุมรถที่ดีโดยเฉพาะในเส้นทางคดโค้งหรือออฟโรด จากการปรับเปลี่ยนเบาะนั่งให้กระชับลำตัวมากขึ้น และยังปรับตำแหน่งบริเวณเข่าสัมผัสคอนโซลเกียร์ด้วยวัสดุซอฟต์ทัชและกระชับกับเข่ามากขึ้นช่วยในการควบคุมรถได้ดี
สมรรถนะเครื่องยนต์น่าพอใจกับรถกลุ่มนี้ อัตราเร่งอาจจะไม่ได้ร้อนแรงนักแต่ก็เพียงพอต่อการใช้งาน ตอบสนองการขับขี่ที่ความเร็วได้และช่วงล่างที่ดี ทำให้ขับขี่ได้สบายใจและสนุกกับการเดินทางครับ