เส้นทางชีวิต..เด็กชายขอบ ไต่ฝันมี 'แบรนด์เสื้อผ้า'
มีเงินใช้จ่ายเพียงวันละ 50 บาท รู้สึกหมดความหวังที่จะได้เรียนต่อ ติดตามแต่เส้นทางชีวิต..เด็กชายขอบ ไต่ฝันมี 'แบรนด์เสื้อผ้า' เป็นของตัวเอง
“เพราะชีวิตไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ไม่ยาก หากเกิดจากความพยายาม” หากเปรียบคำนิยามนี้กับชีวิตเด็กสาวชาวไทใหญ่ นางสาวแสงอ่อง ลุงอู นักศึกษาสาขาเทคโนโลยีเสื้อผ้า หลักสูตรเทียบโอน คณะอุตสาหกรรมสิ่งทอและออกแบบแฟชั่น มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลพระนคร ที่มุ่งมั่นเดินทางไกลราว 1,000 กิโลเมตร จากหมู่บ้านชายขอบดินแดนไทย-พม่า สู่กรุงเทพมหานคร อดทนต่อสู้กับอุปสรรคเพื่อทำตามความฝัน โดยหวังว่าการศึกษาจะสามารถเป็นบันไดต่อยอดชีวิตให้ดีกว่าเดิม
อ่านข่าว : สัมผัสเสี้ยวชีวิต 'ด.ต.วิไล' ครูตชด.ถักทอรร.ในฝันของท้องถิ่น
นางสาวแสงอ่อง ลุงอู เล่าว่า เกิดและเติบโตที่ชุมชนไทใหญ่ในศูนย์พักพิง อ.เวียงแหง จ.เชียงใหม่ ซึ่งอพยพมาจากรัฐฉาน พ่อประกอบอาชีพรับจ้างทั่วไป (เกษตรกรรม) ปลูกกระเทียม พริก และรับซ่อมระบบประปาในหมู่บ้าน ส่วนแม่มีอาชีพทอผ้า
ตั้งแต่เด็กเห็นความเหน็ดเหนื่อยและยากลำบากของพ่อแม่มาตลอด จึงช่วยทำงานมาตลอดไม่ว่าจะรับจ้างเก็บพริก ปลูกกระเทียม รวมถึงเก็บผักไปขายในหมู่บ้านเพื่อเป็นค่าขนม และพยายามหาโอกาสที่จะได้เรียนหนังสือให้สูง เพื่อหวังนำความรู้ไปช่วยเหลือครอบครัวและชุมชนต่อไป
เส้นทางชีวิตของ แสงอ่อง ก่อนที่จะเข้ามาศึกษาในกรุงเทพมหานคร จบการศึกษาจากชั้นมัธยมศึกษาชั้นปีที่ 3 จากโรงเรียนบ้านเปียงหลวง อ.เวียงแหง จ.เชียงใหม่ จากนั้นไปศึกษาต่อระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช.) สาขาบัญชี ที่สารพัดช่างเชียงใหม่ ศูนย์การเรียนรู้วัดดอนจั่น เป็นโรงเรียนประจำอาศัยอยู่กินในวัด
เป็นจุดเริ่มต้นของชีวิตที่ทำให้มีโอกาสได้ศึกษาต่อ ระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง (ปวส.) ที่วิทยาลัยอาชีวศึกษาเชียงใหม่ สาขาเทคโนโลยีแฟชั่นและสิ่งทอ โดยมีอาจารย์ต่างชาติที่เข้ามาเป็นอาจารย์อาสาที่ศูนย์การเรียนรู้ช่วยเหลือทุนเล่าเรียน (Stu and The Kids)
แสงอ่อง เล่าอีกว่า จุดเริ่มต้นของการเข้ามาเรียนที่ มทร.พระนคร นับเป็นจุดเปลี่ยนของชีวิต เพราะไม่คาดคิดว่าจะมีโอกาสได้ศึกษาต่อระดับปริญญาตรี และเข้ามาเรียนในเมืองหลวง โดยอาจารย์ที่วิทยาลัยอาชีวศึกษาเชียงใหม่ ซึ่งจบการศึกษาจาก มทร.พระนคร แนะนำให้มาเรียนต่อด้านสิ่งทอที่นี่ เพราะเป็นมหาวิทยาลัยของรัฐบาล และมีหลักสูตรที่สามารถเทียบโอนได้
แสงอ่อง เล่าว่า ช่วงแรกที่เข้ามาเรียนต้องปรับตัวหลายอย่าง เพื่อให้เข้ากับสังคมเมืองใหญ่ ส่วนด้านการเงิน และค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ต้องประหยัดและอดออม เพราะไม่สามารถขอทุนจากมหาวิทยาลัยฯ หรือกู้ยืมทุน กยศ. ได้ เนื่องจากไม่มีบัตรประชาชน
“ตอนนั้นมีเงินใช้จ่ายเพียงวันละ 50 บาท รู้สึกหมดความหวังที่จะได้เรียนต่อ เพราะที่บ้านไม่มีเงินส่งเป็นค่าเล่าเรียน รู้สึกเสียใจ แต่ไม่ท้อ พยายามมองหาช่องทางตลอด จนกระทั่งอาจารย์ทางคณะทราบเรื่องของตน จึงเข้ามาช่วยเหลือจัดหาทุนการศึกษาให้ ซึ่งเป็นทุนจากสมาคมศิษย์เก่าพณิชยการพระนคร อีกทั้งอาจารย์บางท่านได้ว่าจ้างให้ช่วยตัดเย็บชุดเพื่อเป็นรายได้เสริม จึงทำให้มีเงินพอจุนเจือชีวิตต่อได้ รู้สึกขอบคุณอาจารย์ทุกท่านที่ให้โอกาสนักศึกษาทุกคนอย่างเท่าเทียม”
ตลอดเวลาที่ผ่านมา ผลการเรียนของ แสงอ่อง แม้อยู่ในเกณฑ์ที่ดีมาเสมอ แต่ไม่เคยคิดว่าที่ต้องตั้งใจเรียนเพราะยากจน แต่รู้สึกว่าเมื่อมีโอกาสและมีผู้มอบโอกาสให้แล้ว ควรทำให้ดีที่สุดในทุกวัน และไม่คิดหยุดความฝันในการมีแบรนด์เสื้อผ้าเป็นของตนเอง รวมถึงวันที่ทำให้ครอบครัวภูมิใจที่สุด คือการคว้าใบปริญญาและนำความรู้ที่มีกลับไปช่วยครอบครัว ช่วยพัฒนาบ้านเกิด ช่วยให้น้อง ๆ ในชุมชนไทใหญ่ได้มีโอกาสที่ดีเหมือนที่ตนได้รับ
“ฝากถึงทุกคนที่โชคดีมีเงินพร้อมให้ตั้งใจเรียน หมั่นศึกษาหาความรู้ อยากให้ทุกคนค้นหาตัวเองให้เจอ เพราะหากเรียนไปเรื่อยเปื่อยเราจะเสียเวลาไปในแต่ละวันแต่หากเรามีจุดหมายจะทำให้เราเดินได้เต็มที่และไปถึงจุดหมายอย่างรวดเร็ว และมีทิศทาง” บัณฑิตป้ายแดง กล่าวด้วยรอยยิ้ม
ด้าน รศ.สุภัทรา โกไศยกานนท์ รักษาราชการแทนอธิการบดีราชมงคลพระนคร กล่าวว่า เพื่อเป็นการส่งเสริมและให้โอกาสทางการศึกษา มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลพระนคร ได้มีการมอบทุนการศึกษาให้นักศึกษาที่มีความประพฤติดี มีผลการเรียนดี แต่ขาดแคลนทุนทรัพย์ เพื่อเป็นการช่วยเหลือนักศึกษาและแก้ไขปัญหาและอุปสรรคต่าง ๆ ที่มีผลต่อการศึกษาและการเรียนรู้ของนักศึกษา เป็นประจำทุกปี โดยหวังส่งเสริมและพัฒนาการศึกษาของนักศึกษาให้ประสบความสำเร็จ เพื่อเป็นพื้นฐานในการดำเนินชีวิตที่มีคุณภาพทั้งด้านการเรียน การทำงาน และการดำรงชีวิตต่อไป
ชีวิตคือการเดินทาง หากมีเป้าหมายในชีวิตหรือความฝัน การเดินต้องเดินอย่างต่อเนื่อง ไม่หยุดเดิน ไม่หยุดความฝัน เหมือน "นางสาวแสงอ่อง ลุงอู" สาวไทใหญ่ ที่เธอฝันจะมีแบรนด์เสื้อผ้าเป็นของตัวเอง