
"บวมน้ำ"ปัจจัยเสี่ยงสู่ภาวะแทรกซ้อน
"บวมน้ำ" คือภาวะที่มีน้ำหรือน้ำเหลือง สะสมอยู่ภายในเนื้อเยื่อเกี่ยวพันของร่างกายในปริมาณมาก จนทำให้เกิดอาการบวม เกิดได้กับทุกส่วนของร่างกาย ที่มาของ"บวมน้ำ" มีทั้งจากอาการป่วย การใช้ยา อาหารที่รับประทาน
อาการ “บวมน้ำ” Edema เกิดขึ้นได้ บริเวณมือ แขน ขา ข้อเท้า และเท้า ลักษณะของการบวมน้ำคือ ผิวหนังตึง มีความมันวาว ผิวหนังเป็นรอยบุ๋ม หากถูกกดหรือจิ้มค้างไว้ 5 วินาที ช่วงท้องมีขนาดใหญ่ขึ้น เนื้อเยื่อใต้ผิวหนังบวมและโป่ง โดยเฉพาะบริเวณขาและแขน ผู้ที่อาการ จะมีปัญหาในการเดิน หากเกิดอาการบวมบริเวณขา กรณีที่ปอดบวมน้ำ อาจทำให้เกิดอาการไอหรือมีปัญหาในการหายใจ
สาเหตุของอาการ"บวมน้ำ " อาการบวมน้ำเกิดจากการมีของเหลวรั่วไหลออกมาจากเส้นเลือดขนาดเล็กในร่างกาย ทำให้เนื้อเยื่อบริเวณรอบ ๆ บริเวณนั้นบวมขึ้น อาการบวมน้ำอาจเกิดจากสาเหตุต่าง ๆ ดังต่อไปนี้ อาการเจ็บป่วย เช่น ต่อมไทรอยด์ทำงานผิดปกติ หรือโรคเกี่ยวกับไทรอยด์ ,ต่อมน้ำเหลืองทำงานผิดปกติ ,เส้นเลือดขอด หลอดเลือดดำที่ขาได้รับความเสียหาย หรือไม่แข็งแรง ,การติดเชื้อ ,ภาวะขาดโปรตีนอย่างรุนแรง หรือขาดโปรตีนเป็นเวลานาน ,อาการแพ้อย่างรุนแรง,โรคไต โรคตับ เช่น ตับแข็ง เป็นต้น ภาวะหัวใจวาย
การใช้ยาบางชนิด เช่น ยาแก้ปวด ,ยาแก้อักเสบ หรือ NSAIDs,ยาเอสโตรเจน,ยาสเตียรอยด์,ยารักษาความดันโลหิตสูง,ยารักษาโรคเบาหวานบางชนิด เป็นต้น สาเหตุอื่น ๆ เช่น การนั่งหรือยืนในท่าเดิมเป็นเวลานาน โดยเฉพาะเมื่ออยู่ในสภาพอากาศร้อน การรับประทานอาหารรสเค็มจัด การตั้งครรภ์ อาการก่อนมีประจำเดือน หรือการเปลี่ยนเเปลงของฮอร์โมน การฉายรังสีเพื่อรักษาโรคมะเร็ง ,โรคเท้าช้าง, การผ่าตัดต่อมน้ำเหลือง ปัจจัยเหล่านี้ ล้วนมีส่วนที่ทำให้เกิดอาการ"บวมน้ำ"
การปล่อยไว้โดยไม่รักษา ผู้ป่วยอาจเกิดภาวะแทรกซ้อน มีอาการบวมและรู้สึกเจ็บปวดมากขึ้น ข้อติดแข็ง เดินลำบาก ผิวหนังตึงจนทำให้รู้สึกคันและไม่สบายตัว การไหลเวียนโลหิตลดลง และความยืดหยุ่นของหลอดเลือดแดง เส้นเลือด ข้อต่อ หรือกล้ามเนื้อลดลง เกิดแผลเป็นบริเวณช่องว่างระหว่างเนื้อเยื่อ เกิดการติดเชื้อบริเวณที่บวม และเป็นแผลพุพองที่ผิวหนังมากขึ้น
การวินิจฉัยอาการบวมน้ำ แพทย์อาจวินิจฉัยอาการบวมน้ำในเบื้องต้นด้วยการกดหรือจิ้มบริเวณผิวหนังที่ปรากฏอาการบวมนาน 15 วินาที และสังเกตรอยบุ๋มในบริเวณดังกล่าว โดยพิจารณาร่วมกับประวัติทางการแพทย์ อาการอื่น ๆ และการตรวจระบบต่าง ๆ ของร่างกาย ในบางกรณี แพทย์อาจทำการทดสอบอื่น ๆ เพิ่มเติม เช่น เอกซเรย์ อัลตราซาวด์ เอ็มอาร์ไอ ตรวจเลือด หรือตรวจปัสสาวะ เป็นต้น
การรักษาอาการบวมน้ำ อาการบวมน้ำควรได้รับการรักษาตามสาเหตุ ซึ่งหากอาการบวมที่ปรากฏนั้นไม่รุนแรงมากนัก ผู้ป่วยก็อาจบรรเทาอาการดังกล่าวได้ด้วยตนเองในเบื้องต้น หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่หรือการดื่มแอลกอฮอล์ รับประทานอาหารให้หลากหลาย หลีกเลี่ยงอาหารสำเร็จรูปหรืออาหารรสเค็มจัด เพราะเกลืออาจช่วยเพิ่มปริมาณของเหลวในร่างกาย จนเกิดการบวมน้ำ
เปลี่ยนท่าทางบ่อย ๆ และเพิ่มการเคลื่อนไหวกล้ามเนื้อมากขึ้น โดยเฉพาะบริเวณขา เพื่อให้ร่างกายได้ปั๊มของเหลวส่วนเกินกลับสู่หัวใจ ออกกำลังกายอย่างเหมาะสมสม่ำเสมอ เพื่อช่วยลดอาการบวมจากการไม่เคลื่อนไหวร่างกาย
ดูแลผิวบริเวณที่มีอาการบวมให้สะอาดและชุ่มชื้นอยู่เสมอ เฝ้าระวังไม่ให้เกิดอุบัติเหตุ โดยเฉพาะบริเวณเท้า เพราะอาจติดเชื้อได้หากผิวแห้ง แตก หรือได้รับบาดเจ็บอย่างรอยข่วนและรอยบาด ยืดเหยียดอวัยวะบริเวณที่มีอาการบวมให้อยู่สูงกว่าระดับหัวใจประมาณ 2-3 ครั้ง/วัน หรือ อาจทำตอนก่อนนอนก็ได้ นวดเพื่อให้แรงกดช่วยกระจายของเหลวส่วนเกินออกจากบริเวณดังกล่าว หรือเข้ารับการรักษาด้วยวิธีฝังเข็ม
สวมถุงน่องหรือถุงมือกระชับทางการแพทย์ เพื่อป้องกันการกักเก็บของเหลวไว้ในเนื้อเยื่อ รับประทานสารสกัดจากเมล็ดองุ่นภายใต้คำแนะนำของแพทย์ เพราะอาจช่วยลดความดันโลหิต และบรรเทาอาการบวมน้ำที่เกี่ยวข้องกับการทำงานของหลอดเลือดดำและเส้นเลือดขอด
เพื่อความปลอดภัย ควรปรึกษาแพทย์ก่อนบรรเทาอาการบวมน้ำด้วยตนเองทุกครั้ง และหากอาการรุนแรงขึ้น ควรไปพบแพทย์เพื่อรับการรักษาที่เหมาะสม เพราะอาการบวมน้ำเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ หากอาการเป็นผลมาจากการใช้ยา แพทย์อาจให้ผู้ป่วยหยุดใช้ยา การป้องกันอาการบวมน้ำทำได้เพียงบางสาเหตุเท่านั้น
หากเกิดจากการรับประทานอาหาร อาจปรับเปลี่ยน เช่น หลีกเลี่ยงอาหารรสเค็มหรือรับประทานอาหารที่มีรสเค็มให้น้อยลง อย่างไรก็ตามหากอาการบวมน้ำเกิดมาจากการเจ็บป่วย ในแง่การป้องกันอาจจะทำได้ไม่เต็มที่ สิ่งที่สามารถทำได้คือ บรรเทาอาการได้ด้วยการรักษาโรคและอาการที่เกิดขึ้น
ขอขอบคุณเนื้อหาจาก https://www.pobpad.com/
ภาพประกอบจาก https://pixabay.com/th/