เขาว่าเราเปลี่ยนความคิดคนอื่นไม่ได้ บอกเลย ไม่จริง
ทำไม เรื่องบางเรื่องต้องให้แก่ชีวิตก่อน ความจริงถึงจะถูกเปิดเผยและเป็นที่ยอมรับ อยากให้ลองไปค้นหาคำตอบผ่านเรื่องราวของ นิโคเลาส์ โคเปอร์นิคัส นักดาราศาสตร์ดู (คล้าย ๆ นักดูดวง)
คุณน่าจะเคยนะ ที่รู้สึกว่าคุณรู้ว่าบางอย่างมันเป็นเรื่องจริง แต่มันกลับสวนกระแสความเชื่อหลักของสังคม และไม่ว่าคุณจะทำอย่างไร เหตุผลของคุณก็ฟังไม่ขึ้นเท่าไหร่ คุณไม่ใช่คนเดียวหรอกที่รู้สึกอย่างนั้น เพราะแต่ก่อนบรรพบุรุษของมนุษย์เรามีความเชื่อว่าโลกที่เราอาศัยอยู่ เป็นศูนย์กลางของจักรวาล และความเชื่อนี้ก็อยู่กับบรรพบุรุษเรามาอย่างยาวนานเป็นพัน ๆ ปีทีเดียว ความเชื่อที่ว่า โลกเป็นศูนย์กลางของจักรวาล เป็นความเชื่อที่อยู่ในกระแสเพราะมีผู้สนับสนุนความเชื่อนี้อย่าง นักคิดผู้ทรงอิทธิพล “แอริสตอเติล” และ “ปโตเลมี” ไม่เพียงแค่นั้นแต่ความเชื่อนี้ยังถูกสนับสนุนโดยองค์กรอิทธิพลอย่างคริสตจักรอีกด้วย
จนวันที่ 19 ก.พ. ค.ศ. 1473 ซึ่งตรงกับวันเกิดของ “นิโคเลาส์ โคเปอร์นิคัส” ที่ต้องถูกบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ เพราะนักคณิตศาสตร์และนักดาราศาสตร์คนนี้ ค้นพบว่า โลกไม่ได้เป็นศูนย์กลางของจักรวาลอย่างที่ใครบอกไว้ ดวงอาทิตย์ต่างหากที่เป็นศูนย์กลางของจักรวาลโดยที่ดาวทุกดวงรวมถึงโลกต้องหมุนรอบดวงอาทิตย์ แต่กว่าที่เขาจะสามารถพิสูจน์ทฤษฎีของเขาได้ก็เมื่อเขาเสียชีวิตไปเสียแล้ว ตอนที่ยังมีชีวิตอยู่เขาได้พยายามตีพิมพ์เรื่องที่ค้นพบตามสื่อพิมพ์ต่าง ๆ แต่ก็ไม่เป็นผล กว่าที่จะตีพิมพ์หนังสือที่ชื่อว่า “On the Revolution of the Heavenly Spheres” ออกมาเป็นรูปเป็นเล่มได้ก็ปี ค.ศ. 1543 ปีเดียวกันกับที่เขาเสียชีวิต หลังจากนั้นความจริงจึงค่อย ๆ ปรากฏสู่สาธารณะชนและเป็นความจริงใหม่นี้ได้ปฏิวัติความเชื่อเดิม ๆ ของมนุษย์เกี่ยวกับจักรวาลโดยสิ้นเชิง
นอกจากนี้ นิโคเลาส์ ยังอธิบายเรื่องของเวลาการเกิด กลางวัน-กลางคืนไว้อีกด้วย เขาเล่าว่าการเกิดกลางวัน-กลางคืน มาจากที่โลกหมุนรอบตัวเอง แต่ก่อนบรรพบุรุษของเราพยายามหาวิธีทำลายปรากฏการณ์ต่าง ๆ บนท้องฟ้าและสภาพอากาศเพื่อจะได้กำหนดวันสำคัญทางศาสนาและกำหนดเวลาปลูกและเก็บผลผลิตทางเกษตรเองได้ พวกเขาทำมันโดยสังเกตท้องฟ้าช่วงตอนกลางคืน การสังเกตท้องฟ้านี้เองเป็นที่มาของดาราศาสตร์ หรือวิทยาศาสตร์แขนงแรกของโลก
ดาราศาสตร์นี้เองเป็นสิ่งที่ทำให้เกิดตำนานต่าง ๆ เช่น ชาวอียิปต์เมื่อ 3,000 ปีก่อน คิดว่าท้องฟ้าเป็นร่างกายของเทพธิดาซึ่งถูกตกแต่งไปด้วยเครื่องเพชรพลอยจินดา (ดวงดาว) พอตกเย็นเทพธิดาก็จะกลืนกินดวงอาทิตย์ที่ลับขอบฟ้า ดวงอาทิตย์จึงไปหลบอยู่ในร่างกายของแม่นางในช่วงเวลากลางคืน แต่ด้วยกาลและเวลาความเชื่อก็ถูกปรับเปลี่ยนเป็นความจริงทางวิทยาศาสตร์อย่างที่เราได้เรียนกันที่โรงเรียนตั้งแต่ตอนเด็ก ๆ
เมื่อได้ฟังเรื่องของนิโคเลาส์แล้ว คุณสงสัยไหมว่า ความรู้หลาย ๆ อย่างที่คุณมีอยู่ตอนนี้ คุณแน่ใจได้อย่างไรว่ามันเป็นเรื่องที่ถูกต้อง เพราะกว่าที่การค้นพบของนิโคเลาส์ว่าโลกไม่ใช่ศูนย์กลางของจักรวาลจะเป็นที่ยอมรับในวงกว้างก็ใช้เวลาจนเขาหมดลมหายใจ และที่เป็นอย่างนั้นก็เพราะกระแสความเชื่อของคนส่วนใหญ่ในยุคก่อนจะถูกผูกไว้สถาบันคริสตจักร อย่างไรก็ตามก็ต้องขอบคุณนิโคเลาส์ที่เขาใฝ่รู้และทำงานอย่างหนักจนสามารถนำทฤษฎีที่นำสมัยที่สุดเท่าที่มีตอนนี้มาฝากไว้ให้กับมนุษย์ยุคปัจจุบันได้เข้าใจความเป็นมาของจักรวาล ซึ่งเป็นภูมิปัญญาที่ได้ถูกนำมาต่อยอดให้เกิดนวัตกรรมและศาสตร์ใหม่ ๆ มากมายอย่างที่เรารู้จักกันทุกวันนี้
ขอบคุณข้อมูลและรูปภาพจาก:
https://www.librarypoint.org/blogs/post/early-astronomers/
https://www.famousscientists.org
https://www.copernisis.com
https://www.biography.com