"ชมพู่เมืองเพชร" หวานกรอบ แสนอร่อย สุดยอดของฝาก จังหวัดเพชรบุรี | คมชัดลึก

“ชมพู่เพชร” หรือ ”ชมพู่เพชรสายรุ้ง” หรือที่คนทั่วไปมักเรียกันว่า “ชมพู่เมืองเพชร”  ถือว่าเป็นผลไม้ขึ้นชื่อของ จังหวัดเพชรบุรี เพราะถูกยอมรับว่าเป็นสุดยอด “ชมพู่” ของประเทศไทย ที่สำคัญ “ชมพู่เมืองเพชร” ที่เรียกันนี้ มีรสชาติอร่อย โดยแหล่งปลูกส่วนใหญ่จะอยู่ในพื้นที่ ตำบลหนองโสน อำเภอเมือง จังหวัดเพชรบุรี เพราะมีสภาพดินชุ่มชื้น มีปุ๋ย และอินทรียวัตถุอุดมสมบูรณ์ ทำให้ “ชมพู่เมืองเพชร” เจริญเติบโตและให้ผลดี สีผิวสวย รสชาติอร่อย

 

 

 

นอกจากนี้ ยังมีตำนานเล่ากันว่า "ชมพู่เพชร" หรือ ”ชมพู่เพชรสายรุ้ง” หรือ “ชมพู่เมืองเพชร”  ถูกนำมาปลูกในพื้นที่ตำบลหนองโสน ในครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ.2438 โดยผู้นำมาปลูกมีบ้านเรือนอยู่ริมน้ำเมืองเพชรบุรี ฝั่งตรงข้ามวัดขุนตรา ซึ่งเดิมเรียกกันว่าบ้านสะพานยายนม

 

 

โดยผู้ที่นำมาปลูกรายนี้เป็นชาวหนองโสน โดยกำเนิด มีอาชีพค้าน้ำตาลทางเรือ ระหว่าง จังหวัดเพชรบุรี และกรุงเทพฯ ต่อมาได้มีการนำกิ่งตอน พันธุ์ชมพู่เพชร มา 3 กิ่ง ไม่ปรากฏว่ามาจากสวนแห่งใด และชมพู่เพชรทั้ง 3 กิ่งนี้ เป็นชมพู่เพชรรุ่นแรกที่นำมาปลูกในบริเวณแม่น้ำเพชรบุรี ซึ่งเป็นพื้นที่ชุ่มน้ำและมีแร่ธาตุสารอาหารในดินที่สมบูรณ์ จึงทำให้ “ชมพู่เพชร” หรือ “ชมพู่เมืองเพชร” เจริญเติบโตงอกงามให้ผลดี ต่อมามีผู้ขอขยายพันธุ์ชมพู่เพชร ไปปลูกบ้าง แต่เจ้าของไม่ประสงค์จะให้ขยายกิ่งไปปลูกแพร่หลาย ดังนั้น ในระยะแรกชมพู่เพชรทั้งสามต้น จึงยังไม่ได้แพร่พันธุ์ ไปปลูกในที่แห่งอื่น

 

   

ทั้งนี้ ภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 มีการขยายตอนกิ่งชมพู่เพชร ออกจำหน่ายให้กับผู้ที่ต้องการในราคาประมาณกิ่งละ 200-250 บาท ซึ่งนับว่าเป็นราคาที่แพงมากในสมัยนั้น และภายหลังจากปี พ.ศ.2500 เป็นต้นมา กิ่งชมพู่เพชร ก็เป็นที่แพร่หลายไปอย่างกว้างขวางในทุกพื้นที่ของ จังหวัดเพชรบุรี แต่ความอร่อยสู้ “ชมพู่” จากพื้นที่ตำบลหนองโสน ซึ่งเป็นพื้นที่ดั่งเดิมไม่ได้

 

   

นอกจากนี้ การทำสวน "ชมพู่เพชร" ตามแบบฉบับของชาว ต.หนองโสน สวนชมพู่จะอยู่หลังบ้าน และมีครอบครัวละ 5-30 ต้น จึงทำให้ปัจจุบันต้น “ชมพูเพชร” หรือ "ชมพู่เพชรสายรุ้ง" มีอายุมากกว่า 35-40 ปี ต้นสูง เวลาจะห่อหรือเก็บเกี่ยว ต้องทำนั่งร้านถึง 3 ชั้น สูงราว 8 เมตร ขึ้นไปห่อหรือเก็บลูกชมพู่

 

“ชมพูเพชร” หรือ “ชมพู่เมืองเพชร” จะออกลูกปีละถึง 5 ครั้ง และเมื่อเริ่มให้ผลต้องห่อลูกเพื่อป้องกันแมลง โดยแต่ละต้นสามารถทำรายได้ให้เกษตรกรถึงต้นละ 1.5-2 หมื่นบาทต่อปี ดังนั้น จึงทำให้และชมพู่เพชร มีราคาแพงที่สุดในบรรดาชมพู่ด้วยกัน สนนราคากิโลกรัมละ 100 บาท” เลยทีเดียว โดยนับว่าเป็นชมพู่ที่มีรสชาติหวาน เนื้อกรอบ  และอร่อยติดลิ้น พร้อมทั้งเป็นที่ชื่นชอบกับผู้ที่เคยลิ้มลอง