สังเกตด่วน 4 "โรคผู้หญิง" ไม่ใช่มะเร็งแต่อันตราย
ชวนคุณผู้หญิงเช็กการมีประจำเดือนของตัวเอง แล้วสังเกตความผิดปกติต่างๆ เพื่อพบแพทย์ทันที เพราะอาจมี 4 โรคผู้หญิงอันตรายนี้แฝงอยู่
โดยปกติแล้วคุณผู้หญิงทั้งหลายที่มีสุขภาพดีไม่ควรมีอาการผิดปกติใด ๆ ในขณะมีประจำเดือน แม้บางคนอาจมีอาการปวดท้องน้อย ประจำเดือนมามากบ้างน้อยบ้าง แต่ไม่ควรมีความผิดปกติรุนแรง ฉะนั้นเราจึงมาชวนคุณผู้หญิงเช็กอาการผิดปกติที่เป็นสัญญาณของโรคอันตราย...ห้ามนิ่งนอนใจเด็ดขาด!
1) โรคเนื้องอกมดลูก เป็นหนึ่งโรคผู้หญิงที่พบบ่อยที่สุดเกิดจากเซลล์กล้ามเนื้อบางตำแหน่งแบ่งตัวและเจริญจนเป็นก้อนแทรกในชั้นกล้ามเนื้อ สาเหตุยังไม่ทราบแน่ชัดแต่อาจเกี่ยวกับพันธุกรรม
สังเกตอาการ ขึ้นอยู่กับตำแหน่งของเนื้องอก ได้แก่
- ประจำเดือนมามากและมีนานหลายวัน อ่อนเพลียเหนื่อยง่าย มักเป็นเนื้องอกที่อยู่ใต้เยื่อบุโพรงมดลูก
- มีอาการปัสสาวะบ่อย บางคนอาจปัสสาวะลำบากเป็นอาการของเนื้องอกที่อยู่ด้านหน้าใต้กระเพาะปัสสาวะทำให้มีก้อนเนื้อกดกระเพาะปัสสาวะ
- มีอาการท้องผูกเรื้อรัง มักเป็นเนื้องอกที่อยู่ด้านหลังที่ทำให้กดลำไส้ใหญ่
- ปัสสาวะผิดปกติ ปวดท้องน้อย อาจเป็นเนื้องอกที่ขยายไปทางด้านข้าง ที่อาจไปกดท่อไตมีผลทำให้การทำงานของไตเสียได้
- ไม่มีอาการหรืออาจคลำพบก้อนเนื้อ จะตรวจพบได้เมื่อก้อนเนื้อมีขนาดใหญ่ เช่น โรคเนื้องอกที่ด้านบนของมดลูก
2) ภาวะเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ และช็อกโกแลตซีสต์ พบได้บ่อยมากในหญิงวัยเจริญพันธุ์ โรคนี้มาพร้อมกับเลือดประจำเดือนโดยร้อยละ 90 ของผู้หญิงจะมีเลือดไหลย้อนเข้าสู่อุ้งเชิงกรานขณะมีประจำเดือน เซลล์ของเยื่อบุโพรงมดลูกของคุณผู้หญิงบางท่านไม่ตายแต่จะเจริญต่อไปจนเกิดเป็นภาวะเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ในอุ้งเชิงกราน สาเหตุของโรคสันนิษฐานว่าคุณผู้หญิงในปัจจุบันมีประจำเดือนเร็วและมีนาน กว่าจะแต่งงานและมีลูกก็มีประจำเดือนไม่น้อยกว่า 10 – 20 ปี จึงมีโอกาสเป็นโรคนี้กันมาก
ภาวะเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ทำให้เกิดพังผืดในอุ้งเชิงกราน ต่อมาเกิดถุงน้ำเล็กๆ ที่มีของเหลวเหมือน Chocolate ค่อย ๆ เบียดเนื้อรังไข่และขยายใหญ่จนเป็นถุงน้ำขนาดใหญ่ขึ้นเป็นช็อกโกแลตซีสต์ (Chocolate Cyst)
สังเกตอาการ : มีอาการปวดประจำเดือนมากและมักจะปวดมากขึ้นเรื่อยๆ ทั้งยังมีอาการปวดขณะมีเพศสัมพันธ์ ปวดท้องเรื้อรัง ปวดทุกวันเป็นเวลานาน หากโรคนี้กระจายไปกระเพาะปัสสาวะหรือลำไส้ใหญ่จะส่งผลทำให้มีอาการถ่ายปัสสาวะหรืออุจจาระปนเลือด ลำไส้แปรปรวนและมีโอกาสทำให้มีบุตรยากอีกด้วย
3) ถุงน้ำหรือซีสต์ที่รังไข่ (Ovarian Cyst) อีกหนึ่งโรคภัยในผู้หญิงที่เป็นกันมากเกิดจากเซลล์ในรังไข่เอง โดยถุงน้ำรังไข่แบบนี้มักพบได้ 2 ชนิดคือ ถุงน้ำที่เกิดจากเซลล์ผิวของรังไข่ (Epithelial Cell) และถุงน้ำที่เกิดจากเซลล์ผิวหนัง (Dermoid Cyst)
สังเกตอาการ : ในระยะแรกคุณผู้หญิงมักจะไม่มีอาการแต่ถุงน้ำในรังไข่จะค่อยๆ ใหญ่ขึ้น เมื่อถุงน้ำใหญ่ขึ้นจนแกว่งตัวได้มีโอกาสบิดขั้วที่รังไข่ ทำให้เกิดอาการปวดท้องน้อยเฉียบพลัน โดยระยะแรกจะปวดเป็นพักๆ และอาการปวดจะหายไปได้หากการบิดขั้วหมุนกลับไปสู่ตำแหน่งปกติ แต่หากมีการบิดขั้นที่รุนแรงมากจนทำให้รังไข่คั่งเลือด จะทำให้มีอาการปวดรุนแรงขึ้นจนกระทั่งปวดไปทั่วท้องและรู้สึกปวดท้องมากจนทนไม่ไหวต้องรีบไปพบแพทย์ทันที
4) โรคมดลูกโตจากเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ (Adenomyosis) เป็นโรคที่มีเซลล์ของเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญในชั้นกล้ามเนื้อของมดลูก (คล้ายกับภาวะเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ที่เซลล์เยื่อบุโพรงมดลูกไปเจริญในอุ้งเชิงกราน) เซลล์เยื่อบุโพรงมดลูกจะเจริญและสลายตามรอบการมีประจำเดือน โดยขณะมีประจำเดือนเซลล์เหล่านี้จะสลายเกิดการอักเสบในชั้นกล้ามเนื้อ กระตุ้นให้เกิดการบีบรัดตัวของมดลูกจนเกิดซ้ำๆ เป็นประจำ
สังเกตอาการ : ปวดประจำเดือน ซึ่งเมื่อหลังหมดประจำเดือนจะเกิดพังผืดในบริเวณชั้นกล้ามเนื้อของมดลูก มีการเกิดซ้ำและสะสมในแต่ละรอบประจำเดือน ทำให้มดลูกใหญ่ขึ้นเป็นรูปทรงกลมและอาการจะรุนแรงมากขึ้นได้ นอกจากนี้ยังอาจพบอาการประจำเดือนมามาก และในรายที่รุนแรงจะมีอาการปวดท้องเรื้อรัง ปวดหน่วงหรือมีอาการปวดคล้ายปวดประจำเดือนเกือบทุกวัน
...แม้ 4 โรคนี้จะไม่ใช่มะเร็ง แต่ก่อให้เกิดอาการอันตรายต่อสุขภาพของคุณผู้หญิง ดังนั้นหากมีอาการผิดปกติเพียงแค่ข้อเดียวก็ควรรีบไปพบคุณหมอ และหมั่นตรวจสุขภาพตรวจภายในทุกปี เพื่อจะได้รู้ก่อนและรักษาทันไม่ให้ลุกลามรุนแรงจนถึงขั้นตัดรังไข่หรือตัดมดลูก...
ขอบคุณข้อมูล รพ.กรุงเทพ