"น้ำพริกปลาทู" เมนูคู่คนไทย แค่ได้ยินชื่อ ก็การันตี.! ความอร่อย
"น้ำพริกปลาทู" เมนูคู่คนไทย แค่ได้ยินชื่อ ก็การันตี.! ความอร่อย
“น้ำพริกปลาทู” แค่ได้ยินชื่อก็น้ำลายสอ.! ซะแล้ว วันนี้จะมาแนะนำคุณประโยชน์อาหารที่อยู่คู่กับคนไทยมาตั้งแต่โบร่ำโบราณ โดยเฉพาะในยุคฝ่าวิกฤต “โควิด-19” ที่เจ้าเชื้อร้าย สายพันธุ์อินเดีย กำลังแพร่ระบาดไปทั่วประเทศ อย่างชนิดไม่แตะเบรก ทำให้ประชาชนคนไทยส่วนใหญ่ ต้องเก็บเนื้อเก็บตัว อยู่กับบ้าน เพื่อระวังการติดเชื้อที่อาจส่งผลกระทบไปถึงครอบครัวอันเป็นที่รัก
ฉะนั้น เมื่ออยู่บ้าน หยุดเชื้อ เพื่อชาติ แน่นอนคงต้องอยู่พร้อมหน้า กันทั้งครอบครัว ดังนั้น การทำอาหาร หรือทำเมนูโปรด จึงตกเป็นภาระหน้าที่ของคุณแม่บ้าน หรือไม่ก็พ่อครัวหัวป่า ที่จะต้องคิดเมนูในแต่ละวัน เพื่อลดการจำเจในแต่ละวัน
และ “น้ำพริกปลาทู” ก็เป็นอีกเมนูหนึ่ง ซึ่งถือว่ามีคุณประโยชน์มากมาย โดยส่วนประกอบสำคัญ หรือพระเอกของอาหารชนิดนี้ ก็คงหนีไม่พ้น “พริก” เพราะถือว่าเป็นตัวจักรสำคัญในการเพิ่มรสชาติ และความเผ็ดในการทำน้ำพริก และพริกทุกชนิดมีสารแคปไซซิน ซึ่งเป็นสารที่มีคุณสมบัติในการป้องกันความชรา และยังมีเบต้าแคโรทีนและวิตามินซีสูง ต้านอนุมูลอิสระ
ขณะที่ หอมแดง และกระเทียม ซึ่งถือว่าเป็นส่วนผสมสำคัญ ในการทำน้ำพริก ก็จะมีเซเลเนียม ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ และมีโปรเตสเซียมเยอะ โดยทางการแพทย์ระบุว่า มีคุณสมบัติช่วยให้เซลล์แข็งแรง และยังจะได้น้ำมันจากกระเทียมซึ่งเป็นสารแอนตี้เซปติก ช่วยป้องกันการติดเชื้อและลดไขมันในเส้นเลือด
และที่พลาดไม่ได้ เห็นจะเป็น “กุ้งแห้ง” เพราะเป็นอีกหนึ่งส่วนผสม ที่จะต้องใช้โขลกให้ละเอียด เพื่อคลุกเคล้าไปกับกะปิ โดย “กุ้งแห้ง” จะมีแคลเซียมสูง ช่วยทำให้กระดูกและฟันแข็งแรง
และที่พลาดไม่ได้ เมื่อได้น้ำพริกมาเป็นถ้วยๆแล้ว คงจะต้องโรยด้วย “มะเขือพวง” เพื่อเพิ่มความอร่อย และเข้ากันอย่างลงตัว โดย “มะเขือพวง” จะมีเส้นใยสูง ป้องกันท้องผูก
นอกจาก “น้ำพริก” ที่รังสรรค์ออกมาแล้ว ยังต้องมีผักเครื่องเคียงต่างๆ อีกหลากหลายชนิด ไม่ว่าจะเป็นหน่อไม้อ่อนต้ม มะเขือ แตงกวาง ถั่งฝักยาว ซึ่งผักเหล่านี้ล้วนแล้วแต่มีประโยชน์ต่อร่างกายแทบทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นวิตามินและเกลือแร่จากผักต่างๆที่นำมาต้มทานแกล้มกับน้ำพริก
โดย “น้ำพริก” 1 ถ้วย จะใช้กะปิ 20-30 กรัม ให้แคลเซียม 500 ม.ก. นอกจากนี้ กะปิยังให้โซเดียมโปรเตสเซียม และไอโอดีนนอกเหนือจากคุณค่าทางอาหาร
สุดท้ายนี้ คงจะไม่พูดถึง คงไม่ได้ เพราะถือเป็นตัวชูโรงเลยทีเดียว ซึ่งนั่งก็คือ “ปลาทู” เพราะเมื่อนำปลาทูมาทอดด้วยไฟขนาดกลางๆ แบบไม่ต้องรีบร้อน ก็จะได้ปลาทูทอดที่เหลืองสวย นำมากินคู่กับน้ำพริก และผักเคียงต่างๆ ก็จะได้คุณค่าสารอาหารแบบครบถ้วนเลยทีเดียวเชียว
และ “ปลาทู” ก็มีคุณค่าทางโภชนาการ ช่วยลดปริมาณไขมันในเส้นเลือด และเป็นอาหารที่มีโปรตีนสูง ไขมันต่ำ แคลอรี่ต่ำ และย่อยง่ายอีกด้วย