"เกาลัด"หวานมันและประโยชน์ต่อสุขภาพ
"เกาลัด" หรือchestnut ในภาษาจีนเรียกว่า เลียกก้วย, ไต่เลียก , หรือ ปังเลียก เป็นพืชเมล็ดเปลือกแข็ง ที่มีคาร์โบไฮเดรตหรือแป้งเป็นส่วนประกอบ อุดมด้วยวิตามินบี มีแร่ธาตุ โพแทสเซียม และกรดโฟลิก ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อสุขภาพ
" เกาลัด" ลักษณะของผล ค่อนข้างกลม สีเขียวมีขนแหลม เมื่อแก่จะมีสีน้ำตาลและแตกออก ภายในมีเมล็ด การใช้ประโยชน์อยู่ที่เนื้อในเมล็ด ในประเทศจีนนิยมรับประทานเกาลัดทั้งดิบและสุก ชาวจีนถือว่าเกาลัดเป็น “ราชาแห่งเมล็ดพันธุ์พืช” จึงมีการปลูกอย่างแพร่หลายในจีน และผลิตสำหรับส่งออก
"เกาลัด" เป็นที่นิยมต่อการบริโภคในจีน และญี่ปุ่น ขณะที่ในไทย การบริโภคเกาลัด ยังไม่ถึงขั้นเป็นที่แพร่หลาย ในการรับประทานใช้วิธีการคือ นำไปคั่วและแกะเปลือกสีน้ำตาลดำออกมา จะพบกับเนื้อในที่เป็นสีขาวขุ่น มีรสชาติหวานมัน
ที่มาของการรับประทาน"เกาลัด"ที่คุ้นเคยมากที่สุด คือ เกาลัด ที่ผ่านการคั่ว โดยเป็นการคั่วในเม็ดทรายขนาด 3-5 มิลลิเมตร เป็นทรายที่ใช้ในการก่อสร้าง เมื่อทรายร้อนระอุ จนเป็นสีดำ ก็จะนำเอาลูกเกาลัดใส่ลงไป
ผู้ค้าบางรายเติมน้ำตาลทรายลงไป และคั่วรวมกันให้ได้รสหวาน บางร้านเพิ่มกลิ่นหอมด้วยการใส่เมล็ดกาแฟคั่วลงไป การใช้เม็ดทรายในการคั่วเกาลัด เพราะทรายสามารถเก็บความร้อนไว้ได้นาน ซึ่งดีสำหรับการคั่วทำให้เกาลัดสุกถึงเนื้อ ด้านใน การคั่วเกาลัด ใช้เวลา ระหว่าง 30 -40 นาที ก็จะทำให้เนื้อภายในสุก
ประโยชน์จากการรับประทานเกาลัด คือ บำรุงไต กล้ามเนื้อ ม้าม และกระเพาะอาหาร แก้ร่างกายอ่อนแอ แก้ไอ ละลายเสมหะ แก้อาเจียน คลื่นไส้ ท้องเดิน
ห้ามเลือด ช่วยการไหลเวียนโลหิต แก้อาการถ่ายเป็นเลือด เลือดกำเดาไหล แก้วัณโรคที่ต่อมน้ำเหลืองที่คอโต และอาเจียนเป็นเลือด
การรับประทานเกาลัด ในรูปแบบของการเป็นยา ตามสูตรแพทย์แผนจีน สามารถทำได้ อาทิ รับประทานเกาลัดแห้ง 7 เมล็ดต่อวัน กับโจ๊กไตหมู สรรพคุณช่วยบรรเทาอาการปวดหลังและปวดเท้าได้ หรือรับประทานเกาลัดดิบ แก้คออักเสบ
เผาเปลือกเกาลัด แล้วนำมาบดเป็นผงให้ได้ 6 กรัม ผสมกับน้ำผึ้ง 30 กรัม รับประทานเป็นยารักษาริดสีดวงทวาร , ต้มเกาลัด 60 กรัมกับพุทราจีนแห้ง 4 ผล และหมูเนื้อแดง รับประทาน บำบัดอาการหอบหืดหรือไอ
สำหรับผู้ที่ควรหลีกเลี่ยงการบริโภคเกาลัด ได้แก่ ผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับระบบย่อยอาหาร เช่น ท้องอืดบ่อย ๆ อาหารไม่ย่อย ควรหลีกเลี่ยง , ผู้ที่เป็นโรคไขข้ออักเสบ ร้อนใน ตาบวม ไม่ควรรับประทานเพราะถือว่าเป็นของแสลง
ขอขอบคุณเนื้อหาจาก http://www.chinatownyaowarach.com/
ภาพประกอบจาก https://pixabay.com/th/