วางแผนฝาก “สเต็มเซลล์” หลังคลอดจะดีไหม ใช้ในอนาคตได้จริงหรือ
หากคุณกำลัง"ตั้งครรภ์"และกำลังวางแผนฝาก“สเต็มเซลล์”หลังคลอด ลองมาดูข้อมูลกันก่อนว่าสิ่งที่ควรใส่ใจและตระหนักก่อนตัดสินใจมีเรื่องอะไรบ้าง
หลายคนคงเคยได้ยินเรื่องของ “สเต็มเซลล์”(Stem Cell) ที่มีข้อมูลบอกว่ามีประโยชน์ในแง่เสริมความงาม ชะลอวัยและการรักษาโรคที่อาจเกิดได้ในอนาคต โดยเฉพาะการเก็บสเต็มเซลล์ต้นกำเนิดจากสายสะดือลูกทารกหลังคลอด จนทำให้คุณแม่ตั้งครรภ์และพ่อแม่มือใหม่สนใจและอยากเก็บสเต็มเซลล์ของลูก โดยอาจจะยังไม่มีข้อมูลที่ถูกต้อง เราจึงนำข้อมูลวิชาการจากแหล่งต่างๆ มานำเสนอเพื่อเป็นข้อมูลในการตัดสินใจมาฝากคุณพ่อคุณแม่
สเต็มเซลล์คือ เซลล์ต้นกำเนิดหรือสเต็มเซลล์ คือเซลล์ชนิดพิเศษที่พบได้ทุกช่วงเวลาของการเจริญเติบโตในสิ่งมีชีวิต สามารถแบ่งตัวได้อย่างไม่จำกัด และสามารถเปลี่ยนแปลงไปเป็นเซลล์ได้เกือบทุกชนิดในร่างกาย เช่น เซลล์ผิวหนัง สมอง หัวใจ กล้ามเนื้อและเซลล์เม็ดเลือด มีหน้าที่สำคัญในการแบ่งตัวเพิ่มจำนวนและเปลี่ยนแปลงไปเป็นเซลล์ชนิดต่างๆ เพื่อทดแทนเซลล์ที่เสื่อมสภาพในร่างกาย
สเต็มเซลล์มีกี่ชนิด แบ่งเป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ คือ เซลล์ต้นกำเนิดที่แยกได้จากตัวอ่อน และเซลล์ต้นกำเนิดที่แยกได้จากสิ่งมีชีวิตโตเต็มวัยหรือจากเนื้อเยื่อ โดยคุณสมบัติของเซลล์ทั้ง 2 ชนิดนี้มีความแตกต่างกันนั่นคือ
1. เซลล์ต้นกำเนิดจากตัวอ่อนสามารถเปลี่ยนแปลงไปเป็นเซลล์ได้เกือบทุกชนิดในร่างกาย ยกเว้นเซลล์จากรก
2. เซลล์ต้นกำเนิดจากตัวเต็มวัยสามารถเปลี่ยนไปเป็นเซลล์เฉพาะในเนื้อเยื่อนั้นๆ เช่น สเต็มเซลล์ของเลือด สามารถเปลี่ยนเป็นเม็ดเลือดแดง เม็ดเลือดขาวและเกล็ดเลือด
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
- วิธีรักษา "โควิด-19" เทคโนโลยี "หุ่นยนต์สเต็มเซลล์"
- คนละนิดคนละหน่อยเพื่อกองทุนสเต็มเซลล์
- ฟันธงนักวิจัยสเต็มเซลล์ญี่ปุ่นลวงผลงาน
สเต็มเซลล์รักษาโรคได้จริงไหม? ทางการแพทย์ยอมรับว่าสามารถใช้เซลล์ต้นกำเนิดรักษาได้ในบางโรคเท่านั้น เช่น โรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวหรือลูคีเมีย โรคโลหิตจางหรือทาลัสซีเมีย ซึ่งรักษาด้วยวิธีการปลูกถ่ายเซลล์ต้นกำเนิดจากไข ส่วนโรคอื่นๆ ที่มีการอ้างว่ารักษาด้วยเซลล์ต้นกำเนิดได้ ในบางครั้งยังอยู่ในกระบวนการศึกษาวิจัยทางคลินิก ซึ่งอาจจะให้ผลดีในการรักษาในอนาคตแต่ยังไม่ถูกบรรจุอยู่ในการรักษามาตรฐาน
รู้จักการเก็บสเต็มเซลล์ การเก็บสเต็มเซลล์ของลูกน้อยหลังคลอด คือการเก็บเลือดจากสายสะดือของลูกในวันที่คุณแม่คลอดก่อนที่รกจะลอกตัวออกจากโพรงมดลูก สเต็มเซลล์ที่เก็บหลังคลอดนั้น อาจจะมีกระบวนการนำไปตรวจการติดเชื้อ หรืออาจมีการนับจำนวนเซลล์ที่เก็บได้หลังคลอด เติมน้ำยารักษาสภาพ และนำไปแช่แข็งในระบบพิเศษที่ใช้อุณหภูมิต่ำมาก จึงจะทำให้สเต็มเซลล์คงสภาพได้นานกว่า 10-20 ปี รวมถึงขั้นตอนในการเก็บสเต็มเซลล์จากเลือดสายสะดือ คุณแม่ตั้งครรภ์จะต้องทำสัญญากับทางบริษัทก่อน แจ้งกับคุณหมอและโรงพยาบลที่ฝากครรภ์ เมื่อมีอาการเจ็บครรภ์คลอดคุณหมอสูติผู้ทำคลอดจะเก็บสเต็มเซลล์จากสายสะดือของลูกน้อยที่ถูกตัดเรียบร้อยนำส่งในอุปกรณ์ของบริษัทที่รับบริการฝากต่อไป
ฝากสเต็มเซลล์มีค่าใช้จ่ายสูง การเก็บสเต็มเซลล์นั้นมีค่าใช้จ่ายตั้งแต่การทำสัญญา ค่าบริการเก็บหลักหมื่นบาทถึงแสน และต้องมีค่าใช้จ่ายรายปีที่ต้องจ่ายต่อเนื่องยาวนาน ฉะนั้นถือเป็นค่าใช้จ่ายที่ผูกพันต่อเนื่อง จึงควรพิจารณาฐานะทางบ้านหรือเศรษฐกิจในครอบครัวในระยะยาวให้ดี
ควรเก็บสเต็มเซลล์ไว้ใช้ในอนาคต?
การเก็บสเต็มเซลล์แช่แข็งไว้ จะสามารถทำให้สเต็มเซลล์นั้นมีชีวิตอยู่ได้ยาวนานเป็นสิบๆปี ปัจจุบันจึงมีการเก็บสเต็มเซลล์แช่แข็งเพื่อเอาไว้ใช้ในอนาคตหากจำเป็น โดยมักจะเก็บจากเลือดในสายสะดือของทารกแรกเกิด แล้วเก็บรักษาไว้เหมือนกับการประกันชีวิตให้ลูกตั้งแต่แรกเกิดว่าถ้าต่อไปในอนาคตเกิดเป็นโรคอะไรขึ้นมา ก็จะได้เอาสเต็มเซลล์ที่เก็บไว้มาใช้รักษาได้ ทำให้ในประเทศไทยมีบริษัทเอกชนหรือโรงพยาบาลบางแห่งมีการเสนอบริการเก็บรักษาสเต็มเซลล์จากเลือดสายสะดือของลูกน้อย
ซึ่งการเก็บสเต็มเซลล์จากสายสะดือทารกนั้น คุณพ่อคุณแม่จำเป็นต้องศึกษาหาข้อมูลอย่างละเอียด เพราะในบางครั้งการรักษาโรคที่หลายบริษัทกล่าวถึง ยังไม่สามารถรักษาด้วยสเต็มเซลล์ได้จริงหรือหากมีข้อมูลที่บอกว่ารักษาได้ ก็อาจไม่ใช่การใช้สเต็มเซลล์จากสายสะดือ แต่เป็นการศึกษาในเซลล์ต้นกำเนิดตัวอ่อน ฉะนั้นก่อนที่จะตัดสินใจฝากสเต็มเซลล์คุณพ่อคุณแม่จะต้องหาข้อมูลให้ถี่ถ้วน เพราะนอกจากค่าใช้จ่ายที่ต้องเสียและเก็บที่ค่อนข้างสูงมากแล้ว ต้องคำนึงถึงการบริการและการเก็บรักษาที่ได้มาตรฐานอีกด้วย
หากต้องการฝากสเต็มเซลล์
ต้องพิจารณาศึกษาหาข้อมูลประกอบก่อนตัดสินใจ เปรียบเทียบบริการและค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นในแต่ละบริษัท เนื่องจากปัจจุบันมีหลายบริษัทที่ให้บริการรับฝากสเต็มเซลล์ จึงควรพิจารณาบริษัทฝากสเต็มเซลล์ที่เชื่อถือได้ มีสถาบันรับรองคุณภาพที่ยอมรับกันทั่วโลก มีห้องสถานที่เก็บเป็นสัดส่วนได้มาตรฐาน มีการควบคุมการติดเชื้อ โดยก่อนตัดสินใจหรือทำสัญญาคุณพ่อคุณแม่อาจขอไปดูสถานที่เก็บจริงหรือขอดูรูปและขั้นตอนการเก็บที่ชัดเจนก่อน นอกจากนี้ควรพิจารณาความน่าเชื่อถือของบริษัทว่ามีนักวิชาการที่มีความรู้เฉพาะด้านดูแลอยู่ด้วย
...สุดท้ายคือคุณพ่อคุณแม่ควรคิดพิจารณาอย่างละเอียดถึงความคุ้มค่ากับเงินที่ต้องจ่ายเงิน และการนำสเต็มเซลล์ของลูกมาใช้ได้จริง เพื่อการตัดสินใจได้รอบคอบมากยิ่งขึ้น ….
ขอบคุณข้อมูลจาก https://pharmacy.mahidol.ac.th, https://www.si.mahidol.ac.th