ไลฟ์สไตล์

วิธีป้องกันไม่ให้บัตรฯ โดนแฮก อย่าบอกเลข "CVV” เลข 3 หลักหลังบัตรฯ

วิธีป้องกันไม่ให้บัตรฯ โดนแฮก อย่าบอกเลข "CVV” เลข 3 หลักหลังบัตรฯ

19 ต.ค. 2564

ตัวเลข "CVV" จะมี 3 ตัวเลขเท่านั้น เช่น 472 และมักอยู่ด้านหลังของบัตรฯ ยกเว้น บัตร Amex จะเป็นเลข 4 หลักซึ่งอยู่ด้านหน้าบัตรฯ

จากเหตุการณ์ที่มีประชาชนโดนแฮกข้อมูลบัญชีธนาคารจนทำให้มีเงินไหลออกจากบัญชีทีละจำนวนน้อยๆ แต่ถี่ๆ หลายรายการ ทั้งที่ไม่ได้ทำธุรกรรมหรือซื้อสินค้าหรือบริการใดๆ คมชัดลึกออนไลน์จึงจะมาช่วยแนะวิธีการป้องกันบัตรเครดิต และ เดบิต ไม่ให้โดนแฮก โดยรักษาเลข "CCV" หรือ เลข 3 หลักหลังบัตรเครดิต/เดบิต ไว้ให้เป็นความลับที่สุด

 

วิธีป้องกันบัตรฯ โดนแฮกข้อมูล

  • การโทรอายัดบัตรทันที หากบัตรเครดิต หรือ เดบิตของเราขโมยหรือหายสิ่งที่ต้องทำโดยทันที่คือเพราะถ้ามิจฉาชีพได้ไปทั้งบัตร เขาจะเห็นทั้งตัวเลขหน้าบัตรและ ตัวเลข CVV เราด้วย
  • ไม่นำบัตรเครดิด-เดบิตของเราไปซื้อของบนคอมพิวเตอร์ หรือ มือถือ สาธารระ เพราะ เว็บไซต์ออนไลน์อย่าง Amazon หรือ Lazada หรือ Shoppee เวลาเรารูดใช้ครั้งแรก ทางระบบจะเก็บจะเก็บตัวเลข CVV ของบัตรเครดิตเราไว้ด้วย และในครั้งต่อมา เวลาซื้อของในเว็บนั้นอีก เราจะไม่ต้องกรอกเลข CVV ดังนั้นหากคนอื่น Log-in บัญชีซื้อ-ขายของออนไลน์ของเราได้จะเป็นอันตราย เพราะเขาสามารถสวมรอยกดซื้อของได้เลยโดยไม่ต้องมีบัตรเครดิตอยู่ในมือ
     
  • ไม่กรอกข้อมูลบัตรเครดิตบนเว็บไซต์ที่ไม่น่าเชื่อถือ เนื่องจากระบบจะเก็บตัวเลข CVV ของบัตรเครดิตเราไว้ด้วย ดังนั้นมีความเป็นไปได้สูงว่าเว็บไซต์ที่ไม่น่าเชื่อถือจะนำข้อมูลเหล่านั้นไปขายต่อในตลาดมืดได้ 
     
  • หลีกเลี่ยงการใช้บัตร เครดิต-เดบิต ในการชำระการเติมน้ำมัน เนื่องจากเวลาเรายื่นบัตรให้กับพนักงานแล้ว เราไม่รู้เลยว่าพนักงานจะแอบจดข้อมูลบนบัตรทั้งหมดของเราไว้หรือไม่ และหากโชคร้าย โดนจดข้อมูลไปก็อาจทำให้เกิดความเสียหายตามมาในภายหลัง
     
  • สำคัญสุด ตัวเลขหลังบัตร 3 หลักควรเก็บเป็นความลับที่สุด เก็บบัตรเครดิต-เดบิตเข้ากระเป๋าสตางค์ทันที หลังจากที่ใช้บัตรฯ และอย่าจดรหัส CVV ไว้ในกระเป๋าสตางค์เด็ดขาด หากทำบัตรเครดิตหายต้องรีบโทรแจ้งอายัดบัตรฯ ทันที

                ภาพซ้ายคือ CVV บัตรเดบิต ส่วน ภาพขวาคือ CVV บัตรเครดิต

     

                 CVV 4 หลักของบัตร Amex

CVV ช่วยป้องกันการโดนแฮกอย่างไร 

"CVV" จะเป็นระบบรักษาความปลอดภัยในกรณีการทำธุรกรรมทางออนไลน์ เราจะสังเกตได้ว่าเวลาเรารูดบัตรในร้านค้า เราจะไม่ต้องกรอกเลข CVV แต่ถ้าทำธุรกรรมออนไลน์ ซื้อสินค้าและบริการบนเว็บไซต์ร้านค้า เว็บจะบังคับให้เราต้องกรอกเลข CVV สาเหตุเพราะการซื้อของออนไลน์เจ้าของบัตรกับร้านค้าจะไม่เจอกัน และไม่เห็นด้วยว่าใครกำลังถือบัตรนี้อยู่ และไม่มีการเซ็นลายมือชื่อบัตรใน Slip ให้เห็นกันต่อหน้า ดังนั้น เพื่อเป็นการป้องกันกรณีมีคนแอบใช้บัตรที่ขโมยเลขหน้าบัตรเครดิตของคนอื่นมาจะไม่สามารถทำธุรกรรมได้ เพราะไม่มีเลข CVV หลังบัตรนั่นเอง



ทำไมถึงไม่ต้องใช้เลข CVV เมื่อรูดบัตรที่หน้าร้านค้า
เวลาเรารูดกับเครื่องรูดบัตร ตัวเลข CVV จะไม่มีการเก็บเข้าระบบของร้านค้าแต่ตัวเลขที่ร้านค้าจะได้จากเราคือ ตัวเลขตัวนูนหน้าบัตรเครดิตเท่านั้น ดังนั้น หากข้อมูลร้านค้าโดนขโมย คนที่ขโมยจะได้เลขบัตรเครดิตเราไปเท่านั้นจะไม่ได้ตัวเลข CVV ไปด้วย

 

เหตุการณ์ที่มีบัญชีลูกค้าธนาคารโดนแฮกทำให้ธนาคารแห่งประเทศไทยต้องร่วมมือกับผู้บริหารด้านเทคโนโลยีสารสนเทศจาก ธ. พาณิชย์ต่างๆ ตรวจสอบที่มาของการรั่วไหลของข้อมูลอย่างเร่งด่วนเพื่อตามจับ "แก๊งดูดเงิน"  อย่างก็ตาม วิธีที่เราสามารถป้องกันข้อมูลบัญชีของเราไม่ให้รั่วไหลได้จนเงินของเรา "โดนดูด" ไปคือการไม่นำเลขบัตรเครดิต หรือ เดบิต ให้ผู้ใดได้เห็นเป็นอันขาด โดยเฉพาะเลข 3 ตัวหลังบัตรที่เรียกว่า CVV เพราะเลข CVV เป็นเลขที่เจ้าของบัตรจะต้องใช้ในการยืนยันตัวตนเพื่อให้สามารถทำธุรกรรมทางการเงินต่างๆ ได้สำเร็จ

 

ที่มาข้อมูล:
www.checkraka.com