ไลฟ์สไตล์

ไขข้อสงสัย ทำไมชาวมุสลิมถึงไม่กิน "เนื้อหมู"

ไขข้อสงสัย ทำไมชาวมุสลิมถึงไม่กิน "เนื้อหมู"

22 พ.ย. 2564

ปัจจุบันมีการใช้กล้องจุลทรรศน์ส่องดูเนื้อสัตว์พบว่า เนื้อสัตว์ทุกชนิดมีพยาธิตัวเล็ก ๆ ที่ตาเรามองไม่เห็นอยู่มากน้อยต่างกันไป แต่ใน "เนื้อหมู" มีพยาธิบางชนิดซึ่งมีเกราะไขมันห่อหุ้มอยู่จนความร้อนจากการหุงต้มไม่สามารถทําลายมันได้

1. เนื้อหมูถูกห้ามในคัมภีร์อัลกุรอาน

กุรอานนั้น ได้ห้ามการบริโภคเนื้อหมู ไม่น้อยกว่า 4 แห่ง ที่แตกต่างกัน มันถูกห้ามในซูเราะฮฺ 2:173 / 5:3 / 6:145 / 16:115 

"ได้ถูกห้ามแก่พวกเจ้าแล้ว (สำหรับอาหาร) คือ เนื้อสัตว์ที่ตายเอง เลือด เนื้อสุกร และสัตว์ที่กล่าวนามอื่น จากอัลเลาะฮฺ (ขณะเชือด)" - (อัลกุรอาน 5:3)

โองการกุรอานที่กล่าวมานี้นั้นเพียงพอแล้ว ที่จะทำให้มุสลิมคนหนึ่งเชื่อมั่นว่าทำไมเนื้อหมูจึงถูกห้าม

 

2. การบริโภคเนื้อหมูเป็นสาเหตุของโรคหลายชนิด

ผู้ที่มิใช่มุสลิมและผู้ที่ไม่เชื่อการมีอยู่ของพระเจ้า จะเห็นด้วยผ่านทางเหตุผล ตรรกะ และวิทยาศาสตร์ การกินเนื้อหมูจึงเป็นสาเหตุให้เกิดโรคไม่น้อยกว่า 70 ชนิด ที่แตกต่างกัน ซึ่งบุคคลหนึ่งจะสามารถมีหนอนพยาธิ (จากการกินเนื้อหมู) ที่แตกต่างกันได้หลายชนิด เช่น พยาธิตัวกลม พยาธิเข็มหมุด พยาธิปากขอ เป็นต้น หนึ่งในพยาธิที่อันตรายมากที่สุด หรือ พยาธิตัวตืด มันจะแฝงตัวอยู่ในลำไส้ เป็นเวลานาน เซลล์ไข่ของมันจะเข้าตามกระแสเลือด และ สามารถไปถึงทุกส่วนของร่างกาย ถ้ามันเข้าไปในสมองก็เป็นสาเหตุให้เกิดความจำเสื่อม ถ้ามันเข้าสู่หัวใจ ก็จะทำให้เกิดโรคหัวใจ ถ้ามันเข้าสู่ตาก็จะทำให้ตาบอด ถ้ามันเข้าสู่ตับ ก็จะทำให้ตับถูกทำลาย มันสามารถทำลายอวัยวะทุกส่วนของร่างกาย

 

3. หมูเป็นสัตว์ชนิดหนึ่งที่สกปรกที่สุดในโลก

หมู เป็นสัตว์ที่สกปรกที่สุดในโลก ดพราะมันใช้ชีวิตและเติบโต บนโคลน บนมูล และสิ่งสกปรก ถึงแม้ว่าจะเลี้ยงหมูในคอกที่ถูกสุขลักษณะเพียงใด แต่โดยธรรมชาติแล้วหมูก็ยังเป็นสัตว์ที่สกปรกอยู่ดีเพราะพวกมันจะกิน และสนุกกับมูลของมัน

 

4. หมูเป็นสัตว์ที่มีความอายน้อยที่สุด

หมูเป็นสัตว์ที่มีความอายน้อยที่สุด ในหน้าแผ่นดิน บนโลกนี้ มันเป็นสัตว์ที่เชิญชวนตัวอื่น ให้ร่วมเพศกับคู่ของมัน ในอเมริกา ผู้คนส่วนมากรับประทานเนื้อหมู บ่อยครั้งมาก หลังจากการเต้นรำ และงานรื่นเริง พวกเขาจะแลกเปลี่ยนคู่ภรรยากัน (เนื่องจากผู้รับประทานเนื้อสัตว์ชนิดใด จะได้รับอิทธิพลจากพฤติกรรมของมัน) เหมือนกับสำนวนที่ว่า  "you are what you eat"

ไขข้อสงสัย ทำไมชาวมุสลิมถึงไม่กิน \"เนื้อหมู\"

มุสลิมในยุคก่อนไม่ทราบถึงเหตุผลเหล่านี้ แต่เขาน้อมรับและปฏิบัติตามข้อบัญญัติที่มาจากพระเจ้า และ หมูเป็นสัตว์ที่น่ารังเกียจ (กินมูลและนอนคลุกอยู่กับมูล) ซึ่งพระเจ้าระบุไว้ว่าเป็นสัตว์สกปรก เพราะฉะนั้นไม่ใช่ว่ามุสลิมไม่กินหมูเพราะเหตุผลที่ว่าหมูมีพยาธิ ดังนั้นถึงแม้ในอนาคตจะสามารถทําให้เนื้อหมูปลอดจากพยาธิชนิดนี้ได้ หรือจะเลี้ยงหมูอย่างดีไม่ต้องให้กินขี้และนอนคลุกอยู่กับขี้ แต่มุสลิมก็จะยังคงไม่กินหมูอยู่ดีเนื่องจากเป็นสิ่งที่พระเจ้าบัญญัติห้าม  


แต่ทําไมต้องห้ามชาวมุสลิมกินหมู? ก็เนื่องจากเป็นการพิสูจน์ความศรัทธา หากมนุษย์ศรัทธาในพระเจ้าเขาก็จะน้อมรับกฎระเบียบที่พระเจ้าบัญญัติไว้ และจะไม่กินตามปากอยาก แต่เขาจะเลือกกินโดยพิจารณาว่าพระเจ้าอนุญาตให้กินหรือไม่ 


แต่ในเมื่อไม่ให้กินหมูแล้วพระเจ้าจะสร้างหมูมาทําไม? พระเจ้าสร้างสิ่งมีชีวิตมาหลากหลายชนิด แต่ไม่ใช่ว่าสัตว์ทุกชนิดจะถูกสร้างมาเพื่อเป็นอาหารสําหรับมนุษย์ สัตว์บางชนิดเกิดมาเพื่อรักษาความสมดุลของระบบนิเวศน์ สัตว์บางชนิดถูกสร้างมาเพื่อกินสัตว์กินพืช ไม่เช่นนั้นแล้วสัตว์กินพืชก็จะกินใบไม้หมดป่า ซึ่งป่าไม้และพืชนั้นก็ทําหน้าที่ซับน้ำ ผลิตออกซิเจน รักษาชั้นบรรยากาศของโลก และยังเป็นอาหารให้มนุษย์ด้วย ทํานองนี้เป็นต้นครับ  ดังนั้นเราจึงต้องเลือกว่าสิ่งใดพระเจ้าอนุญาตให้กิน สิ่งใดพระเจ้าไม่อนุญาตให้กิน ซึ่งในเรื่องของอาหารแล้ว สิ่งใดที่พระเจ้าไม่ได้บัญญัติห้ามสิ่งนั้นถือว่าอนุญาตให้กินได้โดยปริยาย

 

สิ่งอื่นที่พระเจ้าบัญญัติห้ามกิน ได้แก่ :


1) สิ่งมึนเมาทุกชนิด

2) เลือด  

3) สัตว์บกที่ตายโดยไม่ได้ถูกเชือด

4) สัตว์บกที่ไม่ได้กล่าวนามพระเจ้าขณะเชือด

5) สัตว์บกที่ใช้กรงเล็บหรือเขี้ยวล่าสัตว์กินเป็นอาหาร

6) เนื้อลา

7) สัตว์ที่พระเจ้าระบุว่าเป็นสิ่งสกปรกน่ารังเกียจ(นะญิส) เช่น สุนัข

8) อาหารใดก็ตามที่ได้มาโดยไม่ชอบธรรม เช่นขโมยมา หรือซื้อมาด้วยทรัพย์สินที่ได้มาโดยผิดหลักการศาสนา (เช่นเงินดอกเบี้ย เป็นต้น)  ซึ่งทั้งหมดถูกบัญญัติในอัล-กุรอาน และ คำสอนของท่านศาสนทูตทั้งสิ้น  และนอกจากสิ่งที่กล่าวมาแล้วนี้ก็เป็นที่อนุญาตให้กินได้ รวมทั้งสัตว์น้ำทั้งหมด(ยกเว้นบางประเภทที่มีพิษ)

 

 

ที่ม่ข้อมูและรูปภาพ : 
http://www.halinst.psu.ac.th/th/
https://news.muslimthaipost.com/news/29293